สภาพอากาศช่วงนี้อึมครึมมีเมฆมาก ทั้งฝนตกและอากาศหนาวเย็น เจียงป่าวชิงจึงเตรียมน้ำขิงอุ่น ๆ ไว้อยู่เสมอ นางยกมาให้เจียงเหล่าหวู่ถ้วยหนึ่ง เจียงเหล่าหวู่เองก็ไม่ได้แสดงความเกรงอกเกรงใจอะไรนักเพราะเขาคิดว่ารับไว้ไม่เสียมารยาท ไม่เสียน้ำใจต่อเด็กรุ่นหลานคนนี้ เขายิ้มให้เจียงป่าวชิง แหงนคอดื่มจนหมดก่อนจะจุ๊ปากด้วยท่าทีขบคิดเล็กน้อย
“ฮืม… จะว่าไปก็แปลกอยู่นะ ข้าชิมน้ำต้มขิงของเจ้ากับของภรรยาข้า ดูเหมือนว่ารสชาติจะแตกต่างกัน ของเจ้าจะขมกว่าหน่อย”
เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “อ้อ พอดีว่าข้าใส่สมุนไพรที่มีฤทธิ์กำจัดความหนาวลงไปด้วยเจ้าค่ะ มันจึงขมนิดหน่อย”
เจียงเหล่าหวู่เอ่ยชมเจียงป่าวชิง “ข้าบอกแล้วว่าป่าวชิงของเรานั้นเก่งมาก แต่พี่สามของเจ้ากลับดื้อรั้น ถ้าหากว่าเขาเชื่อฟังข้าและสู่ขอเจ้ากลับไป… ก็คงเป็นโชคดีของเขาที่ได้ผู้หญิงดีมากมาเป็นภรรยา”
เจียงป่าวชิงรู้ว่าพูดไปพูดมา อย่างไรเสียเจียงเหล่าหวู่ก็มีอันต้องวกมาพูดเข้าเรื่องของนางกับเจียงเฟยได้อยู่ดี
เจียงหยุนชานเข้าร่วมสนทนา เขายิ้มรับคำแล้วเบี่ยงเบนหัวข้อการพูดคุยกันให้เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นอย่างเป็นธรรมชาติ “ปู่ห้าขอรับ ฝนตกติดต่อกันหลายวัน แถมยังตกหนักด้วย แบบนี้พืชไร่พืชนาจะไม่เป็นอะไรหรือขอรับ ?”
เจียงเหล่าหวู่ถูกหัวข้อการพูดคุยของเจียงหยุนชานดึงดูดความสนใจ พูดถึงเรื่องพืชไร่พืชนา เขาก็อดที่จะถอนหายใจอย่างเสียมิได้ “เจ้าอย่าพูดถึงเลย สองสามวันนี้ไม่ได้ทำอะไร ข้ากับอาของเจ้า รวมทั้งพวกพี่ ๆ เจ้ามัวแต่ขุดดินเพื่อระบายน้ำในนา ก่อนหน้านี้ฝนก็เพิ่งตกไป ยังผ่านไปไม่ทันไรก็ตกใหญ่อีกรอบ ไม่รู้ว่าสวรรค์เบื้องบนคิดจะทำอะไรกันแน่ บทจะแล้งก็แล้งหนัก บทจะท่วมก็ท่วมหนัก ข้าคาดว่าปีนี้คงเป็นปีแห่งภัยพิบัติอีกตามเคย”
เจียงป่าวชิงพูดปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะเจ้าคะท่านปู่ห้า ถึงตอนนั้นพวกข้าไม่เอาค่าเช่าที่ก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้” เจียงเหล่าหวู่ปฏิเสธทันที “ที่ดินดีขนาดนั้น ค่าเช่าที่ร้อยละยี่สิบก็ถือว่าน้อยแล้ว ถ้าแม้เพียงเท่านี้เรายังไม่ให้พวกเจ้า ครอบครัวของเราจะกลายเป็นคนยังไงเล่า!”
พูดเสร็จ เจียงเหล่าหวู่ก็หันไปดูฝนข้างนอกก่อนจะเอ่ยปากออกมาอย่างไม่สบายใจ “ไม่ได้การแล้ว ประเดี๋ยวข้ายังต้องไปดูที่ในนาอีก”
เจียงเหล่าหวู่พยักหน้าเตรียมลาสองพี่น้อง เขาใส่เสื้อกันฝนกับหมวกหญ้าเสร็จแล้วก็หันไปพูดกำชับ “ช่วงนี้ฝนตกหนัก เส้นทางด้านนอกเดินเหินไม่สะดวก พวกเจ้าอยู่ในบ้านนั่นแหละดีแล้ว ถ้าอีกสองวันฝนยังไม่หยุดตก ข้าจะให้พี่สามของพวกเจ้านำอาหารมาให้พวกเจ้าอีก”
เจียงหยุนชานรีบปฏิเสธทันที “โอ้! ไม่ต้องหรอกขอรับปู่ห้า ที่บ้านเรายังเหลืออยู่…” ทว่ายังพูดไม่ทันจบคำ เจียงเหล่าหวู่ก็โบกมือร่ำลาและเข็นรถออกไปท่ามกลางสายฝนเสียก่อน
เจียงหยุนชานได้แต่มองตามอย่างจนปัญญา แต่เจียงป่าวชิงกลับมองฝนข้างนอกอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ
เจียงหยุนชานเห็นเจียงป่าวชิงทำสีหน้าเคร่งขรึมก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ป่าวชิง เจ้ามีอะไรในใจงั้นหรือ ?”
