“ข้าทราบแล้ว ข้าจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของเจียงป่าวชิงฟังดูอ่อนแอมาก เรียกได้ว่าใครได้ยินก็ต้องรู้เลยว่ากำลังไม่สบายอยู่ “ที่พวกท่านพูดเสียงดังเมื่อครู่ ข้าได้ยินหมดแล้ว อาฉิงยังเล็ก เขาก็แค่เป็นห่วงข้า เมื่อกี้นี้ข้านอนอยู่ นี่ก็เพิ่งตื่นมา ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง หัวหน้าสามอย่าระบายอารมณ์กับอาฉิงเลย”
“ทำไมเจ้าถึงได้ป่วยหนักขนาดนี้เล่า ?” ผ่านไปสักครู่ เหมือนจิ้นเทียนหยู่เพิ่งได้สติอย่างไรอย่างนั้น เขาอดถามไม่ได้
“ข้าก็ป่วยนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เป็นอะไรมากหรอก” เจียงป่าวชิงไม่อยากพูดอะไรมากมาย ทำเพียงมองจิ้นเทียนหยู่ “หัวหน้าสาม รบกวนท่านช่วยออกไปก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“หืม อะ…อ้อ ได้ ๆ” จิ้นเทียนหยู่หันกลับไปอย่างงง ๆ และเกือบจะสะดุดขาตัวเองอยู่รอมร่อ
จิ้นเทียนหยู่รู้สึกใจร้อนไม่เป็นสุขเอาเสียเลย นี่เขากำลังลุกลี้ลุกลนอะไร
อารมณ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวเอง เขาผลักประตูออกไปด้วยสีหน้าย่ำแย่
จิ้นหนิวเห็นจิ้นเทียนหยู่ผลักประตูออกมาก็รู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างอัดแน่นอยู่ในใจ เขาคิดว่าจิ้นเทียนหยู่พูดกับหมอเจียงไม่สำเร็จ ตอนนี้จึงไม่กล้าเข้าไปพูดอะไรกับหัวหน้าสามของเขา
เจียงฉิงถือโอกาสสลัดออกจากอ้อมแขนจิ้นหนิวและวิ่งเข้าไปในห้องทันที
จิ้นเทียนหยู่รออยู่ใต้ชายคาบ้านตรงหน้าบ้านด้วยใบหน้าที่มืดมน
ใต้ชายคาบ้านมีผลไม้แห้งรสออกเผ็ดแขวนอยู่ เมื่อลมพัดโชยมา พวงของผลไม้แห้งนั้นก็มาโดนข้างแก้มเขา ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกใจร้อนไม่เป็นสุขเลยจริง ๆ และคิดจะเอื้อมมือไปดึงมัน
“หัวหน้าสาม ท่านอย่าจับมันนะ” น้ำเสียงที่อ่อนแอของเจียงป่าวชิงดังขึ้นจากทางด้านหลังจิ้นเทียนหยู่ “อาฉิงชอบกินมันมาก กว่าข้าจะทำมันเสร็จก็ใช้เวลานานอยู่”
จิ้นเทียนหยู่ปล่อยมือ เขาหันไปเห็นเจียงป่าวชิงที่ตอนนี้คลุมเสื้อคลุมหนาออกมา และมีเจียงฉิงประคองอยู่ข้างหลังเขา
เจียงฉิงพูดขึ้นเสียงเบา “พี่ป่าวชิง ข้าจะไปหยิบเสื้อกันฝนกับหมวกหญ้ามาให้นะขอรับ”
เจียงป่าวชิงตอบรับเสียงเบา
เห็นท่าทางของเจียงป่าวชิงที่เหมือนลมพัดมาเพียงวูบเดียวก็ปลิวได้ จิ้นเทียนหยู่ก็รู้สึกขัดตามาก ในยามปกติ ไอ้หน้าขาวนี่มักจะพูดถากถางเขาและชอบกวนอารมณ์ กระตุ้นให้เขาหงุดหงิดอยู่เสมอ และจิ้นเทียนหยู่อยากฆ่าเขาให้ตายสักแปดร้อยรอบ แต่พอเห็นเจียงป่าวชิงป่วยจนกลายเป็นแบบนี้เขาก็รู้สึกแปลกประหลาดในใจ
เขาไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกโกรธขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เห็นเจียงป่าวชิงใส่เสื้อกันฝนกับหมวกหญ้า สีหน้าซีดเผือดย่ำแย่ หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ว่าเขาจะมองดูอย่างไร เขาก็รู้สึกโกรธเคือง
เจียงป่าวชิงเห็นจิ้นเทียนหยู่ทำหน้าทำตาบูดบึ้งก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย นางคิดแค่ว่าคนที่อารมณ์ร้อนอย่างเขาอาจจะรำคาญที่นางชักช้าก็ได้
“พี่ป่าวชิง ข้าจะไปกับพี่ด้วย ถ้าพี่เป็นลมไปจะทำยังไง” เจียงฉิงเพิ่งพูดจบ เจียงป่าวชิงยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็เห็นจิ้นเทียนหยู่เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าบึ้งตึงเสียก่อน
สีหน้าอึมครึมทำให้เจียงป่าวชิงงุนงง นางคิดว่าเขามองเห็นใคร แต่วินาทีต่อไปนางก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมา
อุ้ม!
