ตอนที่ 45 ย้ายไปที่ไหน
โชคดีที่เจียงป่าวชิงได้ช่วยเจียงหยุนชานปรับอารมณ์ของตัวเองก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าหากเจียงหยุนชานมาเจอหลีโผจื่อที่กำลังตื่นเต้นเช่นนี้เข้าเสียก่อน เกรงว่าความละอายใจที่ตัวเองสอบได้ไม่ดีที่ติดค้างอยู่ในใจเขามาโดยตลอดคงจะถูกกดทับจนพังทลายลงมาเลยก็ว่าได้
ทว่าแม้จะปรับปรุงอารมณ์ของตัวเองให้เข้าที่ดีแล้ว แต่เจียงหยุนชานยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย น้ำเสียงของเขาจึงค่อนข้างสั่นอย่างเห็นได้ชัด “ท่านย่าสอง ข้าสอบเซี่ยนชื่อไม่ผ่านขอรับ”
“อะไรนะ ?!” หลีโผจื่อถลึงตา น้ำเสียงแหลมคมของนางเกือบทำให้เยื่อแก้วหูของเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงระเบิด
ตาสองข้างของหลีโผจื่อนูนขึ้นทันที นางจ้องเจียงหยุนชานราวกับเงินในบ้านบินหายไปต่อหน้าต่อตาทำนองนั้น บางทีสำหรับหลีโผจื่อแล้ว นี่ก็อาจเปรียบเสมือนเงินที่กำลังบินหายไปจริง ๆ ก็ได้
“อะไรกัน ? เจ้าเรียนเก่งไม่ใช่รึ ?! ทำไมแม้แต่การสอบเซี่ยนชื่อเจ้ายังสอบไม่ผ่าน ?!” มือเหี่ยวย่นของหลีโผจื่อแทบจะทิ่มเข้าไปในตาของเจียงหยุนชานอยู่แล้ว ดีที่เจียงป่าวชิงดึงเจียงหยุนชานที่กำลังตกตะลึงมาทางด้านหลังเสียก่อน
แต่หลีโผจื่อไม่คิดจะปล่อยเจียงหยุนชานไปง่าย ๆ นางใส่อารมณ์ก่นด่าต่อไป “ที่บ้านเลี้ยงดูเจ้ากับน้องสาวเจ้ามาเป็นอย่างดี เสียเงินเสียทองเลี้ยงดูพวกเจ้าตั้งมากมาย จะให้น้องสาวเจ้าไปแต่งงานเจ้าก็ไม่ยอม นี่แม้แต่การสอบเซี่ยนชื่อเจ้าก็ยังสอบไม่ผ่านอีก ถือว่าที่บ้านเลี้ยงพวกเจ้ามาโดยเปล่าประโยชน์อย่างนั้นสิ คนนึงหม่าป่าตาเขียว อีกคนก็คนขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถ! พวกเจ้าทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ? นอกจากกินแล้วพวกเจ้ายังทำอะไรได้อีกบ้าง ?!”
เจียงหยุนชานยังคงรู้สึกละอายใจ เขารีบให้คำมั่นสัญญากับหลีโผจื่อทันที “ท่านย่าสองขอรับ ครั้งหน้าข้าจะต้อง…”
“เอะอะก็ครั้งหน้าครั้งหน้า!” หลีโผจื่อพูดเสียงดังอย่างไม่พอใจ “ทำไมเจ้าไม่รอให้ข้ากับปู่สองของเจ้าลงโลงก่อนถึงค่อยไปสอบใหม่ ?! ปกติเห็นขี้โม้ออกขนาดนั้น สุดท้ายก็สอบไม่ผ่าน ถุย! คนขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถอย่างเจ้า เสียเงินที่บ้านไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ!”
เจียงหยุนชานถูกหลีโผจื่อด่าถึงกับเงยหน้าไม่ขึ้น
ตอนปีที่แล้วเขาก็สามารถเข้าสอบเซี่ยนชื่อได้แล้ว แต่ก่อนวันสอบเมื่อปีที่แล้วเขากลับตกจากขั้นบันไดอย่างไม่ระวัง จึงทำให้ขาหักและพลาดการสอบเซี่ยนชื่อไปในที่สุด
ปีนี้กว่าจะเข้าสอบเซี่ยนชื่อได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดันมาสอบไม่ผ่านเสียอย่างนั้น …เป็นเช่นนี้ติดต่อกันถึงสองครั้งสองครา เขาก็ไม่สามารถแก้ตัวให้ตัวเองได้อีกแล้วจริง ๆ
เดิมทีเจียงหยุนชานก็ไม่ใช่คนที่ชอบหาเหตุผลมาปัดความรับผิดชอบของตัวเอง… เขาถูกหลีโผจื่อด่าจนหน้าแดงลามไปถึงใบหู และแทบจะก้มหัวชิดหน้าอกอยู่รอมร่อ
เจียงป่าวชิงทนฟังต่อไปไม่ไหว หลีโผจื่อพูดเหมือนตระกูลเจียงออกเงินให้พี่ชายนางเรียนหนังสืออย่างนั้นแหละ เอาแต่พูดว่าเสียเงินที่บ้านไปเปล่า ๆ และเลี้ยงพวกเขามาโดยเปล่าประโยชน์ หน้าใหญ่มากเลยอย่างนั้นสิ หึ!
