จิ้นเทียนหยู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อจ้าวซื่อไห่ เส้นเอ็นบนมือนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ไอ้บัดซบจ้าว! ไหนเจ้าลองพูดอีกครั้งสิ ?!”
จ้าวซื่อไห่ไม่กลัวเกรง เขาเองก็ด่ากลับเช่นกัน “อะไรของเจ้าวะจิ้นเทียนหยู่! คิดว่าเป็นหัวหน้าสามแล้วทุกคนต้องก้มหัวให้เจ้ารึ ที่ทำอยู่นี่คิดบ้างหรือเปล่า เจ้าก็วู่วามใส่คนอื่นเหมือนกันแล้วยังมีหน้ามาว่าข้าอีก เพื่อผู้หญิงคนเดียวกลับไม่ต้องการสนใจความปลอดภัยของพี่น้องในหมู่บ้าน เจ้าไม่ละอายใจต่อพี่น้องของเจ้าหรือไง ผู้หญิงของเหล่าหวู่เองก็ถูกขังคุกเหมือนกัน เขายังไม่พูดอะไรเลย!!!”
มือของจิ้นเทียนหยู่ที่กำลังกระชากคอเสื้อจ้าวซื่อไห่สั่นเบา ๆ “นี่มันไม่เหมือนกัน!”
“ทำไมจะไม่เหมือน ข้าจะบอกให้เจ้ารู้…”
“พอ!” กู่ฟู่กุ้ยตวาดขึ้นเสียงดัง เขาหันไปมองเจียงป่าวชิงด้วยแววตาขอโทษผ่านทางสีหน้าเข้ม “น้องเจียง เอาเป็นว่าช่วงนี้เจ้าอยู่แต่ในบ้านเจ้าก่อนเถอะ ข้าจะให้คนนำของใช้ประจำวันไปให้ ช่วงนี้เจ้าก็ไม่ต้องออกไปไหนก่อนแล้วกัน”
ความหมายคือตกลงกักบริเวณเจียงป่าวชิง แต่ไม่เห็นด้วยกับการพาตัวนางไปขังคุก
ทันใดนั้นเอง สีหน้าของคนในห้องแตกต่างกันออกไป จิ้นเทียนหยู่มีสีหน้าตกใจ เขามองหัวหน้าใหญ่อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “พี่ใหญ่ ท่าน…”
สีหน้ากู่ฟู่กุ้ยค่อนข้างยากจะอธิบายได้ เขาถอนหายใจ ดึงเส้นผมอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว ตอนนี้การลดจำนวนเรื่องน่าปวดหัวให้น้อยลงมันดีกว่าเพิ่มเรื่องมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องดีที่พี่น้องในหมู่บ้านจะทะเลาะกันใหญ่โต แค่นี้เราก็มีอะไรที่ต้องจัดการเยอะมากพอแล้ว!”
จ้าวซื่อไห่ฉวยโอกาสพูดแทรก “เหอะ! ไม่แน่เจียงป่าวชิงอาจจะคิดแผนการอยู่ก็ได้”
กู่ฟู่กุ้ยถลึงตาใส่จ้าวซื่อไห่อย่างโหดเหี้ยมและเตือนด้วยน้ำเสียงหยาบคายเต็มที่ “เหล่าจ้าวเจ้าก็พอได้แล้ว ให้มันน้อย ๆ หน่อย อย่าพูดใส่ไฟให้มากนัก ถ้าเจ้ามีเวลามากก็ไปกล่อมเหล่าหลู่ว่าอย่าเอาแต่ดื่มเหล้าอยู่ในบ้านทั้งวัน ถ้าเป็นผู้ชายอกสามศอกอยากปกป้องคนในหมู่บ้านจริงก็ให้เขารีบไสหัวออกมาช่วยกันจัดการปัญหาซะ!”
