สำหรับโจรภูเขา การลักพาเอาผู้หญิงกลับมานั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น อันที่จริงกฎของทางฝั่งหัวหน้ากู่คือห้ามลงไม้ลงมือกับผู้หญิงและเด็ก แต่จิ้นเทียนหยู่หรือหัวหน้าสามคนนี้กลับปล้นผู้หญิงมา ถึงตอนนั้นไม่แน่อาจจะต้องส่งนางกลับไปตามเดิม
ปฏิกิริยาของเจียงป่าวชิงที่มีต่อเรื่องนี้ คือนางรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก และทำเพียงพยักหน้าครั้งหนึ่งแสดงให้ทราบว่ารู้แล้ว
…
เจียงฉิงนำปุ้งกี๋สองสามอันกลับมา เจียงป่าวชิงจึงบอกไปว่านางจะออกไปสักหน่อย และสั่งให้เจียงฉิงเฝ้าอยู่ในลานบ้าน บอกเสร็จเรียบร้อยนางก็เดินถือกล่องยาออกไป
ระหว่างทาง จิ้นหนิวยังคงตื่นเต้นดีใจเก็บอาการแทบไม่อยู่ เขาพูดโม้ให้เจียงป่าวชิงฟังว่าผู้หญิงคนนั้นทั้งมีน้ำมีนวล หน้าตาก็สวยงามไม่เหมือนใคร สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจอย่างอารมณ์ค้าง “แต่หัวหน้าใหญ่ของเราดันทึ่มเกิน เราเป็นโจรภูเขาไม่ใช่คนดีอะไรสักหน่อย ยังจะห้ามไม่ให้เราแตะต้องผู้หญิงคนนั้นอีก… จริง ๆ เลย เฮ้อ!”
เจียงป่าวชิงมองจิ้นหนิวอย่างหน่ายใจ พลางพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มแห้ง “ถ้าเจ้าเก่งจริงก็พูดแบบเมื่อกี้นี้ต่อหน้าหัวหน้ากู่กับหัวหน้าสามของพวกเจ้าสิ ข้าจะรอดูเลยว่าหัวหน้าสามจะปกป้องเจ้าหรือจะฟันเจ้าตายไปซะก่อน”
จิ้นหนิวนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้น เขาก็อดที่จะตัวสั่นไม่ได้ ได้แต่พูดยิ้ม ๆ “เฮ้! หมอเจียง อ๊ะ ไม่สิ พี่เจียง ข้าก็แค่… แค่หลงใหลอยู่ในจิตใจจนหลงระเริง เผลอพูดคำพูดตามอำเภอใจไปหน่อยเท่านั้นเอง ข้ารู้ว่าพี่เจียงของเราเข้มงวดที่สุด เจ้าอย่าได้พูดออกไปเชียวล่ะ”
เจียงป่าวชิงเดินตรงไปด้านหน้าโดยที่ไม่มองจิ้นหนิวแม้แต่นิดเดียว นางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้ามีความคิดสกปรกเองก็อย่าโทษว่าผู้หญิงคนนั้นสวยสิ”
แน่นอนว่าตอนนี้จิ้นหนิวไม่กล้าโต้แย้งเจียงป่าวชิง เขาวิ่งไปตามทางเล็ก ๆ และพยักหน้าคล้อยตาม “ใช่ ใช่แล้ว… ใช่เลย… ใช่”
ที่ที่หัวหน้าจิ้นอาศัยอยู่นั้น อยู่ไม่ไกลจากห้องยาของเจียงป่าวชิง นางเพิ่งเดินเข้าไปใกล้ได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงปาข้าวของกับเสียงกรีดร้องที่ฟังดูน่าสะพรึงกลัวของหญิงสาวดังออกมาจากในห้อง “ออกไป! กรี๊ด! อย่าเข้ามานะ!”
คนจำนวนมากล้อมอยู่นอกห้องของหัวหน้าจิ้น หลายคนเผยรอยยิ้มลามกออกมาให้เห็นบนใบหน้า พวกเขาเงี่ยหูฟังเรื่องสนุก ๆ ข้างในห้อง
ทันใดนั้น เสียงคำรามด้วยความโกรธของหัวหน้าจิ้นดังออกมาจากในห้องอีกครั้ง “เจ้าอย่าทำตัวมีปัญหามากนักเซ่! เฮ้ย ๆ ๆ… เจ้าห้ามปาแก้วนั่นเด็ดขาด มันเป็นแก้วที่ข้าชอบมากที่สุดเลยนะโว้ย!”
เพล้ง!
