ตอนที่ 31 ล้ำค่าจริง ๆ
แม้ว่าเงินหนึ่งตำลึงสี่สลึงจะเป็นเงินที่ราคาสูงมากสำหรับสะใภ้ตระกูลป๋ายคนนี้ แต่ถึงอย่างไรก็น้อยกว่าเงินสิบตำลึงกับอีกสี่ตำลึงก่อนหน้านี้มาก
นางเช็ดน้ำตา จากนั้นก็หยิบห่อผ้าออกมาจากในอ้อมแขนด้วยมืออันสั่นเทา ข้างในมีทองแดงจำนวนหนึ่งกับเศษเงินที่เล็กน้อยมาก ผู้หญิงคนนั้นผลักเศษเงินกับทองแดงที่กระจัดกระจายทั้งหมดลงบนตู้สินค้า และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย “ท่านหมอ ข้า… ข้ามีเงินแค่นี้ ท่านหมอดูก่อนว่าพอหรือไม่… ถ้าหากไม่พอ ข้าจะซักผ้า ทำกับข้าว และเป็นวัวเป็นม้าให้…”
สะใภ้ตระกูลป๋ายกำลังจะคุกเข่าลง แต่หมอกลับอดไม่ได้ที่จะประคองนางขึ้นมาเสียก่อน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเล็กน้อย “เฮ้อ… เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย รีบลุกขึ้นมาเถอะ ข้าตัวคนเดียว ไม่ต้องการคนซักผ้าหรือทำกับข้าวอะไรพวกนั้นหรอก”
เขาลูบศีรษะอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ช่างเถอะ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว ขาดอีกไม่เท่าไหร่ถือว่าข้าทำความดีก็แล้วกัน”
ผู้หญิงคนนั้นดีใจเกินคาด นางรีบขอบคุณหมอยกใหญ่
หมอหันไปหยิบยาตามใบสั่งยา และพูดพึมพำกับตัวเองไปด้วย “เกิ่งจื่อเจียง สมน้ำหน้าที่แกรักษาทรัพย์สินของครอบครัวไว้ไม่ได้ วัน ๆ เอาแต่ใจดีแบบนี้ พ่อแม่แกจากไปเร็วไปหน่อย ถ้าแกทำลายทรัพย์สินของครอบครัวหมดแล้ว ถึงตอนนั้นแกจะไปสารภาพกับพ่อแม่ในยมโลกอย่างไรกันล่ะ”
น้ำเสียงที่เขาใช้พูดพึมพำนั้นเบามาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจียงป่าวชิงตามอยู่ด้านหลังเขาเพื่อดูเขาจ่ายยา เกรงว่านางก็คงจะไม่ได้ยิน
ถึงแม้ว่าฝีมือของหมอคนนี้จะธรรมดาไปสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่านิสัยของเขาจะไม่เลวเลย
เจียงป่าวชิงมองหมอคนนี้เล็กน้อย และพบว่าอันที่จริงเขายังอายุไม่มาก น่าจะยังไม่ถึงยี่สิบโดยประมาณ เมื่อลองมองดี ๆ ก็พบอีกว่ารูปร่างหน้าตาของเขายังคงมีความองอาจอยู่บ้าง เพียงแต่เขานั้นแต่งตัวตามอำเภอใจไปหน่อยเท่านั้นเอง เป็นถึงหมอและเจ้าของร้านยา กลับแต่งตัวเหมือนพนักงานร้านอาหารไปได้
ไม่นานเขาก็หยิบยาเสร็จ และทำการแยกย่อยออกเป็นหลายห่อ หมอตรงหน้ากำลังพูดให้ผู้หญิงคนนั้นฟังเกี่ยวกับวิธีการต้มยา ผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง
“ตอนที่สามีกับพ่อสามีของข้ายังอยู่ พวกเขาดื่มยาบ่อย ข้าจึงต้มยาเป็นอยู่”
หมอพยักหน้า จากนั้นก็ชี้ไปที่ห้องยา “ด้านหลังมีที่ต้มยา เจ้าไปต้มมาให้ลูกของเจ้าดื่มสักถ้วยก่อนเถอะ” จากนั้นเขาก็ชี้เจียงป่าวชิง “ส่วนเจ้าไปตักน้ำเย็นมาหนึ่งกะละมัง แล้วเอามาประคบหน้าผากให้เด็กเพื่อทำให้ร่างกายเย็นลง”
นี่เป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุดในการทำให้ร่างกายเย็นลง ถึงแม้จะเห็นผลช้า แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ทว่าเจียงป่าวชิงนางกลับเดินเข้าไปหยิบห่อยาขึ้นมา “ข้าไปต้มยาเองดีกว่า ข้าเป็นคนซุ่มซ่าม ให้แม่แท้ ๆ ของนางดูแลนางนั่นแหละดีแล้ว”