พูดถึงหลู่เว่ยต้ง จ้าวซื่อไห่ถึงจะหยุด เขาพึมพำอะไรบางอย่างเบา ๆ และไม่พูดถึงเรื่องของเจียงป่าวชิงอีก
ทว่าจิ้นเทียนหยู่ยังคงอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกกู่ฟู่กุ้ยถลึงตาใส่ “พอได้แล้วน้องสาม งั้นข้าจะมอบหน้าที่ให้เจ้าไปจัดการเรื่องนี้ เจ้ามีหน้าที่จัดคนลาดตระเวนรอบบ้านน้องเจียง และเจ้าต้องเอาใจใส่ให้มาก ๆ เพราะนี่ก็ทำเพื่อความปลอดภัยของน้องเจียงเช่นกัน”
จิ้นเทียนหยู่นึกอะไรได้ สีหน้าเขาพลันเคร่งขรึมขึ้นแต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างขึงขัง
และแล้ว การรวมกลุ่มหารือกันก็สิ้นสุดลงโดยที่เจียงป่าวชิงเพียงยืนทำสีหน้านิ่งไม่ได้ออกความเห็นอะไร
……
จิ้นเทียนหยู่ไปส่งเจียงป่าวชิงที่บ้าน สีหน้าเขาแลดูซับซ้อนอย่างมาก เขาถึงกับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับนางด้วยซ้ำ กลับเป็นเจียงป่าวชิงเองที่เป็นฝ่ายพูดกับเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หัวหน้าสาม ช่วงนี้ข้าก็รบกวนคนของท่านหน่อยแล้วกันนะ”
จิ้นเทียนหยู่มองเจียงป่าวชิง สีหน้าเขาอ่านยาก ร่างบึกบึนหมุนตัวหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้าที่ยังคงอึดอัดใจไม่หาย
เจียงป่าวชิงไม่ได้รู้สึกสับสนกับชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นภายใต้การถูกกักบริเวณ นางเพียงอธิบายให้เจียงฉิงฟังโดยบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นในหมู่บ้าน พวกเขาจึงสั่งให้ช่วงนี้นางไม่ต้องออกจากบ้าน
เจียงฉิงกัดด้ามพู่กันและพยักหน้าด้วยท่วงท่าราวกับผู้ใหญ่รู้ความ “ดีสิจ๊ะพี่ ออกไปนั่นแหละที่ไม่สนุก มีวิธีสองสามวิธีที่พี่สาวสอนข้าเมื่อครั้งที่แล้ว ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจเลย ตอนนี้ก็กำลังคิดอยู่”
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เจียงป่าวชิงไม่เพียงแต่สอนเจียงฉิงเขียนหนังสืออย่างเดียว ยังสอนวิธีจำแนกเครื่องปรุงยาให้กับนางด้วยและไม่นานมานี้เพิ่งเริ่มสอนเกี่ยวกับความรู้ทางด้านการรักษาโรค เจียงฉิงชอบเรียนมาก นางต้องการเก่งเหมือนพี่สาวของนาง
เจียงป่าวชิงลูบศีรษะเด็กหญิงตัวน้อยเบา ๆ “อืม… เจ้าต้องหัดรู้จักแบ่งเวลาทำงานและพักผ่อนให้เหมาะสมด้วยนะ พอเรียนครบเวลาสักสองก้านธูปก็ออกไปยืดเส้นยืดสายในลานบ้านซะ”
เจียงฉิงตอบรับเสียงหวาน
…
บ่ายวันนั้น จิ้นเทียนหยู่ส่งคนมาที่บ้านเจียงป่าวชิง ในบรรดาสองคนที่มาก่อนคือจิ้นหนิว เขาถือว่าเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของเจียงป่าวชิงและเจียงฉิง
หลังจากที่จิ้นหนิวรู้ว่าเจียงป่าวชิงเป็นผู้หญิง เขามีน้ำใจกับนางมากขึ้นและการที่เขามาครั้งนี้ก็ยังพกองุ่นป่ามาด้วยหนึ่งตะกร้า
“เอ้า รับไปสิ นี่องุ่นหวาน ๆ” จิ้นหนิวยัดองุ่นใส่มือเจียงฉิงและไล่นางให้ไปล้าง “ไปสิ รีบไปล้างมาให้พี่สาวเจ้าสักสองสามลูกเร็ว”
เจียงฉิงไม่สนใจจิ้นหนิว ดวงตาโตของนางมองเจียงป่าวชิง “พี่สาวจ๊ะ กินองุ่นไหมจ๊ะ ?”
เจียงป่าวชิงมองดูองุ่นป่าลูกกลม ๆ แม้ขนาดของมันจะไม่ใหญ่แต่ก็ใสแววดูฉ่ำวาวน่ากินพอสมควร น่าจะเพิ่งถูกเด็ดลงมาสด ๆ แลดูสดใหม่มาก เจียงป่าวชิงส่งยิ้มอ่อนโยนให้เด็กหญิงตัวน้อย “อื้ม เจ้าไปล้างมาเถอะ” แล้วหันไปเอ่ยขอบคุณจิ้นหนิวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณเจ้ามาก งั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”
เจียงฉิงได้รับคำสั่งจากเจียงป่าวชิงก็รีบวิ่งหน้าตาเบิกบานออกไปล้างองุ่น น้ำในถังถูกนำมาล้างทำความสะอาดอย่างดี
จิ้นหนิวใช้มือข้างหนึ่งปิดหน้า เหยียดมือข้างหนึ่งไปที่หน้าอกราวกับว่ากำลังปฏิเสธ “เฮ้ ๆ ๆ! หมอเจียงเจ้าระวังหน่อย อย่ายิ้มแบบนี้ให้ข้า เจ้าต้องรู้ตัวด้วยว่าเจ้าเป็นสาวงาม การส่งยิ้มหวาน ๆ ให้เช่นนี้มันไม่ดีต่อข้าเลย…”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าคล้อยตาม รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏออกมา “อื้ม เจ้าพูดได้มีเหตุผลมาก ข้าควรระวังสักหน่อย”
“…”
ถึงแม้ว่าท่าทีของนางจะค่อนข้างดี แต่จิ้นหนิวรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ… คือว่านาง… นางใจเย็นเกินไปเมื่อเจอคนอื่นชมว่าเป็นสาวงาม
เหตุใดนางถึงไม่มีความกระดากอายอะไรเลย จะว่าอย่างไรดี เขายังอยากเห็นหมอเจียงทำสีหน้าเขินอายเพราะนั่นมันน่ามองมากจริง ๆ!