เจียงป่าวชิงยื่นมือออกไปรับน้ำฝนที่ตกลงมาจากชายคา “ข้ากำลังคิดว่าฝนตกขนาดนี้ ไม่รู้ว่าแม่น้ำคราดจะท่วมหรือเปล่านะเจ้าคะ”
เจียงหยุนชานครุ่นคิดสักครู่ เขาพูดปลอบใจน้องสาวพร้อมอธิบายหลักการอย่างปัญญาชนผู้ศึกษาตำรา “คงไม่หรอก หลายปีมานี้น้ำในแม่น้ำคราดไหลเชี่ยวก็จริง แต่ความจุน้ำของทางน้ำยังถือว่าใช้ได้ แถมยังมีทางน้ำทิ้งมากมายในหุบเขาที่นี่ มันไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไรนะ”
เจียงป่าวชิงมองไปยังที่ไกล ๆ “แต่ยังมีแม่น้ำอีกสายนะเจ้าคะ ข้าจำได้ว่าแม่น้ำฮุ่ยก็ผ่านจังหวัดหยูเฟิงเช่นกัน แถมยังอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของเราด้วย”
เจียงหยุนชานลังเลใจ “แม่น้ำคราดเคยเกิดภัยน้ำท่วมสองสามครั้งจริง ๆ แต่ตอนที่ข้ายังเรียนที่โรงเรียนในตัวเมือง ข้าเคยเรียนว่าราชสำนักจัดสรรเงินทุนเพื่อสร้างเขื่อนที่จังหวัดหยูเฟิงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉะนั้นแล้วคงไม่น่ามีปัญหาอะไรกระมัง”
สีหน้าเจียงป่าวชิงเปลี่ยนไปทันที
หลายปีที่ผ่านมาอย่างนั้นรึ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ขุนนางของจังหวัดหยูเฟิงคนก่อนอย่างซุนจงอี้ทุจริตในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง… ใช่ไหม
ซุนจงอี้โลภอยากได้อยากครอบครองแม้กระทั่งเงินสำหรับจัดซื้ออาหารและสิ่งจำเป็นที่โรงทาน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเขาจะปล่อยงบเงินทองสำหรับซ่อมเขื่อนกั้นน้ำไปได้อย่างไร
ถึงแม้เจียงป่าวชิงจะไม่เคยประสบภัยน้ำท่วมมาก่อน แต่นางรู้ดีว่าผู้คนจะทุกข์ใจเพียงใดเมื่อน้ำท่วมโหมกระหน่ำ และถ้าเขื่อนกั้นน้ำทางฝั่งแม่น้ำฮุ่ยแตก มันจะส่งผลกระทบต่อแม่น้ำคราดอย่างแน่นอน
และหากว่าแม่น้ำคราดล้นจ้นเกิดอุทกภัย ถ้าอย่างนั้นพวกเขา…
เจียงป่าวชิงกลั้นหายใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดจนต้องกัดฟันพูด “ไม่ได้แล้ว พี่ ข้าว่าข้าต้องไปที่ในอำเภอแล้วล่ะนะ”
เจียงหยุนชานตกใจจนหน้าถอดสี “หืม มีอะไรหรือ ? สภาพอากาศแบบนี้คงไม่มีรถล่อไปส่งที่อำเภอ อีกอย่าง เส้นทางในภูเขาก็มีแต่โคลนตมแบบนั้น เจ้าจะไปยังไง ?”