ผู้หญิงคนนั้นลังเลใจเล็กน้อย “ป่าวชิง เจ้าต้มยาเป็นหรือ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “เมื่อก่อนข้าเคยดูคนที่บ้านต้มยา ข้าจำวิธีได้”
เมื่อนึกถึงความช่วยเหลือของเจียงป่าวชิงที่มีมาตลอดทางแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ถึงแม้นางจะยังคงลังเล แต่ก็ตัดสินใจได้ในที่สุด “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าด้วยนะ ข้าไปตักน้ำให้เฟิ่งเอ๋อร์ก่อน”
“ได้เลยเจ้าค่ะพี่ ข้าไปแล้วนะ” เจียงป่าวชิงปลดสัมภาระขนาดใหญ่ที่แบกอยู่บนหลังออก จากนั้นก็หยิบยาและเดินไปทางที่ต้มยาด้านหลัง
หมอเกิ่งจื่อเจียงมองแผ่นหลังที่ว่องไวของเจียงป่าวชิงแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา “เด็กผู้หญิงคนนี้สภาพเหมือนขอทาน แต่ถือว่านางมีสติปัญญาสูงทีเดียว”
เขาหาวและนอนลงไปบนตู้สินค้าอย่างเกียจคร้านตามเดิม ไม่นานเขาก็หลับไป
เจียงป่าวชิงหยิบยาสองสามห่อไปที่ห้องครัวที่อยู่ด้านหลังห้องยา ที่นี่เป็นห้องที่ใช้ต้มยา นางมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย เมื่อพบว่าไม่มีใครก็เปิดห่อยาเหล่านั้นออกก่อนจะส่ายศีรษะและหยิบเครื่องปรุงยาที่ไม่จำเป็นออกมาโยนมันเข้าไปในเตา เครื่องปรุงยาที่เหลือถึงจะเป็นยาที่มีผลในการป้องกันไข้สูงและอาการเหงื่อเหลือง อีกทั้งยังไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายที่อ่อนแอของเฟิ่งเอ๋อร์
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว นางก็นำยาที่เหลือเหล่านั้นไปจัดเรียงไว้ และพยายามทำให้พวกมันดูมีขนาดเท่ากับห่อยาก่อนหน้านี้
แม้เครื่องปรุงยาที่คัดออกไปแล้วจะมีประมาณครึ่งหนึ่ง แต่เหตุใดสมุนไพรที่เหลือ นางจัดเรียงอย่างไรก็ยังดูเล็กลงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยล่ะ
เจียงป่าวชิงถอนหายใจเบา ๆ คงต้องวิธีนี้แล้วล่ะ นางจุดไฟที่เตาและนำเครื่องปรุงยาที่เหลือเหล่านั้นไปเผาให้กลายเป็นขี้เถ้า
ตอนที่เจียงป่าวชิงกลับมายังห้องยาพร้อมกับยาที่ต้มเสร็จแล้ว เฟิ่งเอ๋อร์ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงตรวจก็ตื่นขึ้น บนศีรษะของนางมีผ้าขนหนูที่ชื้นไปด้วยเหงื่อประคบอยู่ และใบหน้าเล็ก ๆ ก็กำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของผู้หญิงคนนั้นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ หน้าตาของนางเศร้ามาก ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาสักเท่าไหร่
เจียงป่าวชิงนั่งลงข้าง ๆ จากนั้นก็เป่ายาให้เย็นและป้อนเฟิ่งเอ๋อร์อย่างระมัดระวังทีละช้อน
รสยาขมมาก แต่เฟิ่งเอ๋อร์กลับไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้โวยวาย สีหน้าของนางเหมือนจะร้องบ้างไม่ร้องบ้าง ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสงสารเป็นอย่างยิ่ง
ผู้หญิงคนนั้นตาแดงก่ำ นางพูดจาสับสนเล็กน้อย “ป่าวชิง ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดี ถ้าหากไม่มีเจ้า ข้าคง… ข้าคง…”
เจียงป่าวชิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก สะใภ้ตระกูลป๋าย พี่กับข้า เราเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ก็ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันสิ จริงไหมเจ้าคะ ?”
ผู้หญิงคนนั้นรีบพูดขึ้นทันที “ป่าวชิง เจ้าช่วยเหลือข้ามาขนาดนี้แล้ว เจ้าเรียกข้าว่าพี่รุ่ยฮัวเถอะ เรียกสะใภ้ตระกูลป๋ายแล้วดูเป็นคนอื่นคนไกลไปหน่อย” ตั้งแต่ที่นางถูกเก็บกลับมา นางก็กลายเป็นสะใภ้ตระกูลป๋ายและใช้นามสกุลป๋ายของตระกูลทันที จากนั้นพวกเขาก็ตั้งชื่อให้นางว่ารุ่ยฮัว แต่มีน้อยคนมากที่จะเรียกชื่อนาง พวกเขามักจะเรียกนางว่าสะใภ้ตระกูลป๋ายเสียมากกว่า
เจียงป่าวชิงทำตามที่นางบอก “ได้เจ้าค่ะพี่รุ่ยฮัว”
ป๋ายรุ่ยฮัวพยักหน้าด้วยดวงตาที่ยังคงแดงก่ำ
เมื่อใกล้ถึงตอนบ่าย สีหน้าของเฟิ่งเอ๋อร์ก็ดีขึ้นไม่น้อยเลย และดูเหมือนว่าไข้ของนางจะลดลงแล้วด้วย ทว่าเวลาต่อมา นางก็ร้องโวยวาย “ท่านแม่ ฮือ ๆ ๆ ข้าหิว”
ป๋ายรุ่ยฮัวพูดกล่อมเฟิ่งเอ๋อร์อย่างเก้อเขินเล็กน้อย “ได้ เราจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะจ๊ะลูก กลับถึงบ้าน ข้าจะทำหมี่ข้าวโพดให้เจ้ากินนะ”
เฟิ่งเอ๋อร์เบะปากอยากร้องไห้ แต่เด็กคนนี้เป็นเด็กที่เชื่อฟังจริง ๆ แม้ว่าตนเองจะหิวจนทรมานเพียงใด นางกลับสะอื้นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง
ยิ่งเด็กเชื่อฟังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คนรักและเอ็นดูมากเท่านั้น เวลานี้หมอเกิ่งจื่อเจียงที่ตื่นแล้วก็ทนดูต่อไปไม่ไหว เขาค้นของด้านล่างตู้สินค้าเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบขนมที่เหลือเพียงครึ่งถุงออกมา และยัดทั้งหมดใส่ในอ้อมแขนของป๋ายรุ่ยฮัว “ขนมเหล่านี้ข้าให้ เจ้าเอาให้ลูกเจ้ากินเถอะ”
ป๋ายรุ่ยฮัวตื่นตระหนกเล็กน้อย นางกำลังจะอุ้มลูกเพื่อคุกเข่าลงไปตรงหน้าเกิ่งจื่อเจียง แต่เกิ่งจื่อเจียงกลับรีบเอามือมารองป๋ายรุ่ยฮัวไว้เสียก่อน เขาสูดหายใจลึก ๆ ราวกับอึดอัด “เจ้า… เจ้าต้องปรับเปลี่ยนนิสัยที่เอะอะก็จะคุกเข่าให้คนอื่นอย่างเดียวแบบนี้ได้แล้ว”
ป๋ายรุ่ยฮัวหน้าแดงทันที นางพูดขึ้นช้า ๆ “ข้า… ไม่รู้ว่าจะขอบคุณท่านหมออย่างไรจริง ๆ”
เกิ่งจื่อเจียงโบกมือไปมา “ข้าก็บอกแล้วอย่างไรล่ะว่านี่เป็นการทำความดีของข้า ข้าทำเพื่อให้ตัวข้าพอใจล้วน ๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เพราะข้าก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นจากการช่วยเหลือเจ้ากับลูกของเจ้า”
เจียงป่าวชิงมองเกิ่งจื่อเจียง ถือว่าสติสัมปชัญญะเขาผู้นี้สูงอยู่พอสมควร แต่นางนั้นไม่ใช่ ตอนนี้นางตั้งใจจะเป็นคนเย็นชาที่ไร้ความรู้สึกแล้ว
ใช่! เย็นชาไร้ความรู้สึก
เจียงป่าวชิงแบกห่อผ้าถุงใหญ่ของตัวเอง และช่วยป๋ายรุ่ยฮัวถือยา ส่วนป๋ายรุ่ยฮัวก็อุ้มลูกและพูดขอบคุณเกิ่งจื่อเจียงยกใหญ่ จากนั้นพวกนางถึงจะเดินออกไปทางนอกเมือง
ตอนที่เจียงป่าวชิงกับป๋ายรุ่ยฮัวมาถึงสถานที่นัดรวมตัวที่นอกอำเภอ ก็เป็นเวลาตอนบ่ายพอดี เพียงแต่คนอื่น ๆ ออกมาเร็วกว่าพวกนาง นั่นก็คือชายชราขายผักที่ในตะกร้ายังเหลือผักจำนวนมาก ดูจากสภาพแล้วน่าจะขายไม่ได้ สีหน้าของเขาจึงเคร่งเครียดแบบนั้น แต่ทว่านอกจากเขาคนนี้ สีหน้าของคนอื่น ๆ ดูมีความสุขไม่มากก็น้อย
ส่วนป้าตู่นั้น เมื่อนางเห็นเจียงป่าวชิงกับป๋ายรุ่ยฮัวกลับมาด้วยกัน นางก็ส่งเสียงไม่พอใจทันที “ชะช้า! นางโสเภณีกับเจ้าเท้าเล็กอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ว่าพากันไปวางแผนชั่วอะไรในอำเภอหรือเปล่า ดูสิ นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว คนทั้งรถกำลังรอพวกเจ้าอยู่ เห็นไหม ?!”
ริมฝีปากของป๋ายรุ่ยฮัวสั่นเล็กน้อย “ป้าตู่ ข้าพาเฟิ่งเอ๋อร์ไปหาหมอมาเจ้าค่ะ”
ป้าตู่อุทานออกมาเสียงสูง “หยุด! หยุดเลย! ลูกสาวของเจ้าล้ำค่ามากเลยอย่างนั้นสิ คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าคนอย่างเจ้ายังสามารถพาลูกไปหาหมอในอำเภอได้” นางมองป๋ายรุ๋ยฮัวอย่างดูถูก “ไม่รู้ว่าชายชู้คนไหนให้เงินมาหรือเปล่า”
ป๋ายรุ่ยฮัวตัวสั่นเทาและใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
เจียงป่าวชิงมองกองสิ่งของมากมายที่ป้าตู่ซื้อมา และในมือของตู่ชู่เชิงยังกอดกล่องลูกอมไว้โดยที่เขาก็กำลังกินอยู่ตรงนั้น เมื่อนางมองเสร็จก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา “หึ ๆ เฟิ่งเอ๋อร์จะล้ำค่าเท่าลูกตระกูลตู่ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ ดูสิ แค่ขายหลานสาวคนเดียวก็ได้เงินตั้งมากมายขนาดนี้”
ราวกับป้าตู่ถูกใครแทงใจดำทำนองนั้น เส้นผมของนางแทบจะตั้งตรงขึ้นมาอยู่แล้ว