เอาที่ดินของพวกเขาสองพี่น้องไปตั้งสิบไร่ แต่ทุกปีให้สองพี่น้องเพียงข้าวกล้องที่ผสมก้อนหินหนึ่งถุง นี่เรียกว่าเลี้ยงดูพวกเขาแล้วหรือ ? ใช่ว่าพวกเขาจะประเคนตัวเองให้ตระกูลเจียงสักหน่อย
เจียงป่าวชิงกำลังจะด่ากลับ แต่เจียงหยุนชานดึงเสื้อของเจียงป่าวชิงเพื่อส่งสัญญาณให้นางไม่ต้องพูดอะไรเสียก่อน
เจียงป่าวชิงหมดคำจะพูดจริง ๆ
ในตอนที่กลับห้องใหญ่ หลีโผจื่อยังคงก่นด่าเจียงหยุนชานอยู่อย่างนั้น นางบอกว่า “เรียนมาตั้งหลายปี แต่กลับสอบไม่ได้ผลสำเร็จอะไรสักอย่าง ข้าล่ะอับอายขายหน้าแทนพวกเจ้าจริง ๆ เป็นแบบนี้ข้าก็ไม่มีหน้าออกไปเจอใครแล้ว”
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานก็กลับไปที่ห้องดินเหนียวเช่นกัน
เจียงหยุนชานเห็นเจียงป่าวชิงมีท่าทางหงุดหงิดใจ เขาจึงเป็นฝ่ายพูดกล่อมนาง “เจ้าก็รู้ว่านิสัยของท่านย่าสองเป็นอย่างไร ปล่อยให้นางด่าไปเถอะ หากเจ้าออกหน้าแทนข้า ถึงตอนที่ข้ากลับโรงเรียน คนที่จะเดือดร้อนก็คือเจ้าไม่ใช่หรือ ?”
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไรสักพักใหญ่
ผ่านไปสักครู่ นางถึงจะพูดขึ้นเสียงเบา “พี่ พี่เคยคิดอยากจะย้ายออกไปจากที่นี่หรือไม่ ?”
เจียงหยุนชานตกตะลึงทันที เขาถาม “ย้ายออกไป ? ย้ายไปที่ไหน ?”
เจียงป่าวชิงพูดเสริม “ก็อย่างเช่นบ้านเดิมของเรา”
มาถึงตรงนี้ เจียงหยุนชานก็รู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อย บ้านเดิม… เขาไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้ว มีครั้งหนึ่งตอนกลับไปเรียนในอำเภอ เขาตั้งใจเลี้ยวไปดูบ้านหลังนั้น แต่บ้านหลังนั้นทั้งเก่าและรกร้างมาก ที่นั่นไม่ใช่บ้านหลังเล็กแต่อบอุ่นในความทรงจำอีกต่อไปแล้ว
เจียงหยุนชานส่ายหน้า “ป่าวชิง เจ้าคิดว่าพวกเราสามารถอาศัยอยู่ที่นั่นได้หรือ ?”
ทว่าเจียงป่าวชิงกลับชี้ที่ห้องดินเหนียวห้องนี้และถามเขากลับ “ที่บ้านนั้นของเรา เราจัดเก็บสักหน่อยก็คงไม่แย่ไปกว่าที่นี่หรอกพี่ชาย…”
เจียงหยุนชานถูกขัดขวาง เขาจึงรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย “ป่าวชิง เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง และข้ายังไม่ได้อยู่บ้านตลอดทั้งปี มันอันตรายเกินไปที่เจ้าจะอยู่ในที่กันดารเช่นนั้นเพียงลำพัง”
เจียงป่าวชิงพูดอย่างราบเรียบ “พี่ พี่คิดว่าที่นี่ปลอดภัยอย่างนั้นหรือ ?” นางชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เล่าให้เจียงหยุนชานฟังเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่เจียงต้ายาพาคนเสเพลในหมู่บ้านมาที่หน้าประตูห้องดินเหนียว แต่กลับถูกนางเจอเข้าเสียก่อน
ดวงตาของเจียงหยุนชานเบิกกว้างขึ้นอย่างยากที่จะเชื่อได้ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นทันทีและกำลังจะพุ่งออกจากห้อง
เจียงป่าวชิงรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเป็นเช่นนี้ นางตาไวจึงใช้มือซ้ายดึงเจียงหยุนชานไว้ “พี่ ใจเย็น ๆ ก่อนนะเจ้าคะ…”
เจียงหยุนชานหน้าแดงลามไปถึงใบหู เขาโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง “ข้าจะไปถามพี่ต้ายาให้รู้แล้วรู้รอด ว่าทำไมนางถึงใจดำอำมหิตได้ถึงขนาดนี้!”