อุ้มรึ!
แม้เจียงป่าวชิงจะเป็นคนสงบเสงี่ยมมากเพียงใด เจออุ้มเช่นนี้นางก็ตกตะลึง
เจียงฉิงตกใจยิ่งกว่า ยืนอ้าปากค้างมองจิ้นเทียนหยู่อยู่ที่เดิมโดยพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ส่วนจิ้นหนิวก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างเช่นกัน ปากที่อ้านั้นกว้างเสียจนแทบจะยัดหมัดหนึ่งหมัดเข้าไปได้อยู่แล้ว
สีหน้าของจิ้นเทียนหยู่ย่ำแย่มาก “ฮึ่ม! ดูจากท่าทางอ่อนแอป่วยใกล้ตายของเจ้า ถ้าคาดหวังให้เจ้าเดินไปด้วยตัวเอง เหล่าจิ่วก็คงเจ็บจนตายไปก่อนแน่ ๆ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “ข้าขอโทษ”
จิ้นเทียนหยู่อุ้มเจียงป่าวชิงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม พร้อมทั้งถือกล่องยาของเจียงป่าวชิงด้วย จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าเข้าไปท่ามกลางสายฝนอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่เป็นวันฝนตก เจียงป่าวชิงได้บดบังใบหน้าด้วยเสื้อกันฝนกับหมวกหญ้า ถ้าไม่อย่างนั้น ภายในเวลาไม่นานข่าวที่ว่าหัวหน้าจิ้นอุ้มหมอเจียงเดินไปตามท้องถนนคงกระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านเป็นแน่
จิ้นเทียนหยู่เปียกไปทั้งตัว ตอนที่เขาอุ้มเจียงป่าวชิงเข้าไปในบ้านหลังเล็กที่เหล่าจิ่วพักอาศัย กู่ฟู่กุ้ยก็มองดูเจียงป่าวชิงที่อยู่ในอ้อมแขนของจิ้นเทียนหยู่และยื่นมือออกมาเลิกหมวกเจียงป่าวชิงออก
และเขาก็ต้องตกใจจนเกือบตกจากเก้าอี้
“น้องสาม!” กู่ฟู่กุ้ยโพล่งออกมาด้วยความโกรธ “ไม่ว่าน้องเจียงจะทำอะไร เจ้าก็ไม่ควรลงไม้ลงมือกับน้องเจียงอย่างขาดสติแบบนี้”
“?”
เจียงป่าวชิงถูกลงไม้ลงมือรึ ไม่ใช่แล้ว!
จิ้นเทียนหยู่หน้าดำคล้ำเครียด เขาไม่มีเวลาไปตะเพิดกู่ฟู่กุ้ยว่าพูดเหลวไหล เดิมทีเขาอยากโยนเจียงป่าวชิงในอ้อมกอดลงไปเลยด้วยซ้ำ แต่พอเขาก้มหน้ามองใบหน้าที่เปียกฝนของเจียงป่าวชิง เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และวางไอ้หนุ่มร่างเล็กนี้ลงด้วยท่าทางแข็งกระด้าง
หลังจากที่เจียงป่าวชิงออกจากกอ้อมกอดของจิ้นเทียนหยู่แล้ว นางก็ยืนโงนเงนไปชั่วขณะ จิ้นเทียนหยู่จึงยื่นมือออกไปจับเจียงป่าวชิงโดยไม่รู้ตัวทว่าเจียงป่าวชิงไม่สนใจ แต่จิ้นเทียนหยู่จ้องมองแขนของตัวเองที่ดูเหมือนจะรู้สึกตัวและรีบเป็นฝ่ายขยับออกไปเองราวกับว่าเขาเห็นผีที่น่ากลัว
แต่ไม่มีใครสนใจจิ้นเทียนหยู่ที่มีท่าทางแปลก ๆ ในตอนนี้
เจียงป่าวชิงถอนหายใจเบา ๆ และถอดเสื้อกันฝนออกก่อนจะไปดูไป๋เหล่าจิ่วที่สลบอยู่บนเตียงเพราะความเจ็บ
ไป๋เหล่าจิ่วนอนอยู่บนเตียง เห็นได้ชัดว่าเขาหายใจอ่อนแรงแล้ว
สีหน้าของเจียงป่าวชิงเคร่งขรึมมาก กู่ฟู่กุ้ยเองก็พูดอย่างร้อนใจอยู่ข้าง ๆ “น้องเจียง อาการของเหล่าจิ่วเป็นยังไง ยังรักษาได้ไหม ?”
