จิ้นเทียนหยู่ดื่มหนักจนเมามายไม่ได้สติ เขาไม่ตอบคำถามกู่ฟู่กุ้ย เลือกที่จะพลิกมือไปหยิบไหเหล้ามากรอกใส่ปากแทน
สายเหล้าหลั่งไหลลงมาจากมุมปากของจิ้นเทียนหยู่ เปียกชื้นไปทั่วทั้งบริเวณหน้าอก
กู่ฟู่กุ้ยเห็นแล้วรู้สึกปวดศีรษะ เขาเดินหลีกไหเหล้าที่วางกองอยู่ตรงเท้า ปากก็ก่นด่าไปด้วย พอเขาเข้ามาในห้องได้ก็ใช้ปลายเท้าสะกิดจิ้นเทียนหยู่ที่กำลังนอนกรอกเหล้าเข้าปากอย่างห่อเหี่ยวอยู่บนพื้น “นี่เจ้าโง่รึ จะนั่งดื่มเหล้าจนตายอยู่ที่นี่ให้มันได้ประโยชน์อะไร แล้วน้องเจียงจะรู้กับเจ้าด้วยไหม ?”
เพียงได้ยินคำว่าเจียง หูของจิ้นเทียนหยู่กระตุกเล็กน้อย มือที่กำลังถือไหเหล้าเพื่อกรอกเหล้าเข้าปากแข็งทื่ออยู่กลางอากาศทั้งอย่างนั้น
กู่ฟู่กุ้ยเห็นท่าทางของจิ้นเทียนหยู่ก็รู้สึกโมโหในใจ เจ้าน้องบ้าคนนี้มองสาวน้อยด้วยดวงตาที่แทบเปล่งประกายแสงได้ คิดว่าเขาตาบอดดูไม่ออกรึ!
กู่ฟู่กุ้ยใช้เท้าเตะไหเหล้าที่จิ้นเทียนหยู่ถืออยู่ในมือจนกระเด็นตกพื้น ไหเหล้าดินเผาแตกกระจายไปทั่วพื้น เหล้าไหลออกมาจากไหจนทำให้ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าหึ่งคลุ้ง เนื่องจากพวกโจรในหมู่บ้านต่างก็ไม่ค่อยพิถีพิถันหมักเหล้ากันสักเท่าไหร่ ในเหล้าจึงมีกลิ่นฉุนสุดรุนแรงแทบทำให้ลืมตาไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว
กู่ฟู่กุ้ยโบกมือตรงใบหน้าและพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ วันมะรืนน้องเจียงก็จะไปจากที่นี่แล้ว ถ้าคนปอดแหกอย่างเจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบไปพูดกับนางซะ! อย่ามัวแต่โอ้เอ้ดื่มเหล้าอยู่ที่นี่ ดื่มจนตายก็ไม่มีใครสนใจเจ้าหรอก!”
จิ้นเทียนหยู่เสียบมือเข้าไปในเส้นผมสีดำอย่างหงุดหงิด “ไม่! ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับนางทั้งนั้น!”
“ถุย ไอ้ปอดแหก!” กู่ฟู่กุ้ยถ่มน้ำลายลงพื้น “เมื่อถึงตอนที่น้องเจียงกลับไปที่เมืองหลวงกับแม่ทัพกงแล้ว เจ้าอาจไม่ได้เจอนางอีกตลอดชีวิต ข้าคิดว่าถึงตอนนั้นเจ้าต้องเสียใจทีหลังแน่!”
จิ้นเทียนหยู่เหมือนถูกแช่แข็ง สักพักใหญ่เขาถึงจะแค่นคำว่า “เวรเอ๊ย” ออกมาจากในซอกฟัน แล้วพาร่างบึกบึนของตัวเองลุกขึ้นเตรียมวิ่งออกไปข้างนอกแต่กู่ฟู่กุ้ยกระชากเขาไว้ก่อน
“เดี๋ยว! เจ้าจะไปไหน ตัวเจ้าเหม็นกลิ่นเหล้าทั้งตัวจนแม้แต่ข้าเองก็ยังทนไม่ไหว อีกอย่างน้องเจียงเองก็เป็นเด็กผู้หญิงสะอาดสะอ้าน ถ้าเจ้าไปทำให้นางวิ่งหนีเจ้า ถึงตอนนั้นจะโทษใครได้อีกเล่า?!”
จิ้นเทียนหยู่คำรามเสียงเบาอย่างอึดอัดใจ “เช่นนั้นข้าจะไปอาบน้ำที่หลังเขา แบบนี้คงได้แล้วใช่ไหม”
กู่ฟู่กุ้ยยอมปล่อยมือ ปล่อยให้จิ้นเทียนหยู่วิ่งออกไปอย่างทุกข์ใจ เขามองร่างที่วิ่งไม่คงที่ของจิ้นเทียนหยู่และแอบพูดในใจว่า ‘แม่ทัพกง ถึงแม้ว่าข้าเลื่อมใสท่านมาก แต่ถ้ามันเกี่ยวกับความสุขของน้องชายข้า ไม่แน่เรื่องนี้ข้าอาจต้องเลื่อยขาเก้าอี้ของท่านก็ได้’
……
ยามใกล้ค่ำ
จิ้นเทียนหยู่มายืนอยู่นอกบ้านของเจียงป่าวชิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขามองแสงสว่างในห้องยาผ่านทางรั้วบ้าน แต่กลับยังไม่ยกมือขึ้นเคาะประตูเสียนี่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ ๆ ประตูห้องยาก็เปิดออก เจียงป่าวชิงและหญิงชราคนหนึ่งเดินออกจากห้องยาและพูดคุยกันไปด้วย
“ป้าหวัง หลังจากที่ข้าไปจากที่นี่แล้ว ข้าขอส่งร้านยานี้ให้ป้าทำต่อนะจ๊ะ”
“เฮ้… เฮ้หมอเจียง ทักษะการรักษาโรคงู ๆ ปลา ๆ ของข้าอย่างมากก็แค่รักษาอาการปวดหัวตัวร้อนเท่านั้นแหละ” หญิงชราที่ถูกเรียกว่าป้าหวังพูดติดอ่างเล็กน้อย “ข้าทำไม่ได้หรอก”
เจียงป่าวชิงจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “คืนนี้ข้าจะเขียนข้อควรระวังบางอย่างไว้เป็นตำราเล่มเล็ก ๆ ถึงตอนนั้นถ้ามีปัญหาอะไร ป้าหวังก็ไปหาคนที่รู้หนังสือมาช่วยดูให้ป้านะจ๊ะ”
ป้าหวังถอนหายใจอยู่สักพักใหญ่ “หมอเจียง เจ้าไม่ไปไม่ได้หรือ ปีที่แล้วลูกชายของข้าได้ชีวิตกลับมาเพราะการรักษาที่ทันท่วงทีของเจ้า ถ้าเจ้าไปแล้ว ต่อไปถ้าพวกเขาออกไปทำงาน ข้าเองก็คงไม่มีวันสบายใจ…”
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มเท่านั้น
ป้าหวังพูดอย่างต่อเนื่องสักพักใหญ่ ก่อนจากไปโดยถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ตอนที่เจียงป่าวชิงออกมาส่งป้าหวังที่นอกบ้าน นางก็เห็นจิ้นเทียนหยู่
หลังจากที่ป้าหวังกลับไปแล้ว เจียงป่าวชิงหยุดยืนถามจิ้นเทียนหยู่อยู่ตรงทางเข้าบ้าน “หัวหน้าสามมีธุระอะไรรึ ?”
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เดิมทีลมภูเขาก็ค่อนข้างเย็นอยู่พอสมควร มันพัดให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บเล็กน้อย
เจียงป่าวชิงเห็นจิ้นเทียนหยู่เอาแต่มองไม่ยอมพูดอะไร นางจึงเลิกคิ้ว หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน “หัวหน้าสาม ถ้ามีธุระอะไรก็เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ ที่ทางเข้าอยู่ตรงกับทางลมพอดี มันหนาวพอสมควร”
ไม่รู้ทำไม เมื่อจิ้นเทียนหยู่เห็นท่าทางของเจียงป่าวชิง เขารู้สึกว้าวุ่นในใจอย่างมาก เขาไม่พูดอะไร เลือกที่จะเดินตามนางเข้าไปในบ้านอย่างเงียบ ๆ
เจียงฉิงที่อยู่ในครัวทำอาหารค่ำเพิ่งเสร็จ นางกำลังเดินถืออาหารมาก็เห็นจิ้นเทียนหยู่อย่างกะทันหัน พลันตกใจทำให้เกือบทำอาหารในมือหกเรี่ยราด
จิ้นเทียนหยู่ยังไม่ทันพูดอะไร เจียงฉิงก็พูดขึ้นว่า “ข้าจะไปที่ครัว” แล้วหันหลังเดินหนีทันที
จิ้นเทียนหยู่เห็นท่าทางของเจียงฉิงก็รู้สึกช้ำใน เขาเองก็ไม่ได้ทำเรื่องโหดเหี้ยมใส่นางซะเมื่อไหร่ ทำไมพอนางเห็นเขาแล้วถึงรู้สึกกลัวเขาราวกับหนูเห็นแมวอย่างไรอย่างนั้นล่ะ
