มู่จิ้งอี๋ตบแผ่นหลังหลี่อันหรูเบา ๆ เชิงปลอบโยน แต่สายตาของเขากลับเคลื่อนผ่านในอ้อมแขนของหลี่อันหรูและไปหยุดตรงซูรุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ห่างออกไป
ซูรุ่ยเอ๋อร์เงยหน้าส่งยิ้มหวานให้เขา มีหลายความหมายแฝงอยู่ระหว่างคิ้วและดวงตาของนาง
มู่จิ้งอี๋นิ่งอึ้งพลางเบนสายตาไปทางอื่น
หลี่อันหรูร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนเขาสักครู่ แต่นางกลับพบว่าเขาไม่ได้ปลอบนางอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อนจึงเรียกเขาอย่างงุนงง “พี่จิ้งอี๋…?”
“หืม” มู่จิ้งอี๋ขานรับราวกับเพิ่งดึงสติกลับมาได้
หลี่อันหรูพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา นางหันหลับไปมองพวกกู่ฟู่กุ้ยด้วยแววตาเกลียดชังอย่างมาก ตอนนี้นางเป็นอิสระแล้ว มีหลิวหมิงอันผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามเทพเจ้าแห่งสงครามหน้าผียืนอยู่ข้างหลังนาง และยังมีทหารกับม้ามากมาย ไม่ว่าอย่างไรพวกนางแข็งแกร่งกว่าโจรพวกนั้นเห็น ๆ
ในที่สุดนางก็สามารถแสดงความเกลียดชังออกมาทางแววตาได้ ก็จะไม่ให้เกลียดได้อย่างไรเล่า พวกนี้จับตัวนางไป จะให้นางชอบเหรอ!
ตอนนี้แม้ว่าขาทั้งสองข้างของนางจะยังเดินได้ มันยังคงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ไม่แน่มันอาจมีโรคแทรกซ้อนซ่อนเร้นหลงเหลืออยู่ทำให้ลำบากในอนาคตก็ได้
สิ่งนี้ไม่ถือว่าเป็นอะไร แต่ชื่อเสียงกับความบริสุทธิ์ของนางเกือบถูกทำลายโดยพวกโจรที่โดนฟันนับครั้งไม่ถ้วนเหล่านี้แล้ว
หลี่อันหรูพิงอยู่ในอ้อมแขนมู่จิ้งอี๋ ชี้นิ้วไปที่พวกกู่ฟู่กุ้ยและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด “พี่จิ้งอี๋! ฆ่าพวกมันทั้งหมดซะ!”
มู่จิ้งอี๋เงียบ ไร้เสียงใด ๆ เล็ดลอดจากปากของเขา
ทางด้านของกู่ฟู่กุ้ย กงจี้เดินมายืนอยู่ตรงหน้าเจียงป่าวชิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขามองเจียงป่าวชิงด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำพูด แต่คำพูดที่เขาพูดกลับเป็นคำพูดธรรมดาเพียงหนึ่งประโยคเท่านั้น
“เจียงป่าวชิง ข้ามารับเจ้าแล้ว”
เจียงฉิงตกใจเบิกตากว้าง นางมองเจียงป่าวชิงสลับกับมองกงจี้ เดิมทีนางอยากถามเจียงป่าวชิงว่านี่คือใคร แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเจียงป่าวชิง เด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดชะงักและไม่ได้ถามออกไป
นางเห็นรอยเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพี่สาวนางที่สงบนิ่งอยู่เสมอ อีกทั้งพี่สาวของนางก็ไม่มองชายตรงหน้าด้วย
“ข้าไปเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามารับ”
เจียงป่าวชิงพูดพึมพำเสียงเบา
กงจี้มองนางอย่างเย็นชา เขายื่นมือไปจับข้อมือเล็ก หมุนตัวและถือวิสาสะจูงมือนางเดินจากไป
เจียงฉิงตกใจจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา ทว่าในทางตรงกันข้าง ซูรุ่ยเอ๋อร์เอ่ยชม “ช่างเป็นผู้ชายอกสามศอกดีจริง ๆ” ตอนพูด สายตานางเหลือบมองไปที่มู่จิ้งอี๋และได้สบตากับเขาอย่างพอดิบพอดี