เจียงป่าวชิงกัดฟันแน่น “ข้าต้องไปถามขุนนางอำเภอจู้ว่าราชสำนักปิดกั้นช่องทางทุจริตของข้าหลวงซุนจงอี้หรือที่ใคร ๆ พากันเรียกว่าท่านซุนที่เป็นขุนนางทุจริตจากจังหวัดหยูเฟิงแล้วหรือยัง งบประมาณซ่อมแซมเขื่อนกั้นน้ำของแม่น้ำฮุ่ยอาจถูกซุนจงอี้นั่นยักยอกเจ้าค่ะ”
อันที่จริงเจียงป่าวชิงก็รู้อยู่แก่ใจว่ากงจี้เพิ่งดึงซุนจงอี้ตกจากหลังม้าไปไม่นานมานี้ แม้ราชสำนักต้องการอุดรู แต่มันจะเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมีการสั่งการแต่ละลำดับแบบนั้น
เป็นไปได้สูงมากที่เขื่อนของแม่น้ำฮุ่ยตอนนี้จะเต็มไปด้วยรูโหว่
เจียงหยุนชานได้ฟังเขาก็ตกใจมากจนถึงกับต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้ตัวเองใจเย็นอย่างรวดเร็ว เขาพูดวิเคราะห์กับเจียงป่าวชิง “เอ๊ะ! ในเมื่อซุนจงอี้ถูกราชสำนักสำเร็จโทษแล้ว ถ้างั้นหากว่าเขื่อนกันน้ำมีปัญหาอะไร ราชสำนักก็ต้องรู้สิ ฝนตกหนักขนาดนี้ ทางฝั่งของราชสำนักคงมีแผนรับมืออะไรบ้างแหละ อาจใช้ทรายและหินเสริมเขื่อนชั่วคราวเพื่อเอาตัวรอดจากภัยพิบัติครั้งนี้ไปก่อน”
เจียงป่าวชิงกัดริมฝีปากล่าง “ถ้าหากว่าแม่น้ำฮุ่ยเขื่อนแตก เกรงว่าเหล่าผู้คนทั้งหมดของจังหวัดหยูเฟิงคง… เฮ้อ… พี่ ข้าอยากไปถามขุนนางอำเภอจู้ ถ้าหากว่าทางฝั่งของแม่น้ำฮุ่ยไม่มีมาตรการอะไรที่ใช้ได้ผล ไม่แน่เราก็อาจจะต้องไปจากที่นี่ก่อน เพราะแม่น้ำคราดอยู่ใกล้เรามาก มันอันตรายเกินไป”
เจียงหยุนชานนั่งไม่ติดเช่นกัน แต่เขารู้ว่าเมื่อเผชิญกับภัยธรรมชาติที่ไม่อาจต้านทานได้ ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลนั้นย่อมมีน้อยมากและแน่นอนว่าเขาไม่สามารถช่วยทุกคนได้ อย่างน้อย ๆ ก็ควรปกป้องตัวเองให้ได้ก่อน
สองพี่น้องตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปสักครู่ เจียงหยุนชานก็ทำลายความเงียบทั้งหมด “คิดในทางที่ดี ไม่แน่คืนนี้ฝนอาจจะหยุดตกก็ได้นะ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า
ทว่าฟ้ากลับไม่เป็นใจ ไม่เพียงแต่ฝนจะไม่หยุดในตอนกลางคืนแล้ว ยังมีแนวโน้มลงเม็ดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอีกด้วย
คำคืนนี้ผ่านไปด้วยความห่วงพะว้าพะวัง
…
ตอนเช้า เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานใส่เสื้อกันฝนกับหมวกหญ้ามุ่งหน้าไปที่แม่น้ำคราด
แม่น้ำคราดเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นและคำรามทำท่าทางขู่กรรโชกอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเทียบกับในยามปกติ เห็นได้ชัดว่าระดับน้ำสูงขึ้นมาก และความเร็วของน้ำก็ไหลเชี่ยวมากขึ้น
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานยืนอย่างเงียบ ๆ อยู่ที่ริมแม่น้ำ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร
ท่ามกลางสายลมและสายฝนที่ปั่นป่วนนี้ ยังคงมีคนข้ามแม่น้ำด้วยเรือข้ามฟากซึ่งมันอันตรายมาก ดูก็รู้ว่าเรือแทบจะพลิกกลับหลายครั้งแล้ว
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะอันตรายมากเพียงใดก็ต้องไปจากที่นี่ให้ได้
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานยืนกันอยู่ตรงนั้นสักครู่ ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจ “เราไปหลบภัยที่อื่นก่อนเถอะ”
เจียงหยุนชานค่อย ๆ พยักหน้าอย่างช้า ๆ
เป็นอันตกลงเริ่มแผนอพยพ!
สองพี่น้องกลับไปจัดเก็บสัมภาระที่บ้าน ช่วยกันจัดห่อผ้าสองห่ออย่างเรียบง่าย
เจียงหยุนชานแบกตะกร้าไว้บนหลังและใส่เจ้าลูกสุนัขทั้งสองตัวไว้ในนั้น พวกมันทั้งสองเหมือนรู้ว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา แต่ละตัวจึงว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ
ก่อนจะไป สองพี่น้องก็ไปที่บ้านของเจียงเหล่าหวู่
ทันทีที่เจียงเหล่าหวู่เห็นว่าเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานแต่งตัวเตรียมพร้อมขนาดนี้ เขาก็ตกใจมาก “ประเดี๋ยว! สภาพอากาศแย่แบบนี้ พวกเจ้าจะไปไหนอีก ?”
เจียงป่าวชิงเล่าให้ฟังอย่างคร่าว ๆ แต่ตรงประเด็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของภัยน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นให้เจียงเหล่าหวู่ฟัง
สีหน้าเจียงเหล่าหวู่ทาบทาด้วยความลังเล “นะ… น้ำท่วมงั้นรึ ? ไม่น่ากระมัง ที่นี่ไม่เคยเกิดน้ำท่วมเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา”