มู่จิ้งอี๋ยิ้มจาง ๆ “ดูเหมือนว่าหมอเจียงจะอายุไม่เกินสิบหก แต่กลับเป็นหมอที่มีทักษะการรักษาโรคโดดเด่นมากคนหนึ่งเลยทีเดียวนะ”
เจียงป่าวชิงมองเขา “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าทักษะของข้า ‘โดดเด่นมาก’ แล้วโดดเด่นขนาดไหนล่ะ ?”
มู่จิ้งอี๋ไม่คิดว่าชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นคนฉลาดเฉียบแหลมถึงเพียงนี้ เขาแค่ถามไปอย่างนั้นเอง แต่อีกฝ่ายกลับจับจุดที่มีความหมายอื่นแฝงในคำพูดของเขาได้ซะอย่างนั้น
ยาฟื้นฟูใบหน้านั้นค่อนข้างแปลกอยู่หน่อย ๆ มันดูเหมือนยาทาบาดแผลบนใบหน้าธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ประสิทธิผลกลับดีกว่าเล็กน้อย
ต้องทราบก่อนว่ายาทาบาดแผลที่หน้านั้น ทำขึ้นมาโดยพวกหมอจากในราชสำนักมาหลายปีด้วยความอุตสาหะพยายาม แต่ยาฟื้นฟูใบหน้านี้ ทำโดยชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีที่อยู่ตรงหน้า จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร
แต่มู่จิ้งอี๋เองก็ไม่ได้หยุดชะงักเพราะคำถามของเจียงป่าวชิง เขายิ้มและพูดขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ “ก่อนหน้านี้รุ่ยเอ๋อร์เคยชมหมอเจียงอยู่หลายครั้งข้าจึงจำได้ขึ้นใจ เพราะถึงยังไงผู้ชายที่เก่งขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นศัตรูหัวใจของข้าเช่นกัน”
หัวหน้าซูได้ฟัง นางก็รู้สึกรื่นหูอย่างมาก ริมฝีปากสวยหยาดเยิ้มขยับพูดขึ้น “พี่อี๋ละก็…”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ นางแตะนิ้วมือลงไปบนเส้นชีพจรของมู่จิ้งอี๋ แต่ทันทีที่วางนิ้วมือลงไป สัญญาณเตือนในหัวใจของนางก็ดังขึ้น
ชายคนนี้คงใช้วิธีจำพวกกำลังภายในเพื่อเปลี่ยนชีพจรของเขาให้กลายเป็นคนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง จังหวะชีพจรของเขาดูเหมือนผู้ป่วยโรคไข้หวัด แต่ปัญหาอยู่ที่ชีพจรที่เปลี่ยนจากการใช้กำลังภายในจะเหมือนคนที่เปลี่ยนผิวหนังภายนอก แต่แกนกลางยังคงเหมือนเดิม มันอาจไม่เป็นไรที่จะหลอกลวงหมอธรรมดา ๆ ทว่าศิลปะการต้มตุ๋นนี้ยังไม่พอสำหรับคนที่มีทักษะการรักษาโรคแบบเรียกได้ว่าล้ำเลิศอย่างเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงไม่พูดอะไรอยู่สักพัก
ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นคงคิดว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น นางนั่งเงียบ แอบสังเกตการเคลื่อนไหวของผู้ชายที่มีชื่อว่ามู่จิ้งอี๋คนนี้ นางนั้นต่างจากคนทั่วไป คิดว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่ควรประมาท ควรรัดคอให้ตายตั้งแต่อยู่ในเปลจะดีเสียกว่า
หัวหน้าซูเห็นเจียงป่าวชิงไตร่ตรองอยู่สักครู่โดยที่ไม่พูดอะไร ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มก็ปรากฏความร้อนใจออกมาให้เห็น “เป็นยังไงบ้าง พี่อี๋ของข้าป่วยอะไรร้ายแรงหรือเปล่า ?”
มู่จิ้งอี๋กลับกระแอมไอได้ทันเวลา เขาแสดงสีหน้าปลอบโยนให้หัวหน้าซู “รุ่ยเอ๋อร์เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป ก็แค่เป็นโรคไข้หวัดเอง ไม่มีอะไรหรอก ผ่านไปไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“พี่อี๋…” ซูรุ่ยเอ๋อร์มองมู่จิ้งอี๋ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เจียงป่าวชิงเก็บมือกลับมาและพูดอย่างสงบ “ข้าจับชีพจรดูแล้ว ดูเหมือนเขาเป็นไข้หวัดธรรมดา”
ซูรุ่ยเอ๋อร์รู้สึกโล่งใจ นางยิ้ม “อื้ม เจ้าจับสภาพชีพจรของเขาแล้ว มันฟังดูเหมือนจะไม่ได้แสดงอาการป่วยที่รุนแรงอะไรใช่ไหม ?”
มู่จิ้งอี๋มองซูรุ่ยเอ๋อร์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขาไม่นึกว่าหญิงคนนี้จะเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ “ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไรหรอก เฝ้ารักษาตัวสองสามวันก็คงดีขึ้นแล้ว แต่เจ้าไม่เชื่อข้า…”
เจียงป่าวชิงพูดขัดจังหวะมู่จิ้งอี๋อย่างสงบจากด้านข้าง “ข้ายังพูดไม่จบ สภาพชีพจรแบบนี้ ดูเหมือนจะเป็นโรคไข้หวัดจริง ๆ แต่ปัญหาคือมันก็แค่ ‘ดูเหมือน’ เท่านั้น”
ร่างกายของมูจิ้งอี๋แข็งทื่อทันที ทว่าก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขายิ้มอย่างอ่อนแอแต่สงบนิ่งอยู่ในที “อืม ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหมอเจียงสักเท่าไหร่ ช่วยอธิบายทีสิ”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้ว น้ำเสียงของนางยังคงเป็นโทนเสียงเรียบ ๆ เช่นเดิม “อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมามากขึ้นก็ได้ เมื่อมองแวบแรก แม้จังหวะชีพจรของเจ้าจะบ่งชี้ว่าเป็นโรคไข้หวัดจริง แต่เมื่อลองจับดูดี ๆ อีกที จะเห็นว่าชีพจรของเจ้าเป็นแบบ ‘บีบแน่นและผ่อนคลาย’ ซึ่งเป็นแค่การแสดงออกของสภาพชีพจรเท่านั้น แต่ในร่างกายเจ้ายังคงมีเรี่ยวแรงอยู่มาก นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นสภาพชีพจรปลอม ๆ ที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงด้วยกำลังภายใน”
มู่จิ้งอี๋ยังไม่ทันได้พูดอะไร มีดเล่มเล็กก็จ่ออยู่ที่คอของเขาเสียแล้ว
ซูรุ่ยเอ๋อร์เข้าใกล้มู่จิ้งอี๋และส่งเสียงไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เพราะถือมีดคม ๆ อยู่ในมือและจ่อไปที่ลำคอของมู่จิ้งอี๋ ก็คงดูเหมือนคู่รักที่รักกันมากและกำลังกระซิบกระซาบกันอย่างไรอย่างนั้น
“พี่อี๋” ซูรุ่ยเอ๋อร์พูดขึ้น “ทำไมพี่ต้องหลอกข้าด้วย ?”
มู่จิ้งอี๋กลับยิ้มอย่างไม่ยี่หระพร้อมทั้งเอาแขนโอบกอดโดยที่ไม่สนใจมีดของซูรุ่ยเอ๋อร์ที่จ่ออยู่บนลำคอตัวเองแม้แต่น้อย เขาพูดขึ้นอย่างสงบ “รุ่ยเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเจ้า แต่ตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมานั้น ข้าเห็นเจ้าเป็นห่วงคนอ่อนแออย่างข้า ทั้งสายตาของเจ้ายังเต็มไปด้วยความอบอุ่น ข้าชื่นชอบมากจึงแสร้งทำเป็นไข้หวัดต่อไป เพราะเจ้าดีกับคนป่วยอย่างข้าเช่นนี้ ทำให้ข้าหลงใหลจริง ๆ ข้าถึงได้ทำแบบนี้ยังไงเล่า”
เจียงป่าวชิงอดตัวสั่นไม่ได้ คำพูดของชายผู้นี้มันชวนให้ขนลุกมาก ทว่าเมื่อดูจากท่าทางตกตะลึงของซูรุ่ยเอ๋อร์แล้ว เห็นได้ชัดว่านางเชื่อในกลอุบายนี้
เจียงป่าวชิงไม่เคยมีความรัก นางลองคิดว่าถ้าหากกงจี้พูดคำพูดพวกนี้กับนางบ้าง… แหวะ!
เจียงป่าวชิงอดที่จะลูบแขนไม่ได้ ก็… มันขนลุกขนชันไปหมดแล้ว
ซูรุ่ยเอ๋อร์ค่อย ๆ วางมีดลง และพิงอยู่ในอ้อมกอดอ่อนนุ่มของมู่จิ้งอี๋ “โอ… พี่อี๋… งั้นข้าจะเชื่อพี่สักครั้ง ต่อไปพี่ก็อย่าหลอกข้าอีกนะ”
มู่จิ้งอี๋ลูบแผ่นหลังซูรุ่ยเอ๋อร์เบา ๆ “รุ่ยเอ๋อร์ไม่ต้องห่วง ที่ข้าหลอกเจ้าก็เพราะข้าแค่อยากได้รับความรักจากเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เจ้าใส่ใจข้าขนาดนี้ ข้าไม่หลอกเจ้าอีกแล้ว”
ซูรุ่ยเอ๋อร์ยังคงพิงอยู่ในอ้อมกอดของมู่จิ้งอี๋และหัวเราะคิกคัก “ฮิ ๆ ถ้าอย่างนั้น พี่อี๋ เราจะใช้ชีวิตร่วมกันตอนไหนล่ะ ?”
อากัปกิริยาของมู่จิ้งอี๋ยังไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงแสดงท่าทางอบอุ่นอยู่อย่างเดิม “ถ้ารุ่ยเอ๋อร์อยาก ก็ได้ทุกเวลาเลยจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เลยเป็นไงจ๊ะ ?”
“ได้สิ”
…
เจียงป่าวชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างใกล้จะทนไม่ไหวต่อบทสนทนาอันหวานเลี่ยนของทั้งสองคนอยู่แล้ว นางล่ะนับถือทั้งคู่จริง ๆ และได้แต่ส่ายหน้า หยิบกล่องยาขึ้นมาถือไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านทั้งสองตามสบาย ข้าขอตัวก่อน”
เฮ้อ… สองคนนี้ทำอะไรไม่สมควรต่อหน้าเด็กแท้ ๆ งั้นก็ปล่อยไปเถอะ นี่นางยังเป็นเด็กอยู่เลยนะ มือของเจียงป่าวชิงเพิ่งได้ดึงประตูห้อง นางก็ได้ยินสองคนนั้นกำลังพูดกันอยู่บนเตียงด้านหลัง
“หึ ๆ ดูเหมือนหมอเจียงของเจ้าจะเขินอายนะรุ่ยเอ๋อร์”
“ไอ้ยา! แหงล่ะพี่อี๋ เสี่ยวชิงชิงยังเด็กอยู่ เขาไม่เข้าใจความสุขของเรื่องแบบนี้หรอก”
‘ชายหญิงคู่นี้นี่นะ!’ เจียงป่าวชิงคิดทิ้งท้ายแล้วปิดประตูเสียงดังจากไป
……
ตกเย็น เจียงป่าวชิงก็ไปส่งยาต้มที่ที่พักของซูรุ่ยเอ๋อร์อีกครั้ง
ซูรุ่ยเอ๋อร์เอนกายอยู่บนเตียงและกำลังเป่าเล็บที่เพิ่งย้อมด้วยดอกชบาเสร็จใหม่ ๆ
“หัวหน้าสอง เล่นสนุกไหมขอรับ ?” เจียงป่าวชิงส่งยาต้มบำรุงกำลังและแก้ปวดท้องน้อยให้ซูรุ่ยเอ๋อร์ ซึ่งซูรุ่ยเอ๋อร์เองก็ไม่ได้ทำแบบลวก ๆ นางรับยาต้มไปแล้วแหงนหน้าดื่มจนหมด จากนั้นก็กะพริบตาใส่เจียงป่าวชิง “อืม ข้าเล่นสนุกมาก”
เจียงป่าวชิงนึกถึงสายตาตกตะลึงที่ซูรุ่ยเอ๋อร์มองมู่จิ้งอี๋ก่อนหน้านี้ และได้แต่ถอนหายใจ “หัวหน้าสองรู้อยู่แก่ใจก็ดี แล้วอย่าเผลอตกลงไปล่ะ”
ซูรุ่ยเอ๋อหัวเราะคิกคัก “ฮิ ๆ เสี่ยวชิงชิง เจ้าเป็นห่วงข้าขนาดนี้ ทำให้ข้าคิดว่าเจ้ารักข้าซะแล้วสิ” นางยื่นเล็บที่ย้อมใหม่ออกมา ช่างดูงามเพริศพริ้งและเปล่งประกายด้วยสีมุกภายใต้แสงเทียนเสียจริง จากนั้นนางก็พูดขึ้น “ก็แค่เรื่องของชายหญิงที่ต่างฝ่ายต่างต้องการเท่านั้น อีกอย่าง ข้าเองก็ลองทดสอบหยั่งเชิงแล้วด้วย จิ้งอี๋น่ะ เขาไม่ได้ขัดเรื่องใช้ชีวิตร่วมกันกับข้าแน่ ๆ”
พูดถึงตรงนี้ เจียงป่าวชิงก็หมดคำจะพูดอย่างมาก
เนื่องจากซูรุ่ยเอ๋อร์อยู่ในช่วงมีประจำเดือน นางจึงไม่สามารถทำเรื่องอย่างว่าได้ และหยิบยกเรื่องนี้มาลองเชิงมู่จิ้งอี๋ก็เท่านั้น
ซูรุ่ยเอ๋อพูดขึ้นนิ่ง ๆ “ถ้าหากว่าเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงจริง ๆ จะเป็นอะไรที่น่าสนใจมากถ้าทำให้เขาละทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองและเกือบขึ้นเตียงกับโจรภูเขาอย่างข้าเพียงเพื่อสิ่งที่เรียกว่า ‘จุดประสงค์อื่น’ นั้น สรุปคือถ้าเขาอุทิศชีวิตเพื่อจุดประสงค์นั้นจริง ๆ สำหรับข้าแล้วมันก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรถ้าจะนอนกับคนอย่างเขา เขาเต็มใจทำการค้าขาดทุนก็ปล่อยให้เขาทำไปเถอะ… อีกอย่าง จะทำได้หรือเปล่านั้นก็อีกเรื่องนึง”
ซูรุ่ยเอ๋อร์พูดมาขนาดนี้ เจียงป่าวชิงจะพูดอะไรได้อีกล่ะ นางไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว
นางพยักหน้าให้ซูรุ่ยเอ๋อร์และเดินถือกล่องยาเข้าไปในความมืดยามค่ำคืน