จิ้นหนิวขุ่นข้องใจเล็กน้อย
ส่วนชายอีกคนหนึ่ง แม้เขาคนนี้ไม่ค่อยคุ้นเคยกับเจียงป่าวชิงมากนัก แต่ก็เป็นลูกน้องที่จิ้นเทียนหยู่ไว้วางใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้ชายคนนี้กับจิ้นหนิวมาปฏิบัติหน้าที่ ‘เฝ้าควบคุม’ หมอแซ่เจียง แต่ในความเป็นจริงคือ ‘ปกป้อง’ เจียงป่าวชิงหรอก
ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงช่วงค่ำไม่มีอะไรผิดปกติ เจียงป่าวชิงง่วนอยู่กับการตากเครื่องปรุงยาอยู่ในลานบ้านไม่ก็จัดเก็บของในห้องยา ข้างนอกสถานการณ์สงบเงียบดีไม่มีอะไรผิดปกติ พอตกกลางคืนคนอีกกลุ่มก็มาเปลี่ยนเวรแต่ก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติ
ทุกคนในหมู่บ้านฟู่กุ้ยระวังตัวกันต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันแต่กลับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย
วันที่ห้า…
แม้แต่กู่ฟู่กุ้ยเองก็ยังบ่นออกมาว่าข่าวสารของเจียงป่าวชิงคงไม่ได้คลาดเคลื่อนอะไรใช่หรือไม่ ในขณะที่จ้าวซื่อไห่ประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าเจียงป่าวชิงมีเจตนาไม่ดี นางคงลักลอบติดต่อกับคนข้างล่างภูเขาสร้างความซับซ้อนเพื่อหลอกให้พวกเขาสับสน เพราะนางต้องการทำร้ายคนในหมู่บ้านของพวกเขา
เนื่องจากมีการระวังตัวอย่างสูงเมื่อไม่กี่วันก่อน เดิมทีทุกคนตกอยู่ในความไม่สบายใจอยู่แล้ว จ้าวซื่อไห่มาประกาศออกไปเช่นนี้ยิ่งทำให้หลายคนหวาดระแวงแทบไม่เป็นอันทำอะไร
จิ้นเทียนหยู่หงุดหงิดมากจนถึงกับไปลงมือจ้าวซื่อไห่สองสามครั้ง เขากดจ้าวซื่อไห่ลงไปต่อยบนพื้นแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไอ้หนุ่มแซ่จ้าวยังคงปากมากเหมือนเดิม
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาหลากหลายของทุกคน เจียงป่าวชิงเบื่อเล็กน้อย นางมองไปทางล่างภูเขาอย่างครุ่นคิดโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
วันที่เจ็ด…
มีจดหมายมาส่งโดยนกพิราบตัวหนึ่ง ลายมือในจดหมายดูมีพลัง ลีลาการวาดเฉียบคมมากแต่มีเพียงไม่กี่คำในนั้น
ไปเจอกันที่ตึกเซียงเจียงตอนเที่ยงของวันพรุ่ง
ด้านหลังกระดาษมีการวาดแผนที่ที่ดูสมบูรณ์ของหมู่บ้านฟู่กุ้ยเสร็จสรรพ แม้แต่เส้นทางที่หมู่บ้านฟู่กุ้ยตั้งใจปิดบังเก็บซ่อนอย่างดีก็ถูกทำเครื่องหมายไว้ในแผนที่ด้วยพู่กันอย่างเลือนราง
เพียงกู่ฟู่กุ้ยมองดู สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป เขารู้ว่าจดหมายฉบับนี้เป็นการข่มขู่มากกว่าการแจ้งนัดแนะเจรจา
กู่ฟู่กุ้ยโมโหจัด มือใหญ่ฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไม่ใยดี
ตอนนี้ร่างกายของซูรุ่ยเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว สายตานางจับจ้องไปที่กู่ฟู่กุ้ยอย่างหนักแน่น “พี่ใหญ่ แม้ข้าไม่ได้ดูจดหมายฉบับนั้นแต่ก็พอจะเดาเนื้อหาข้างในได้คร่าว ๆ คงถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจแล้วสินะ…”
.
.
.