ทว่าเมื่อลองคิด ๆ ดู เจียงฉิงเป็นน้องสาวของเจียงป่าวชิงและกลัวเขาขนาดนี้ เช่นนั้นเจียงป่าวชิงจะกลัวเขาไหมหนอ…
จิ้นเทียนหยู่ยิ่งรู้สึกใจร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
เจียงป่าวชิงเข้ามาในบ้านก็ไปเทชาให้จิ้นเทียนหยู่หนึ่งถ้วย นางเห็นว่าเขาเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักก็ชี้ไปยังถ้วยชาบนโต๊ะ “หัวหน้าสามดื่มชาสิ นี่คือชาที่ปล้นมาจากขุนนางเกษียณอายุเมื่อครั้งที่แล้ว หัวหน้าใหญ่ให้ข้า ท่านลองดื่มดูสิ”
จิ้นเทียนหยู่นั่งลงด้วยใบหน้าถมึงทึง ยกชาขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียวราวกับมีความแค้นกับชานี้มายาวนาน ในตอนเที่ยงเขาซัดเหล้าไปมาก กลิ่นเหล้าคลุ้งทั่วตัวจนต้องไปแช่น้ำที่หลังเขาตลอดทั้งบ่ายถึงจะค่อย ๆ สร่างเมา แม้เขาไม่ได้เมาอ้อแอ้ แต่ความคิดของเขากลับค่อนข้างแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อย
คำพูดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ในยามปกติสามารถพูดออกมาได้ในขณะนี้ บางทีนี่อาจเป็นความกล้าหาญจากการดื่มเหล้าก็ได้
“เจ้าเองก็กลัวข้าเหมือนกันใช่ไหม ?” เขาเอ่ยถามอย่างอึดอัดใจ
เจียงป่าวชิงช่วยเทชาให้ด้วยสีหน้าราบเรียบมาก “จะเป็นไปได้ยังไงเล่า ท่านก็คิดมาก”
จิ้นเทียนหยู่มองมือของเจียงป่าวชิงอย่างเคลิบเคลิ้ม มือและนิ้วมือที่ดูเรียวยาวนั้นมันขาวนวลน่าจับต้อง ผิวนางขาวนวลใสจนจะเห็นกระดูกข้างในอยู่แล้ว มันคงเป็นผลมาจากการที่นางอยู่แต่ในห้องยา ยุ่งวุ่นอยู่แต่กับการดูแลเครื่องปรุงยาในช่วงปีสองปีที่ผ่านมากระมัง
หัวใจเขาเต้นแรง มือขาว ๆ ที่กำลังเทชาคู่นั้นเหมือนกำลังกำหัวใจของเขาไว้ ทันใดนั้น อยู่ดี ๆ เขาเกิดเป็นบ้าอะไรไม่รู้ อยู่ ๆ ก็ยื่นมือไปจับมือเจียงป่าวชิงเสียอย่างนั้น
“หัวหน้าสาม!” สีหน้าของเจียงป่าวชิงเปลี่ยนไปทันที รีบชักมือออกมาจากมือของจิ้นเทียนหยู่อย่างต่อต้านและเด็ดขาด
เดิมทีจิ้นเทียนหยู่จับมือนางไว้อย่างหลวม ๆ ไม่ได้ออกแรงอะไร พอเขาเห็นนางชักมือกลับไปได้ก็รู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย
“เจ้าไม่กลัวข้า…” จิ้นเทียนหยู่พูดกับตัวเอง สีหน้ากลัดกลุ้ม “เจ้ามักพูดอะไรที่ทำให้ข้าโมโหและจงใจยั่วโมโหข้า แต่ข้ามักรู้สึกว่าเจ้าพูดจาเด็ดขาดเกินไปแต่ข้าไม่กล้าออกแรงกับเจ้ามาก ทุกครั้งที่มีดนี้เตรียมฟันออกไปก็มักเหมือนมีใครสักคนห้ามข้าไว้… เจ้าจะกลัวข้าได้ยังไง จริงไหม ?”
เจียงป่าวชิงมองออกว่าจิ้นเทียนหยู่ผิดปกติไป ไหนจะกลิ่นเหล้าที่เหม็นหึ่งออกมาในระหว่างที่เขาพูด นางเดาได้ว่าเขาคงเพิ่งดื่มเหล้ามา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเองก็ไม่ได้ใจแคบ ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่เขาจับมืออย่างกะทันหันเมื่อครู่นี้
หัวหน้าสาม ที่ผ่านมาที่ข้าพูดคำพูดกวนโอ๊ยพวกนั้นไม่ใช่เพื่อยั่วให้ท่านโมโห” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “บางครั้งอารมณ์ของท่านมักจะปั่นป่วนเกินไปและควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ นี่ข้ากำลังช่วยรักษาท่านอยู่นะ”
.
.
.