เจียงป่าวชิงรู้ว่าหลี่อันหรูพูดถูก
นางอยู่ที่หมู่บ้านนี้มาสามปีแล้ว ช่วงเวลานี้ไม่ถือว่าสั้น นางจึงรู้ว่าหมู่บ้านนี้ไม่ได้อ่อนแอ ทว่าก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากเสียจนสามารถต่อสู้กับตระกูลใหญ่ตามอำเภอใจได้
ถ้าหากว่าอยากรักษาความปลอดภัย การส่งตัวหลี่อันหรูกลับไปจึงเป็นทางเลือกดีที่สุดที่จะหยุดการสูญเสีย
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะนำคำพูดของเจ้าไปพูดกับพวกหัวหน้าใหญ่ ส่วนเจ้าก็รักษาบาดแผลให้สบายใจเถอะ”
แววความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่อันหรู นางก้มหน้าทันทีและไม่ได้พูดอะไรอีก
เจียงป่าวชิงยืนมองหลี่อันหรูอยู่กับที่สักครู่ถึงจะออกไป แต่ตอนที่ออกไป นางพูดกับซิ่วผิงที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างนอก มือหยิบหญ้าป่ามาฉีกเล่นระบายอารมณ์ “ซิ่วผิง เฝ้าหลี่อันหรูให้ดี ๆ ล่ะ”
ซิ่วผิงกระตุกมุมปากอย่างไม่สบอารมณ์ “หมอเจียง เจ้าเป็นห่วงหลี่อันหรูขนาดนี้เลยรึ ?”
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ก่อนตอบกลับ “ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงอะไรนางหรอก หลัก ๆ คือข้ากลัวว่านางจะสร้างปัญหาอะไรอีกนี่สิ และเมื่อถึงตอนนั้น คนที่เหนื่อยคือเรานี่แหละ”
ได้ยินคำว่า “เรา” ซิ่วผิงก็แสนดีใจ ทันใดนั้นจิตวิญญาณอันหมดอาลัยตายอยากของนางพลันกลับมามีชีวิตชีวาราวกับถูกชโลมด้วยน้ำเย็นสดชื่นอย่างไรอย่างนั้น นางพยักหน้าแรง ๆ “หมอเจียง เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะเฝ้านางให้ดีเลย”
แต่ไม่ว่าซิ่วผิงจะรอบคอบมากเพียงใดก็ไม่สามารถหยุดหัวใจของหลี่อันหรูที่กำลังตื่นเต้นกับแผนการใหม่ในหัว และไม่สามารถเฝ้าหลี่อันหรูตลอดเวลาได้ เพราะถึงอย่างไร ซิ่วผิงก็ต้องไปช่วยงานแม่ของนางที่ในครัวเป็นบางครั้ง ไหนจะงานเย็บปักถักร้อยทางฝั่งบ้านหัวหน้าสองก็ต้องการให้นางไปช่วยด้วยนิดหน่อย
ตอนที่ซิ่วผิงไปทำงาน หลี่อันหรูกัดฟัน รวมความกล้าเปิดหน้าต่างออกไป ท่าทีที่นางตั้งใจแสดงออกในตอนเปิดหน้าต่างคือสาวงามที่กำลังร้องไห้
พวกผู้ชายที่หลงใหลในความงามของหลี่อันหรูจนจิตวิญญาณเคลิบเคลิ้มกำลังเดินเตร่อยู่แถวนี้ ตอนที่พวกเขาเห็นหน้าต่างถูกเปิดออกโดยสาวงาม ต่างก็รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนใช้ไม้ตะบองตีหัวอย่างแรง มันเป็นความรู้สึกมึนงงลุ่มหลง อยากพุ่งเข้าไปเช็ดน้ำตาให้สาวงามเสียเดี๋ยวนั้น
หลี่อันหรูคิดว่าในเมื่อที่ถ้ำโจรมีกฎไม่อนุญาตให้รังแกผู้หญิง เช่นนั้นอย่างน้อยก็สามารถรับประกันความบริสุทธิ์ของนางได้
ในเวลานี้ นางจำได้ว่าป้าของนางเคยบอกนางอย่างมีความหมายแฝงว่าความงามที่นางมีจะเป็นอาวุธยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง หลี่อันหรูจึงพยายามเก็บงำความรังเกียจกับความสะอิดสะเอียนไว้ในใจ และเริ่มใช้ความงามของตัวเองรับมือกับพวกโจรที่หลงใหลในตัวนาง
……