เสียงแก้วแตกดังออกมาจากในห้อง เกิดความเงียบขึ้นในทันที
ใบหน้ายิ้มแย้มของพวกคนที่มาล้อมดูต่างก็แข็งทื่อไป ต่างคนต่างวิ่งกระจัดกระจายไปทีละคน ส่วนจิ้นหนิวที่อยู่ข้างเจียงป่าวชิงเองก็อดกลืนน้ำลายลงคออย่างเสียมิได้ “เอาแล้ว! ผู้หญิงคนนั้นช่างรนหาที่ตายจริง ๆ…”
จิ้นหนิวยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงคนถีบประตูให้เปิดออกเสียก่อน จิ้นเทียนหยู่บีบคอหญิงสาวและลากหญิงสาวคนนั้นออกมาราวกับลากกระสอบน้ำหนักเบา
รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวคนนั้นจัดว่าดีพอสมควร แต่ตอนนี้ ต่อให้รูปลักษณ์ของนางจะดีเพียงใด ก็ไม่สามารถกลบความหวาดกลัวที่ฉายชัดบนใบหน้าได้ นางพยายามอดกลั้นจนหน้ากลายเป็นสีเขียวคล้ำอมม่วง ที่น่ากลัวกว่านั้นคือลูกตานางก็ใกล้ถลนออกมานอกเบ้าอยู่รอมร่อ และตอนนี้ นางดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง หวังให้หลุดพ้นพันธนาการ
จิ้นเทียนหยู่หน้าดำคร่ำครึ เขาโยนร่างหญิงสาวคนนั้นลงบนพื้นราวกับโยนขยะไร้ค่า
หญิงสาวกระแอมไอด้วยความเจ็บปวด นางนอนคว่ำหน้า สูดอากาศเข้าปอดอยู่บนพื้น ตอนนี้ไม่รู้ว่านางรู้สถานการณ์ของตัวเองแล้ว หรือถูกบีบคอจนได้รับบาดเจ็บที่ลำคอ หรือเพราะตกใจจิ้นเทียนหยู่กันแน่ นางถึงได้ไม่กล้าพูดอะไรอีก เอาแต่นอนคว่ำหน้าร้องไห้ด้วยจิตใจพังทลายอยู่อย่างนั้น
เจียงป่าวชิงนวดขมับพลางถอนหายใจ
จิ้นเทียนหยู่โยนร่างหญิงสาวแล้ว เขาก็ไปยืนอยู่ในลานบ้านอย่างไม่แยแสสิ่งใด เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงมองเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ
สีหน้าของจิ้นเทียนหยู่ย่ำแย่มากกว่าเดิม คิ้วดกหนาขมวดเข้าหากัน “เจ้าไม่ต้องดูอาการให้นางแล้ว อีกประเดี๋ยวพานางไปโยนเป็นอาหารหมาป่าที่หลังเขาซะ ร้องไห้เสียงดังน่ารำคาญชะมัด”
หญิงสาวปิดปากทันที นางตัวสั่น บนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ดวงตาหม่นเศร้ามองจิ้นเทียนหยู่ด้วยความหวาดกลัว
แต่จิ้นเทียนหยู่กลับไม่ยอมมองนาง เขาจ้องเจียงป่าวชิงและพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “หมอแซ่เจียง เจ้าได้ยินหรือเปล่า ? นั่นเจ้าทำอะไร ข้าบอกว่าไม่ต้องรักษานางไงวะ!” จิ้นเทียนหยู่ตีหน้าเหี้ยม เขามองเจียงป่าวชิงที่เหมือนไม่ได้ยินเขาพูดและกำลังนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าหญิงสาว มือก็ยื่นไปจับชีพจรให้นางคนนั้น
ตอนนี้หญิงสาวยังคงตกใจอยู่ นางเห็นเจียงป่าวชิงแตะตัวก็หลบหลีกไปข้างหลังอย่างตื่นตระหนก
เจียงป่าวชิงไม่สนใจการต่อต้านของหญิงสาว แต่ดึงข้อมือนางมาดูด้วยท่าทางแข็งกร้าวเล็กน้อย ก่อนจะจับชีพจรให้นาง
หญิงสาวกลัวว่าเจียงป่าวชิงจะโหดเหี้ยมเหมือนจิ้นเทียนหยู่คนนั้น ร่างเพรียวแข็งทื่อไปทันทีและไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว
เจียงป่าวชิงจับชีพจรและพูดด้วยสีหน้าราบเรียบไปด้วย “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วรึ ? เจ้ากล้าแข็งกระด้างเมื่อตกลงไปในถ้ำโจรนี่ ข้าล่ะนับถือเจ้าจริง ๆ”
คำพูดของเจียงป่าวชิงเหมือนเป็นการแทงจุดเจ็บปวดของหญิงสาว นางร้องไห้อย่างน้อยใจและพูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “ฮึก… ฮือ… ก็เขาหน้าตาแบบนั้น…” ‘แต่ใครจะคิดว่าเขาโหดเหี้ยมขนาดนี้!’
