สิ่งที่ทำให้กู่ฟู่กุ้ยรู้สึกผิดปกติยังมีเรื่องที่ว่า จิ้นเทียนหยู่เป็นฝ่ายจะไปส่งเจียงป่าวชิงด้วยตัวเอง
จิ้นเทียนหยู่พูดขึ้น ท่าทางเขาเหมือนพวกที่ใช้ความโกรธกลบเกลื่อนความเขินอาย เมื่อต้องเผชิญกับสายตาสงสัยของทั้งเจียงป่าวชิงกับกู่ฟู่กุ้ย เขาก็ยิ่งอาย
“เฮ้! เหล่าจิ่วเป็นน้องชายข้า ดูท่าทางของไอ้หน้าขาวอย่างหมอแซ่เจียงสิ เดิน ๆ อยู่ก็ถูกลมพัดปลิวได้แล้ว แบบนี้ข้าก็ต้องรับผิดชอบอะไรหน่อยเซ่!”
พูดเช่นนี้ก็เหมือนจะไม่ผิด…
ดังนั้น เจียงป่าวชิงจึงถูกจิ้นเทียนหยู่อุ้มกลับไป แม้สีหน้านางจะยังคงทาบทาความแปลกใจ แต่ก็ต้องยอมให้เขาอุ้มไป
ก็ดีเหมือนกัน กำลังขี้เกียจเดินอยู่พอดี
จิ้นเทียนหยู่เดินอุ้มเจียงป่าวชิงไป และมีเจียงฉิงวิ่งตามอยู่ข้างหลัง
เมื่อทั้งสามมาถึงที่บ้านของเจียงป่าวชิง จิ้นเทียนหยู่ก็วางเจียงป่าวชิงลงบนพื้นราวกับกำลังสะบัดมันฝรั่งร้อน ๆ อย่างไรอย่างนั้น และไม่รอช้า เขาหมุนตัววิ่งจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ตอนนี้เจียงป่าวชิงทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บ ร่างกายของนางเหมือนถูกบดมาอย่างละเอียด นางไม่มีเวลาไปสนใจความผิดปกติของจิ้นเทียนหยู่หรอก ทันทีที่ล้มตัวลงนอนซุกผ้าห่ม นางก็ไม่อยากขยับร่างกายส่วนใดเลยแม้กระทั่งนิ้วมือ
เวลาผ่านไปสักพัก เจียงฉิงก็เข้ามายืนพูดอย่างขลาดกลัวอยู่ข้างเตียง “พี่ป่าวชิง วันนี้ข้าผิดเอง พี่อย่าโกรธข้าเลยนะ”
เจียงป่าวชิงผ่อนลมหายใจ เอียงหน้ามองเจียงฉิงจากในผ้าห่ม “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าผิดตรงไหน ?”
เจียงฉิงกัดริมฝีปากล่าง ใบหน้าเล็กที่ดูน่ารักอ่อนวัยเต็มไปด้วยความละอายใจ “ข้า… ตอนนั้นข้าแค่คิดว่าพี่ไม่สบายตัว จึงไม่อยากให้ใครมารบกวนพี่ป่าวชิงจ้ะ…”
เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ
เจียงฉิงเป็นขอทานตัวน้อยที่ร่อนเร่พเนจรมาตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่น้องชายที่พึ่งพาอาศัยกันกับนางตายแล้ว หากว่านางไม่ได้อยู่เพื่อตัวนางเอง นางก็อาจตายไปแบบน้องชายของนางก็ได้ เจียงป่าวชิงพยายามกัดฟัน ออกแรงยื่นมือไปลูบผมเจียงฉิง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี แต่นี่คือชีวิตคนคนนึง ข้าเองไม่ได้เป็นอะไรมากมาย ก็แค่ปวดท้องเท่านั้น ความ เจ็บ ปวด เพียงเล็กน้อยนี้ เจ้าคิดว่าเทียบเท่า กับ ชีวิตคนหนึ่งคนได้หรือ ?”
เจียงฉิงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ อันที่จริงนางทราบดีว่าความห่วงใยพี่สาวตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด แต่นางรู้ดีว่าการเป็นห่วงมากไปจนลืมเรียงสำดับความสำคัญเรื่องที่ควรทำก่อนหลังก็ก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน ตอนนี้นางเรียนรู้แล้ว และนางจะไม่ทำผิดแบบเดิมอีกแล้ว
เจียงป่าวชิงเห็นสาวน้อยยืนหดตัวอยู่ข้าง ๆ เตียงในท่าทางประหนึ่งคนที่เพิ่งกระทำความผิดมหันต์มา จึงใจอ่อนและพูดสั่งนาง “เจียงฉิง แน่นอนว่าถ้าชีวิตตัวเราเองถูกคุกคามก็ต้องรักษาชีวิตตัวเราเองไว้ก่อน แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงมากนัก เราก็ต้องรู้จักช่วยเหลือคนอื่น และเอาเข้าจริง เจ้าต้องลองคิดดูดี ๆ นะ เรื่องวันนี้น่ะไม่ใช่แค่ชีวิตคน เจ้าลองคิดดูสิว่าถ้าข้าไปรักษาล่าช้าและไป๋เหล่าจิ่วตายขึ้นมา หมู่บ้านนี้จะยังให้เราอยู่ต่ออีกหรือเปล่า”
เจียงฉิงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง
เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ที่จะลูบหัวสาวน้อย น้ำเสียงของนางอ่อนลง “เอาล่ะ ต่อไปเจ้าก็คิดดี ๆ อย่าลืมที่ข้าสอนก็พอ”
เจียงฉิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
……
วันต่อมา เจียงป่าวชิงได้รับโสมที่จิ้นเทียนหยู่สั่งให้จิ้นหนิวเอามาให้นาง
อาการของนางดีขึ้นแล้วในวันนี้ การดื่มยาต้มช่วยแก้อาการปวดที่เกิดจากประจำเดือนได้ และยังมีเรื่องดี ๆ อีกเรื่องคืออากาศในช่วงนี้ค่อย ๆ ดีขึ้น นางจึงรู้สึกดีขึ้นมาก
เจียงป่าวชิงมองดูโสมที่มีอายุอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีด้วยความงุนงง
“หัวหน้าสามของพวกเจ้าสั่งให้เอามาให้ข้ารึ ?” เจียงป่าวชิงรู้สึกสับสนปนแปลกใจ “เขาไม่รู้จักโสมนี่ถึงได้ให้เจ้านำมาให้ข้าดูหรือเปล่า ?”
จิ้นหนิวส่งเสียง ฮืม ในลำคอแล้วพูดขึ้น “ใช่ซะที่ไหนกัน นี่เป็นสิ่งที่หัวหน้าสามตั้งใจหยิบออกมาจากในกล่องโดยเฉพาะ เขาโยนให้ข้าและสั่งให้ข้าเอามาให้หมอเจียง”
เจียงป่าวชิงยิ่งรู้สึกงุนงง โสมอายุกว่าร้อยปีนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดต่างก็เป็นเครื่องปรุงยาอันล้ำค่า ทำไมจิ้นหนิวถึงพูดด้วยท่าทางธรรมดาเหมือนว่าจิ้นเทียนหยู่สั่งให้เขานำหัวไชเท้าหัวใหญ่ธรรมดา ๆ มาให้นางอย่างนั้นเล่า
“ไม่ได้” เจียงป่าวชิงปฏิเสธ “โสมอายุกว่าร้อยปีนี้มันล้ำค่าเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
จิ้นหนิวรีบพูดขึ้นทันที “หัวหน้าสามบอกว่านี่คือค่ารักษาไป๋เหล่าจิ่ว โดยปกติเจ้าเด็กนั่นมักมีเงินอยู่ในมือเพียงน้อยนิดแต่เขาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ตอนนี้ในมือของเขาคงไม่มีเงินแล้ว ดังนั้น โสมนี้จึงถือว่าเป็นค่ารักษาของเขา”
ถึงแม้ว่าจิ้นหนิวจะพูดให้เหตุผลมาเช่นนี้ แต่ในใจของเขากลับรู้สึกเจ็บปวดจนถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าอย่างต่อเนื่อง ใครว่าเขาไม่รู้ นี่น่ะ เป็นถึงโสมอายุกว่าร้อยปีเชียวนะ ถ้านำออกไปขายก็คงเป็นของที่ทำเงินกว่าหลายร้อยตำลึงเลยทีเดียว
หัวหน้าสามของเขาดีกับไป๋เหล่าจิ่วเกินไปแล้ว
เมื่อเจียงป่าวชิงได้ฟังว่าโสมอายุกว่าร้อยปีนี้เป็นค่ารักษาพยาบาลของไป๋เหล่าจิ่ว นางก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างเสียมิได้ “หัวหน้าสามของพวกเจ้าใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อทดสอบความรู้สึกทางศีลธรรมของข้าหรือเปล่า ? ถ้าจะให้ค่ารักษา ให้โสมธรรมดาก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องให้โสมล้ำค่าขนาดนี้หนิ”
จิ้นหนิวเห็นเจียงป่าวชิงไม่ยอมรับของ เขาก็รีบทิ้งท้าย “เจ้ารับ ๆ ไปเถอะ ข้ายังมีธุระต่อ ต้องขอตัวก่อน”
แล้วเขาก็วิ่งจากไปเร็วกว่าใคร
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หัวหน้าสามของพวกเขาพูดไว้ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ล่ะ หัวหน้าสามบอกว่าจะต้องส่งให้ถึงมือของเจียงป่าวชิงให้ได้ หากไม่สำเร็จก็รอโดนเขาเล่นงานได้เลย
จิ้นหนิวนึกถึงหมัดที่เหมือนเหล็กของหัวหน้าสามของพวกเขา ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่ได้อ่อนแออะไร แต่ก็ต้านหมัดของหัวหน้าสามไม่ได้อยู่ดี
คิดได้ดังนั้น จิ้นหนิวก็รู้สึกอิจฉาไป๋เหล่าจิ่วมากกว่าเดิม หัวหน้าสามของพวกเขาดีกับไป๋เหล่าจิ่วมากจริง ๆ
……
จิ้นเทียนหยู่ดีกับไป๋เหล่าจิ่วมาก เจียงป่าวชิงเองก็คิดเช่นนั้น นางมองดูโสมในมือด้วยความกลัดกลุ้ม
ในความเป็นจริง โสมนี้มีประโยชน์กับนางมากเช่นกัน ตอนนี้ร่างกายนางอ่อนแอและไม่ค่อยได้มีอะไรมาบำรุง โสมนี้จึงจะมีประโยชน์ต่อนาง หากว่าได้เก็บไว้สักหน่อยหนึ่งก็คงดี แต่ติดที่ว่าโสมชนิดนี้ล้ำค่าเกินไป แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ
เจียงป่าวชิงครุ่นคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจตัดโสมออกมาหนึ่งรากเพื่อเก็บไว้ใช้เอง ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้ในห้องยาอย่างเปิดเผยต่อทุก ๆ คนในหมู่บ้าน ในอนาคตหากต้องใช้มันรักษาอะไรใคร ก็ค่อยนำออกมาใช้
คงเป็นเพราะฤทธิ์ของยาต้มโสม วันที่สามสีหน้าของเจียงป่าวชิงจึงดีกว่าเมื่อสองวันก่อนมาก ในที่สุดใบหน้าขาวซีดก็มีสีเลือดดูมีชีวิตชีวาขึ้นสักที
เจียงฉิงพนมมือไหว้ขอบคุณอยู่ตรงหน้าอก นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกขอบคุณและรู้สึกดีกับหัวหน้าสาม
ในเมื่อร่างกายดีขึ้นมากแล้ว เจียงป่าวชิงก็จัดเก็บกล่องยาเพื่อเตรียมไปดูความคืบหน้าอาการของไป๋เหล่าจิ่ว ซึ่งเจียงฉิงอยากตามไปด้วยแต่นางเห็นว่าวันนี้อากาศดีมาก สมควรนำสมุนไพรที่เด็ดกันมาเก็บรอไว้ก่อนหน้านี้มาบดได้แล้ว นางจึงสั่งให้เจียงฉิงอยู่ที่บ้าน
เมื่อนางมาถึงที่พักของไป๋เหล่าจิ่ว ก็พบว่าจิ้นเทียนหยู่อยู่ที่นี่ด้วย
จิ้นเทียนหยู่ไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะมา เขาตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วสังเกตเจียงป่าวชิงโดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว จนเห็นว่าสีหน้าของเจียงป่าวชิงดีขึ้นมากแล้ว สีหน้าของเขาค่อยดีขึ้นมาหน่อย
“หึ!” เขาส่งเสียงออกมาและเดินจากข้างเตียงไป๋เหล่าจิ่วเพื่อไปยืนอยู่ข้างหน้าต่างแทน
เจียงป่าวชิงไม่โกรธที่จิ้นเทียนหยู่ทำเหมือนเหม็นขี้หน้านาง อารมณ์ของหัวหน้าสามคนนี้แปลกประหลาดและฉุนเฉียวขึ้น ๆ ลง ๆ มาโดยตลอด ใคร ๆ ก็รู้กัน
แต่เมื่อนึกถึงโสมอายุกว่าร้อยปีนั้น เจียงป่าวชิงก็เอ่ยขอบคุณจิ้นเทียนหยู่ “เอ่อ… หัวหน้าสาม โสมที่ท่านให้จิ้นหนิวนำมาให้นั้นมีฤทธิ์ดีมากเลย ข้าขอบคุณท่านมาก”
จิ้นเทียนหยู่หันหน้าไปทางอื่นและพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างเย็นชา “ขอบคุณทำไม นั่นคือค่ารักษาเหล่าจิ่ว ข้าไม่ได้ให้เจ้าเฉย ๆ ซะหน่อย”
ไป๋เหล่าจิ่วที่นอนอยู่บนเตียงมีสีหน้าซาบซึ้งใจ “หัวหน้าสาม ที่แท้ท่านก็ดีกับข้าขนาดนี้…”
จิ้นเทียนหยู่สีหน้าเย็นชาแต่ไม่ได้พูดอะไร
เจียงป่าวชิงเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเช่นกัน นางเดินไปยืนข้างเตียงของไป๋เหล่าจิ่วและตรวจดูอาการให้เขา ตรวจไปสักพักก็บอกข้อควรระวังให้ไป๋เหล่าจิ่วรับรู้ ส่วนไป๋เหล่าจิ่วก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย เจียงป่าวชิงลุกขึ้น “เหล่าจิ่ว สุขภาพร่างกายของเจ้าดีขึ้นมาก ต่อไปข้าจะมาดูเจ้าสามวันครั้ง อย่าลืมกินยาให้ตรงเวลาและอย่าขยับมากนักล่ะ”
ไป๋เหล่าจิ่วรีบพูดทันที “ลำบากหมอเจียงแล้ว”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ไม่ลำบากหรอก เห็นแก่ที่หัวหน้าสามของพวกเจ้าออกค่ารักษาพยาบาลเป็นโสมอายุร้อยกว่าปีแทนเจ้า ข้าเองก็ต้องรักษาเจ้าอย่างเต็มที่”
ไป๋เหล่าจิ่วซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอเบ้า “หัวหน้าสาม ท่านดีกับข้าเกินไปจริง ๆ ข้าจะเป็นลูกน้องคอยช่วยเหลือท่านไปตลอดชีวิต”
จิ้นเทียนหยู่เพียงพยักหน้า ก่อนจะเดินหน้ามุ่ยออกจากห้อง