อีกฝั่งหนึ่ง เจียงป่าวชิงเขียนจดหมายเพื่อรำพันและทักทายคนรู้จักเก่าในเมืองหลวงโดยไม่ลิมอิงความเป็นตัวกู่ฟู่กุ้ย นางเขียนอย่างแยบยลโดยเป็นการถามสภาพการณ์ทั่วไปของเมืองหลวงในตอนนี้ ไปจนถึงถามเกี่ยวกับสาวงามในเมืองหลวง และยังไม่ลืมเสริมว่าเขาอายุมากแล้วจึงอยากหาภรรยาสักคนให้มาเป็นผู้นำหมู่บ้านร่วมกันหรือสร้างทายาทอะไรทำนองนั้น
แน่นอนว่าเนื้อความในจดหมายนี้ ไม่มีจุดใดที่โยงใยหรือทำให้คนที่อ่านมันเกิดความสงสัยว่าพวกเขาคือพวกคนที่ลักพาสาวงามจากเมืองหลวงมา หลัก ๆ เน้นถามเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อเร็ว ๆ นี้มากกว่า รวมถึงถามเกี่ยวกับภูมิหลังของครอบครัวที่มีสาวงามและมีชื่อเสียงในเมืองหลวงด้วย แม้จะรู้ว่าไม่คู่ควรกับนาง แต่ถึงอย่างไรก็อยากจะได้พบเห็น ได้รู้จัก เผื่อมีโอกาสเลือกมาเป็นภรรยา
เจียงป่าวชิงเขียนระบุอย่างชัดเจนจนเสร็จสรรพแล้วก็ยัดกระดาษใส่ในซองจดหมายที่ทำจากหนังวัว นางจะนำไปอ่านให้กู่ฟู่กุ้ยฟังก่อน หากได้รับความเห็นชอบแล้วค่อยปิดผนึก
ตอนที่เจียงป่าวชิงอ่านจดหมายที่นางเป็นผู้เขียนแทนกู่ฟู่กุ้ยให้ฟัง ระหว่างนั่งฟังอยู่ เขาฟังจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว จวบจนฟังจบเขาก็เอ่ยออกมา “ดี! ดีมาก! ข้าล่ะสงสัยเลยว่ามีอะไรอยู่ในสมองของปัญญาชนอย่างพวกเจ้ากัน ? เขียนได้ดีแต่นี่มันคดเคี้ยวเกินไปหรือเปล่า มันอ้อมเกินไปหรือไม่ ?”
เจียงป่าวชิงคิดเสียว่ากู่ฟู่กุ้ยชมนาง นางพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ที่ข้าเลือกไม่เขียนสถานการณ์ไปอย่างชัดเจนในจดหมาย อย่างแรกก็เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยของคนรู้จักของท่าน ยิ่งเขียนเหมือนเรารู้น้อยเท่าไหร่ก็จะยิ่งปลอดภัยเท่านั้น อย่างที่สองคือเป็นการระมัดระวังตัว ถ้าหากคนรู้จักคนนั้นอ่านจดหมายนี้ของท่านแล้วเกิดความสงสัย อย่างไรข้าก็คิดว่าเขาคนนั้นคงไม่สามารถจับจุดบกพร่องของจดหมายฉบับนี้ได้ง่ายนัก”
กู่ฟู่กุ้ยพูดอย่างไม่พอใจ “น้องเจียง ดูเจ้าพูดสิ คนรู้จักของข้าคือน้องชายที่เคยผ่านชีวิตมากับข้า มันปลอดภัยมาก ทำไมเจ้าถึงสงสัยเขาขนาดนี้ แถมยังเขียนเกี่ยวกับเรื่องเลือกเอาภรรยาด้วย นี่ไม่ไร้สาระไปหน่อยรึ ?”
เจียงป่าวชิงทำเป็นไม่ได้ยินและเสสายตามองไปที่ซูรุ่ยเอ๋อร์ “หัวหน้าสอง แล้วท่านล่ะว่ายังไง ข้าเขียนแบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ?”
ซูรุ่ยเอ๋อร์กำลังโยนองุ่นใส่ปากอย่างเกียจคร้าน ได้ยินดังนั้น นางกะพริบตาใส่เจียงป่าวชิง “เจ้าเขียนได้ดีมาก แต่ข้ายังมีอีกหนึ่งคำถาม”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “หัวหน้าสองเชิญพูดได้เลย”
ซูรุ่ยเอ๋อร์ส่งสายตาหยอกเย้าให้เจียงป่าวชิง “คืนนี้เจ้ามีเวลาว่างไหม ? มาที่ห้องข้าสิ พี่สาวคนนี้จะพาเจ้าไปเล่นสนุกเอง”
“…” เจียงป่าวชิงทำเป็นไม่ได้ยินและหันไปมองจิ้นเทียนหยู่แทน ซึ่งจิ้นเทียนหยู่ เขากำลังรอให้นางถามเขาอยู่พอดี
ทว่าเจียงป่าวชิงชะงักไป และสายตาของนางมองข้ามจิ้นเทียนหยู่ไปเสียอย่างนั้น “งั้นก็เอาตามนี้ สามารถส่งจดหมายฉบับนี้ออกไปได้แล้ว”
จิ้นเทียนหยู่แย้งทันควัน “เฮ้ เดี๋ยวเซ่! หมอแซ่เจียง นี่เจ้าหมายความว่ายังไง ทำไมเจ้าถึงไม่ถามความคิดเห็นข้า ?”