แน่นอนว่าคำพูดประโยคหลัง นางไม่กล้าเอ่ยปากออกมา
จิ้นเทียนหยู่ถลึงตาใส่เด็กสาวจากด้านข้าง “หน้าตาข้ามันทำไม ?!”
เด็กสาวตกใจจนหน้าซีดและรีบหุบปากทันที
เจียงป่าวชิงมองจิ้นเทียนหยู่ นางรู้ความหมายของหญิงสาวคนนี้
อันที่จริงไม่ได้มีแค่หญิงสาวคนนี้เท่านั้นที่หลงใหลกับรูปลักษณ์หล่อโหดของจิ้นเทียนหยู่ และสุดท้ายแลกมาด้วยความยับเยินแบบนี้
จิ้นเทียนหยู่ดูเหมือนชายแข็งแกร่งใบหน้าหล่อคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นโจรภูเขามาหลายปีแล้ว แต่ใบหน้าที่หล่อแบบเหี้ยม ๆ นี้ เพียงแค่เขายืนอยู่เฉย ๆ โดยไม่พูด หญิงสาวหลายคนก็หลงเสน่ห์เขาแล้ว
ทว่าเมื่อเขาพูดก็จบกัน เพราะเขานี่ล่ะคือโจรภูเขาปากร้ายขี้โมโหตัวจริงเสียงจริง
เจียงป่าวชิงลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปื้อนชายเสื้อตอนที่นั่งยอง ๆ ออก แล้วหันไปพูดกับจิ้นเทียนหยู่ “หัวหน้าจิ้น นี่ท่านเป็นโรคพูดไม่รู้เรื่องรึ ?”
จิ้นเทียนหยู่เบิกตากว้าง “หา! หมอแซ่เจียง เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า ?” สีหน้าของเขาอึมครึมน่ากลัวมาก “ไหนไอ้หน้าขาวอย่างเจ้าลองพูดให้ข้าฟังอีกรอบซิ!”
ชายหนุ่มหล่อโฉดท่าทางน่ายำเกรงเอาแต่ตะคอกอยู่เช่นนี้ ทำให้จิ้นหนิวตกใจจนหมุนตัวและวิ่งหนีไปทันที
เพราะถึงอย่างไร เขาก็ทำตามคำสั่งของหัวหน้าสามเสร็จแล้ว ที่ว่าให้ไปพาหมอเจียงมาที่นี่ ที่เหลือก็ไม่มีเรื่องอะไรของเขาแล้ว เขาไม่ได้กล้าหาญเหมือนหมอเจียงที่กล้าพูดแบบนั้นกับหัวหน้าสามนะ
ต้องทราบก่อนว่าหัวหน้าสามของพวกเขาเป็นคนบ้าระห่ำ บ้าประเภทที่ว่าถ้าบ้าแล้วก็จะไม่รู้จักญาติทั้งหกอีกเลย ตอนที่ทะเลาะกับหัวหน้ากู่เมื่อครั้งที่แล้ว เขาถึงกับพลั้งมือฟันหัวหน้ากู่ ถึงแม้ว่าหลังจากที่ได้สติแล้ว หัวหน้าสามของพวกเขาจะเสียใจทีหลังและคุกเข่าอยู่ตรงหน้าห้องของหัวหน้ากู่อยู่เป็นวันก็ตาม… แต่จากเรื่องนี้ก็เห็นได้ว่าหัวหน้าสามของพวกเขากล้าฟันแม้กระทั่งพี่ใหญ่ อีกเดี๋ยวถ้าเขาบ้าขึ้นมาแล้วฟันลูกน้องอย่างเขาจนตาย แบบนั้นก็คงไร้ประโยชน์ที่จะพูดกันด้วยเหตุด้วยผลจริง ๆ
แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่กลัวจิ้นเทียนหยู่
ปัญหาของจิ้นเทียนหยู่นั้น จริง ๆ แล้วคือผู้ที่ผ่านการฝึกศิลปะการต่อสู้มาจะโมโหง่าย เลือดร้อน และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ง่าย ๆ เจียงป่าวชิงมักรนหาที่ตายและชอบทดสอบความอดทนของจิ้นเทียนหยู่อยู่สองสามครั้ง แต่นี่มันเป็นวิธีการรักษาเสริมเพื่อโน้มนำให้เขาเรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างช้า ๆ
เจียงป่าวชิงเห็นจิ้นเทียนหยู่มีท่าทีอยากฉีกนางให้แหลกเป็นชิ้น ๆ จึงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “กฎในหมู่บ้านของเรานั้นระบุไว้ชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้รังแกผู้หญิงและเด็ก นี่ท่านไปพาผู้หญิงกลับมา ถึงตอนนั้นก็ต้องพานางกลับไปส่งอยู่ดี ท่านเอาเปรียบอะไรนางไม่ได้ แถมยังทำลายชื่อเสียงของนางด้วย นี่ท่านเป็นโรคพูดไม่รู้เรื่องรึยังไง ?”