ซูรุ่ยเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง นางกะพริบตาให้มู่จิ้งอี๋อย่างอ่อนหวาน แต่มู่จิ้งอี๋เบนสายตาไปทางอื่นอีกครั้ง
ซูรุ่ยเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นและหัวเราะเยาะตัวเองเล็กน้อย
สุดท้าย เจียงฉิงก็ไม่ได้ส่งเสียงร้อง เพราะนางเห็นพี่สาวของนางที่เป็นคนใจเย็นมาโดยตลอดไม่ได้ขัดขืนดิ้นรนอะไร พี่สาวนางทำเพียงแค่สะบัดข้อมือแต่เมื่อเห็นว่าสะบัดไม่หลุด พี่สาวของนางขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดพึมพำอะไรไม่รู้ ก่อนจะเดินไปกับเขาคนนั้น
เจียงฉิงจับตรงหัวใจของตัวเองและคิดในใจว่านี่คือพี่สาวที่ไม่ชอบให้คนอื่นแตะเนื้อต้องตัวจริง ๆ งั้นรึ หรือว่าผู้ชายคนนี้คือชายชู้ของพี่สาวนาง
แต่! ชายชู้คนนี้หน้าตาหล่อเหลามาก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเหมาะสมกับพี่สาวจริง ๆ ทั้งคู่เดินด้วยกันช่างเป็นภาพที่สวยงามน่ามอง คำนั้นพูดว่าอะไรนะ… อ้อ ภาพของทั้งคู่เสมือนสวรรค์บรรจงสร้างขึ้น ใช่ ไม่ผิดแน่! ชายหล่อเหลาถึงเพียงนี้กับพี่เจียงป่าวชิง ลูกที่เกิดออกมาคงหน้าตาดูดีมากเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นนางก็จะได้เป็นน้าแล้ว…
เจียงฉิงคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ
“อาฉิง” เจียงป่าวชิงถูกกงจี้จูงข้อมือเดินไปข้างหน้า แต่นางหันกลับมามองเจียงฉิง “ตามมาสิ”
เจียงฉิงส่งเสียงในลำคอเบา ๆ นางกำถุงผ้าไว้ให้มั่นและวิ่งไปหาพี่สาวของตน แต่ตอนที่เพิ่งไปถึงตัวพี่สาวและยังยืนไม่นิ่งดี ก็ได้ยินหลี่อันหรูพูดว่าต้องการฆ่าพวกเขาทั้งหมด เจียงฉิงส่งเสียงอย่างไม่พอใจแต่ไม่ได้สนใจอะไรหลี่อันหรู ทำเพียงยืนข้างเจียงป่าวชิงอย่างน่าเอ็นดูเท่านั้น
เจียงป่าวชิงเห็นกงจี้หยุดเดินในที่สุด นางค่อยเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “คุณชายกง ปล่อยข้าได้หรือยัง ?”
“ปล่อยรึ ปล่อยเจ้าก็หนีสิ” กงจี้พูดเสียงเย็น
“ข้าเนี่ยนะหนี ข้าหนีได้ด้วยรึไง” เจียงป่าวชิงเองก็พูดเสียงเย็นใส่เขาเช่นกัน
ทั้งสองคนเหมือนแข่งขันกันเพื่อแสดงความเย็นชาของตัวเอง และแต่ละคนก็เย็นชาใส่กันไม่หยุด
จังหวะนั้น ไม่รู้ทำไมเจียงฉิงถึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาจนทำให้เจียงป่าวชิงกับกงจี้หันมามองนางอย่างพร้อมเพรียง
เจียงฉิงรีบโบกมือไปมาทันที “อ๊ะ! ไม่มีอะไร… ไม่มีอะไรเลยจ้ะ พวกพี่ เอ่อ… ทั้งสองไม่ต้องสนใจข้าหรอกนะจ๊ะ” จากนั้นนางพึมพำเล็กน้อยแต่ก็จงใจให้ทั้งสองได้ยินด้วย “หึ ๆ ข้าก็แค่รู้สึกเหมือนคู่รักทะเลาะกันเท่านั้นเอง”
เจียงป่าวชิงหน้าแดงก่ำทันทีพลันรีบสะบัดมือออกจากมือของกงจี้
กงจี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงเจียงฉิงคนนี้ขึ้นมาหน่อยแล้ว เดิมทีเขาค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิดเจียงฉิง เพราะเขาคิดเอาเองว่าในช่วงสามปีที่เขาไม่สามารถขอได้ เด็กผู้หญิงคนนี้กลับโชคดีพอที่จะพึ่งพาอาศัยอยู่กับคนที่เขาไม่สามารถขออยู่ข้าง ๆ ได้เป็นเวลาสามปี
เด็กผู้หญิงคนนี้มีคุณสมบัติอะไรถึงได้มาอยู่ใกล้ ๆ เจียงป่าวชิงของเขา!
แต่ตอนนี้เขาอารมณ์ดีเพราะคำว่า “คู่รักทะเลาะกัน” ของเจียงฉิง แม้เจียงป่าวชิงจะสะบัดมือหลุดจากมือเขาโดยที่เขาไม่ตั้งตัว เขาก็ไม่โกรธ เพียงแค่เหลือบมองนางเท่านั้น
“พี่จิ้งอี๋ พี่กำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงไม่พูดจาล่ะ ?!” หลี่อันหรูร้องไห้อยู่สักพัก พอนางเห็นว่ามู่จิ้งอี๋เหมือนกำลังใจลอยและไม่ได้สนใจอะไรนางเลยก็เขย่าแขนของเขาพร้อมตำหนิอย่างเสียไม่ได้
มู่จิ้งอี๋ใจลอย ซูรุ่ยเอ๋อร์… ผู้หญิงยั่วยวนคนนั้นก็ชอบเขย่าแขนเขาเบา ๆ เช่นกัน และชอบเรียกเขาว่า “พี่อี๋” ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง
แต่เสียงร้องทุกข์ของหลี่อันหรูดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง “ฮือออ… พี่จิ้งอี๋ พี่คงไม่ได้เผลอไผลไปรักแม่โจรสาวคนนั้นไปแล้วจริง ๆ หรอกนะ”
ร่างกายของมู่จิ้งอี๋สั่นอย่างสังเกตได้ เขารีบปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “จะเป็นไปได้ยังไง!”
ในดวงตาของหลี่อันหรูยังคงมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ นางมองมู่จิ้งอี๋ด้วยสีหน้าสงสัย
แม้เขาถูกขังคุกเป็นเวลาหลายวัน ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ถูกปฏิบัติอย่างทารุณ สีหน้าของเขายังคงดีและละมุนละไมราวกับหยกเนื้อดีเช่นเดิม
หลี่อันหรูส่ายหน้าในใจ นางช่างบ้าจริง ๆ พี่จิ้งอี๋เป็นถึงคุณชายผู้สูงศักดิ์ เขาจะไปชอบโจรสาวไร้ยางอายคนนั้นได้อย่างไร
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพี่ก็ไปฆ่าพวกนางทั้งหมดซะสิ!” หลี่อันหรูพูดขึ้นอย่างเกลียดชังแม้น้ำเสียงยังคงสะอื้นไห้อยู่ก็ตาม “ข้าต้องการให้พวกมันถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ถึงจะขจัดความเกลียดชังในหัวใจของข้าได้!”
มู่จิ้งอี๋เงียบไม่พูดอะไร แต่หลี่อันหรูเร่งเขาไม่หยุด “พี่จิ้งอี๋ยังมัวลังเลอะไรอีก รีบไปสิ! กองทัพของพี่หมิงอันต่างก็อยู่ที่นี่ พี่รีบไปฆ่าพวกมันสิไป๊! ที่ผ่านมาพวกมันสบประมาทพี่ไม่น้อยเลยนะ พี่ทนได้เหรอ ?!”
สีหน้ามู่จิ้งอี๋เจือความลังเลเล็กน้อย
ทันใดนั้น หลิวหมิงอันที่ยืนมองอยู่ด้านหลังมาตลอดก็พูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน “พอได้แล้ว พวกเจ้าสองคนอย่ามัวชักช้า รีบไปขึ้นรถม้าเถอะ พวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลง ปล่อยพวกเจ้ากลับมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ เราเองก็ต้องห้ามผิดคำพูดเช่นกัน” พูดเสร็จเขาก็โบกมือเรียกสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ซึ่งสาวใช้ก็เดินเข้ามาอย่างรู้จังหวะ
“คุณหนูเจ้าขา ข้าน้อยจะประคองคุณหนูไปพักผ่อนบนรถนะเจ้าคะ”
หลี่อันหรูยังอยากพูดอะไรอย่างไม่ยอมแพ้ แต่หลิวหมิงอันมองนางด้วยสายตาข่มขู่
“เฮ้ เจ้าคงไม่อยากทำให้เรื่องมันกลายเป็นเรื่องใหญ่หรอกใช่ไหม น้องชายข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ชื่อเสียงของเจ้านี่สิ…”
หลิวหมิงอันไม่ได้พูดต่อ แต่หลี่อันหรูกลับตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ นางเลิกร้องขอให้มู่จิ้งอี๋ไปฆ่าพวกคนของหมู่บ้านฟู่กุ้ยในขณะที่ตัวนางเองแข็งทื่อเล็กน้อย สุดท้ายยอมถูกสาวใช้ประคองไปขึ้นรถม้าแต่โดยดี
.