“ตอนนี้ข้ายังบอกอะไรไม่ได้” เจียงป่าวชิงตอบอย่างรวบรัดและจัดการกับไป๋เหล่าจิ่วอย่างว่องไว แม้นางจะไม่สบายตัวมาก แต่ตอนนี้เป็นความเป็นความตายของคนคนหนึ่ง และนางคิดว่าความรู้สึกไม่สบายร่างกายของตัวเองสามารถโยนทิ้งไปข้างหลังได้
……
โชคดีที่ทักษะการรักษาของเจียงป่าวชิงนั้นล้ำเลิศมากจึงสามารถรักษาชีวิตของไป๋เหล่าจิ่วไว้ได้ เพียงแต่จากอาการบาดเจ็บของเขา เขาคงลงจากเตียงไม่ได้สามเดือนเป็นอย่างต่ำ
ในที่สุดกู่ฟู่กุ้ยก็โล่งใจสักที เขาตบไหล่เจียงป่าวชิงด้วยใบหน้ายิ้มพอใจ และกำลังจะพูดขอบคุณสักสองสามคำเพื่อกระชับความสัมพันธ์ แต่ก็ต้องตกใจเพราะเจียงป่าวชิงกลับล้มลงไปเพราะแรงตบไหล่ของเขา สีหน้านางดูไม่ดี นางดู… เหมือนเจ็บปวดอะไรสักอย่าง
กู่ฟู่กุ้ยยังไม่ทันได้พูดอะไร จิ้นเทียนหยู่ก็ผุดลุกขึ้นยืนและผลักกู่ฟู่กุ้ยออกอย่างร้อนรน “หมอแซ่เจียงเจ้าเป็นอะไร ?!”
กู่ฟู่กุ้ยที่ถูกผลักอย่างแรงตกตะลึง น้องสามเป็นห่วงน้องเจียงด้วยหรือนี่
เจียงป่าวชิงจับไหล่ตัวเอง นางเจ็บจนกลั้นหายใจอยู่หลายครั้งถึงจะผ่อนคลายลง ส่ายหน้าด้วยใบหน้าเผือดซีด ยังยิ้มทั้งเจ็บอยู่อย่างนั้น “หัวหน้าใหญ่ ข้าเกือบพิการเพราะฝ่ามือของท่านแล้ว”
นางเคยถูกใครไม่รู้เหยียบไหล่ข้างซ้ายจนกระดูกแตกเป็นเสี่ยง ๆ มาก่อน แล้วยังไม่รู้ด้วยว่าตัวเองแช่อยู่ในน้ำเย็นจัดเป็นเวลานานเท่าไหร่ ซ้ำร้ายยังพลาดเวลาการรักษาที่ดีที่สุดเพราะไร้ที่อยู่อาศัยแม้ตัวนางเองจะมีทักษะการรักษา แต่ในเมื่อไม่มีอุปกรณ์หรือยาที่ดี ก็ทำได้เพียงรักษาอย่างถู ๆ ไถ ๆ พอให้ใช้ชีวิตต่อได้เท่านั้น
ด้วยไหล่เคยเป็นแบบนั้น ประกอบกับตอนนี้อ่อนแอเพราะประจำเดือนมาอยู่แล้ว เพียงแรงตบไหล่ของกู่ฟู่กุ้ยก็ทำให้นางล้มร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นได้
กู่ฟู่กุ้ยรู้สึกงุนงงมาก เขาพูดด้วยใบหน้าเหยเก “เฮ้ย! ขะ… ข้าไม่ได้ออกแรงอะไรมากเลยนะ”
จิ้นเทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงหยาบคาย “พี่ใหญ่ ฝ่ามือที่เหมือนหมีของพี่ ไอ้หน้าขาวอย่างหมอแซ่เจียงจะต้านไหวได้ยังไงเล่า” พูดจบ เขายื่นแขนออกไปกระชากปนประคองเจียงป่าวชิงขึ้นมา
กู่ฟู่กุ้ยเกาศีรษะ ในหัว ครุ่นคิดว่ามีบางสิ่งผิดปกติไป