เจียงป่าวชิงพูดอย่างสุภาพ “เป็นที่รู้กันว่าหัวหน้าสามแค่หน้าตาเหมือนพวกปัญญาชนเท่านั้นแต่ไม่ใช่ ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าการถามหัวหน้าสามเกี่ยวกับเรื่องนี้คงเป็นการสีซอให้ควายฟัง”
มีดของจิ้นเทียนหยู่ถูกชักออกมาแทบจะในทันที เขาระเบิดอารมณ์ ตะคอกด้วยเสียงอันดัง “เจียงป่าวชิง!!! ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากตายมากแล้วจริง ๆ !”
เจียงป่าวชิงลอบพยักหน้าขณะคิดในใจ ‘ดีมาก… ผลการรักษาค่อนข้างน่าประทับใจพอสมควร ดูเหมือนว่าการที่ข้ากระตุ้นให้จิ้นเทียนหยู่โมโหนาน ๆ มันเป็นการยกระดับความอดทนของเขาซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นแล้วว่ามันได้ผลพอสมควร ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้มีดของเขาคงบินมาถึงล่างคอของข้าแล้วกระมัง’
ซูรุ่ยเอ๋อร์รู้สึกขบขัน นางหัวเราะตัวโก่ง
ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน ร่างกายเขามีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อย เขาเข้ามาในห้องด้วยความรีบเร่งจนสะดุดกับธรณีประตูล้มลงไปบนพื้น
“หะ… หัว… หัวหน้าใหญ่ขอรับ!” ชายคนนั้นพูดขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน “ฉินหัวฆ่าซุนโก๋จื่อแล้วขอรับ!”
เกือบจะในทันที ผู้คนในห้องต่างพากันเงียบกริบ
กฎข้อแรกของหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือห้ามฆ่ากันเอง
พวกเขาเป็นโจรที่บางคนถูกสภาพสังคมบังคับไม่ให้ใช้ชีวิตต่อได้อย่างราบรื่น บางคนก็เป็นคนสิ้นหวังโดยเฉพาะ ช่วงปีแรก ๆ ที่เพิ่งเริ่มสร้างหมู่บ้านนี้ เหตุการณ์เข่นฆ่ากันเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และไม่รู้ว่ามีศพของพี่น้องบ้านตัวเองถูกโยนลงไปในหุบเขาด้านหลังหมู่บ้านแล้วกี่ศพ ตั้งแต่นั้นมากู่ฟู่กุ้ยจึงตั้งกฎสำหรับหมู่บ้านขึ้น
ใครก็ตามที่ละเมิดกฎระเบียบ หากไม่มีเหตุผลที่ถูกต้อง ก็จะถูกประหารชีวิตต่อหน้าทุกคน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพวกเขารับผู้ประสบภัยที่ยังหลงเหลืออยู่มาร่วมอาศัยในหมู่บ้านมากมาย หมู่บ้านนี้จึงกลายเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้นมาก แต่กู่ฟู่กุ้ยยังคงจำชื่อทุกคนในหมู่บ้านได้
ซุนโก๋จื่อนั้น เขาเป็นคนที่ทำอะไรบางอย่างผิด ๆ มาจนเจ้าหน้าที่ประจำบ้านเกิดของเขาไม่สามารถให้เขาอาศัยอยู่ที่นั่นได้อีก เขาจึงมาหาที่พึ่งพิง ณ หมู่บ้านแห่งนี้ ในยามปกติเขาค่อนข้างปอดแหกและชอบใช้ความกะล่อนปัดความรับผิดชอบ แต่ก็ถือว่ามีความจงรักภักดีอยู่พอสมควร กู่ฟู่กุ้ยจำได้ว่าตอนที่เขาพาซุนโก๋จื่อออกไปปล้น ซุนโก๋จื่อมองดูเลือดที่นองเต็มพื้นด้วยสองขาสั่นคลอน แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้หันหลังหนีแต่อย่างใดแต่กลับอดทนต่อสู้กับความหวาดกลัว และยังเป็นคนที่ทำการค้ากับพวกพี่น้องในหมู่บ้านได้สำเร็จด้วย
ส่วนฉินหัว เขาเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีตัวตน ไม่โด่ดเด่นทว่าก็มิใช่ตัวถ่วง เสียอย่างเดียวคือเขาชอบดื่มเหล้า หลังจากดื่มเหล้าเสร็จก็มักก่อเรื่องหลากหลาย กู่ฟู่กุ้ยยังจำได้ว่าตอนที่ฉินหัวเมาเมื่อครั้งที่แล้ว เขาวิ่งไปนอนหลับบนเตียงของป้ากาว นอนห่มผ้าห่มเสร็จสรรพ สุดท้ายก็ถูกป้ากาวตีด้วยไม้ตะบองและไล่ออกมา
……
สองคนนี้ นอกจากลงจากเขาเพื่อไปร่วมปล้นแล้ว ยามปกติก็ไม่น่าจะคลุกคลีอะไรกัน แต่ทำไมคนหนึ่งถึงฆ่าอีกคนได้หนอ ?