เจียงป่าวชิงใจเย็นกว่าเจียงหยุนชานมาก นางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “นางไม่ยอมรับหรอกพี่ถ้าเราไม่มีหลักฐาน ไม่แน่นางอาจจะแว้งกัดเราและบอกว่าข้าใส่ร้ายป้ายสีนางก็เป็นได้”
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เจียงหยุนชานยังคงโกรธและเดินไปมาอยู่ในห้องทั้งอย่างนั้น “ขายเจ้าครั้งหนึ่งยังไม่พอ ยังคิดจะทำร้ายเจ้าอีก! ใจดำอำมหิตจริง ๆ”
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งกลัว ถ้าหากว่าคืนนั้นแผนร้ายของเจียงต้ายาสำเร็จ… เขาไม่อยากจะคิดสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเลย…
เจียงหยุนชานกำเสื้อที่หน้าอกจนแน่น ไม่! สถานการณ์แบบนั้นจะต้องไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด
ฟันของเจียงหยุนชานสั่นกระทบกัน ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเพราะกลัวกันแน่ เขาพูดขึ้น “ย้าย เราจะย้ายไปจากที่นี่!”
ในที่สุดเจียงป่าวชิงก็กล่อมเจียงหยุนชานได้สำเร็จ นางถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นไม่นาน คนในตระกูลเจียงทั้งหมดก็รู้เรื่องที่เจียงหยุนชานสอบเซี่ยนชื่อไม่ผ่าน
โจซื่อที่เป็นเสือหน้ายิ้มมาตลอด ตอนนี้นางกลับขี้เกียจแสร้งยิ้มต่อไป ตอนที่นางเจอเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานที่ด้านนอก นางทำเพียงสังเกตและมองพวกเขาสองคนด้วยสายตาเหยียดหยาม จากนั้นก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมาทางจมูก และถือเสื้อผ้าเดินจากไปในที่สุด
ตอนบ่าย ท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิวมาเรียกเจียงหยุนชานให้ไปทำไร่ทำนาด้วยกัน แล้วยังพูดอย่างมีเจตนาแอบแฝงอีกว่าที่บ้านไม่เลี้ยงคนว่างงาน และเจียงหยุนชานเองไม่ใช่คุณชายอะไร ที่บ้านให้เขาเรียนหนังสือมาตั้งหลายปีแต่เขากลับสอบไม่ได้ผลสำเร็จอะไรสักอย่าง จึงถึงเวลาที่เขาต้องทำงานให้ที่บ้านแล้วทำนองนั้น
เจียงหยุนชานกำลังคิดว่าถ้าย้ายออกไปแล้ว เขาควรเรียนงานทำนาที่บ้านอะไรสักอย่าง เพราะเขาคงไม่ปล่อยให้น้องสาวของเขาที่เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ไปทำอะไรเช่นนั้นอย่างแน่นอน
คิดได้ดังนั้น เขาก็รับปากอย่างคล้อยตาม
ทว่าในสายตาของท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิวนั้น พวกเขากลับมองว่าการที่เจียงหยุนชานคล้อยตาม อยากที่จะร่ำเรียนการทำนา คือทางออกที่เขาได้หาใหม่เมื่อรู้ว่าตัวเองสอบเป็นตำแหน่งถงเชิงไม่ได้แล้ว นี่หมายความว่าเขารู้ว่าตัวเองก็หมดหวังแล้วเช่นนั้นหรือ ?
ท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิวยิ่งผลักดันเจียงหยุนชานตามอำเภอใจมากกว่าเดิม
ตอนที่เจียงหยุนชานกลับมาในตอนกลางคืน เขาก็เหนื่อยจนตัวซีดไปหมด เมื่อกายสัมผัสกับเตียงอิฐ เขาก็หลับไปทันที เขาหลับไปด้วยสติที่เลอะเลือน แต่ยังคงไม่ลืมที่จะรำพันถึงเจียงป่าวชิง “ป่าวชิงไม่ต้องห่วง… เจ้าวางใจข้าได้เลย…”
เจียงป่าวชิงสงสารเขาจับใจ นางใช้ไฟลนเข็มเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค จากนั้นก็ช่วยขุดเส้นเลือดให้เจียงหยุนชานที่กำลังนอนหลับอย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นการที่เขาต้องทำงานหนักหน่วงโดยฉับพลันมาเช่นนี้ อาจทำให้เขาเป็นตะคริวในตอนกลางคืนได้
เจียงป่าวชิงพูดพึมพำว่า “โชคดีที่ข้าสามารถฝังเข็มด้วยมือซ้ายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรต่อการขุดทางเดินของเลือดลม ไม่อย่างนั้นคืนนี้พี่ชายของข้าคงต้องทรมานอย่างแน่นอน”
เมื่อนางทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เจียงป่าวชิงก็จัดเก็บห้อง จากนั้นถึงจะนอนลงข้างเจียงหยุนชานอย่างเชื่องช้า โดยทั้งสองคนใส่เสื้อผ้านอนตามปกติ
วันต่อมาก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในตระกูลเจียงอีกครั้ง