ตอนที่ 47 ถูกผีร้ายเข้าสิงร่าง
ทว่าในตอนที่ซุนต้าหูมาถึงหน้าบ้านตระกูลเจียง เขาก็เห็นเจียงอีหนิวมีสีหน้าคร่ำครึขณะที่กำลังถือหมาดำตัวหนึ่งมาจากด้านนอกด้วยริมฝีปากสั่นระริก หมาดำตัวนั้นถูกมัดปากไว้อย่างแน่นหนา แขนขาทั้งสี่ก็ถูกมัดราวกับหมู
ภาพที่เห็นนั้นทำให้ซุนต้าหูตกใจมาก
“อา… นั่นคื…” ซุนต้าหูยังถามไม่จบคำ เขาก็ถูกเจียงอีหนิวขับไล่ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมเสียก่อน เขาออกปากไล่คล้ายกับว่ากลัวใครจะมาได้ยินเข้า จึงกดเสียงให้เบาลง “ไปซะอย่ามาวุ่นวาย เกะกะนัก! ไป ไป ไป!”
เจียงอีหนิวปิดประตูทันที
ซุนต้าหูที่ถูกปฏิเสธอยู่ด้านนอกรู้สึกสับสนมึนงง เขาทำได้เพียงเกาหัวตัวเองและกลับบ้านด้วยความกังวล
เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงยังไม่รู้เรื่องนี้
เมื่อเจียงหยุนชานกลับมา เขาก็ลากเจียงป่าวชิงออกไปด้านนอกทันที พวกเขาทั้งสองคนไปที่บ้านหลังที่พวกเขาเคยอยู่ และพากันถอนหญ้าในลานบ้านเพื่อเตรียมสะสางตรงบริเวณลานบ้านให้โล่ง
เนื่องจากไม่มีใครมาดูแลที่นี่เป็นเวลานาน ที่ดินตรงนี้จึงแข็งมาก เจียงป่าวชิงใช้มือซ้ายถอนหญ้าอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก สุดท้ายเจียงหยุนชานก็เห็นถึงความผิดปกติของนางเข้าจนได้
แต่ทว่าเจียงป่าวชิงกลับทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นางหลอกพี่ชายที่ไร้เดียงสาของตัวเองด้วยคำพูดที่ว่า “ไม่เป็นไร แขนข้าเคล็ดนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
สองพี่น้องทำงานตลอดทั้งช่วงเช้า เนื่องจากยากเกินไปที่จะสะสาง พื้นที่ที่สะสางเสร็จจึงเป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น แต่เจียงป่าวชิงกลับตื่นเต้นมาก นางชี้ไปตรงพื้นที่นั้นและบรรยายชีวิตในอนาคตกับเจียงหยุนชานอย่างมีความสุข “นี่นะพี่ ข้าจะสร้างที่วางมะเขือเทศไว้ตรงนี้ จากนั้นก็จะปลูกต้นอ่อนมะเขือเทศเล็กน้อย และปลูกแตงกวากับกะหล่ำปลีไว้ข้าง ๆ ถ้าพี่กับข้าหิว เราก็เด็ดแตงกวาไปล้างน้ำนิดหน่อยก็กินได้ แตงกวาสีเขียวจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์และปราศจากมลภาวะจะต้องกรอบและหวานมากแน่ ๆ…”
น้อยครั้งมากที่เจียงหยุนชานจะเห็นน้องสาวของตนเองดีใจถึงเพียงนี้ เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็รู้สึกดีใจมากเช่นกัน เขาหวังว่าป่าวชิงจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุขแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
สองพี่น้องพากันเช็ดเหงื่อ จากนั้นก็กลับไปที่บ้านตระกูลเจียง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยอยากกลับไปที่บ้านตระกูลเจียงสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้บ้านตระกูลเจียงยังคงเป็นที่พักอาศัยสำหรับพวกเขาอยู่ พวกเขาจึงต้องกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทว่าเมื่อมาถึงหน้าบ้านตระกูลเจียงกลับพบว่าประตูไม้ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา จึงทำให้มองไม่เห็นสถานการณ์ในลานบ้าน
และบนประตูไม้ก็มียันต์หน้าตาแปลก ๆ แปะไว้อยู่ทั้งสองด้าน เจียงป่าวชิงสังเกตยันต์นั้นพลางคิดในใจว่าจะต้องเป็นแม่เฒ่าเซียนเว่ยแน่ ๆ ที่เป็นคนทำสิ่งนี้ขึ้นมา
เจียงหยุนชานนึกได้ว่าเจียงโหย่วฉายไข้ขึ้นสูง เขาจึงรู้สึกลังเลใจ “ไม่รู้ว่าไข้ของพี่ฉายจะลดลงแล้วหรือยังนะน้องชิง”
‘ป่วย แต่กลับไม่ไปหาหมอเพื่อเอายามากิน กลับหาคนโกหกหลอกลวงที่ไหนไม่รู้มาเต้นระบำเทพแทน ถ้าหากว่าสามารถทำให้ไข้ลดลงได้ ก็คงเป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันของโหย่วฉายเองที่ยอดเยี่ยมมาก เหอะ!’ เจียงป่าวชิงพึมพำในใจ จากนั้นนางก็ผลักประตูอย่างไม่ใส่ใจ
ในลานบ้านว่างเปล่าไม่มีเสียงอะไรเลย เจียงป่าวชิงยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย นี่เต้นระบำเทพกันเสร็จแล้วหรืออย่างไร ? ครั้งที่แล้วนางยังเห็นอยู่เลยว่าเหตุการณ์ตอนเต้นระบำเทพนั้นวุ่นวายและใช้เวลาค่อนข้างนาน
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ในลานบ้าน แต่ตรงกลางลานบ้านกลับมีลวดลายอะไรบางอย่างที่ถูกวาดขึ้นด้วยขี้เถ้าที่ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
เจียงป่าวชิงยังคงสังเกตลวดลายอยู่ตรงนั้น จู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้าอัปมงคล ตายซะเถอะ!”
จากนั้นเลือดหมาหนึ่งกะละมังเต็ม ๆ ก็สาดลงมาบนหัวเจียงป่าวชิง
“ป่าวชิง!” เจียงหยุนชานยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ด้านข้าง เขากำลังจะพุ่งเข้าไปหาเจียงป่าวชิง แต่กลับถูกเจียงอีหนิวที่แอบพุ่งออกมาจากในพุ่มหนามจับตัวไว้และกดศีรษะของเขาลงกับพื้นเสียก่อน
เจียงอีหนิวถ่มน้ำลายลงข้าง ๆ “ไม่แน่เจ้าเด็กนี่ก็อาจถูกผีชั่วร้ายนั่นเข้าสิงร่างด้วยก็ได้ อีกประเดี๋ยวต้องให้แม่เฒ่าเซียนเว่ยดูหน่อยแล้ว”
เจียงป่าวชิงอยู่ในสภาพที่เลือดไหลย้อยลงมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นางไม่ได้ขยับไปไหน ยืนอยู่ตรงนั้นตลอด
โจซื่อเป็นคนแอบสาดเลือดหมาอยู่ที่ข้างประตู หลังจากที่นางสาดเสร็จ มือที่ประหม่าของนางก็แทบจะไม่สามารถถือกะละมังได้อีกต่อไป เอาแต่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ตรงนั้น
ในตอนนี้เอง แม่เฒ่าเซียนเว่ยก็เดินออกมาจากในมุมมืดแล้ว นางถือดาบไม้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือยันต์เหลืองไว้สองสามใบ จากนั้นนางก็เริ่มเต้นระบำเทพรอบ ๆ ตัวเจียงป่าวชิง และท่องอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
เซียนเว่ยวางแผนไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เด็กผู้หญิงอ่อนแอที่ปัญญาอ่อนมาหลายปี จู่ ๆ ก็ถูกสาดด้วยเลือดหมาดำอย่างกะทันหัน นางจะต้องตกใจมากอย่างแน่นอน และเป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะยั้งสติไม่อยู่และตกใจจนถึงกับสูญเสียจิตวิญญาณไปชั่วคราว
หากเป็นเช่นนั้น เซียนเว่ยก็จะพูดได้ว่านางสามารถกำจัดสิ่งอัปมงคลได้สำเร็จ
ส่วนเจียงโหย่วฉาย ถ้าเขาหายป่วยทุกคนก็จะคิดว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของนางสูงมาก จนสามารถขับไล่ผีร้ายที่สิงสถิตอยู่ในร่างเขาให้ออกไปได้ และทำให้เขาหายได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ยา แต่ถ้าเขาไม่หายป่วย นางก็จะบอกกับทุกคนว่านั่นเป็นเพราะผีร้ายที่สิงอยู่ในร่างเจ้าปัญญาอ่อนดูดกลืนพลังหยางของเจียงโหย่วฉายมากเกินไปจนทำให้เขาไร้พลัง แต่นางได้ขับไล่ผีร้ายตัวนั้นไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกในอนาคต
แม่เฒ่าเซียนเว่ยวางแผนได้ละเอียดมาก เป็นเพราะนางเคยทำเเบบนี้มาก่อน ไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง ส่วนนังเด็กผู้หญิงที่ถูกนางหาว่าถูกผีร้ายเข้าสิงร่างจะต้องเจอกับอะไรในอนาคตนั้น นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับนาง
ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะถูกขายไปที่ไกล ๆ ถูกถ่วงน้ำ หรือไม่ก็ถูกเผาตายทั้งเป็น… ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนั่นก็คือชะตากรรมของพวกนาง ไม่เกี่ยวกับนางแม้แต่นิดเดียว
ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของแม่เฒ่าเซียนเว่ยเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะออกมาให้เห็น
“แม่เฒ่าเซียนเว่ยแสดงอิทธิฤทธิ์อีกแล้ว พวกเรารีบมาดูเร็วเข้า”
“สวรรค์โปรด! ได้ยินมาว่าเจ้าปัญญาอ่อนตระกูลเจียงถูกผีร้ายสิงร่าง มิน่าล่ะข้าถึงเห็นนางแปลก ๆ ไป”
“โธ่! ข้าเห็นเจ้าปัญญาอ่อนนั่นผิดปกติมาตั้งนานแล้ว วันนั้นข้าไปในอำเภอกับนางก็รู้สึกว่านางผิดปกติไปตั้งแต่ตอนนั้น”
ชาวบ้านหลายคนพากันมาที่นี่เพราะพวกเขาได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย พวกเขาพากันมายืนอออยู่ที่หน้าบ้านเพื่อรอดูเรื่องสนุก ๆ
สีหน้าของหวังอาซิ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางยืนอยู่ตรงรั้วและเหมือนว่านางต้องการจะเข้าไปช่วยเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิง แต่นางกลับถูกแม่ตัวเองตบหน้าอย่างรุนแรงเสียก่อน “อาซิ่ง! หากเจ้าจะไปตายข้าก็จะตีเจ้าให้ตายเสียตอนนี้ อย่าคิดที่จะทำร้ายครอบครัวเรา นั่นเป็นถึงผีร้ายเข้าสิงร่างเชียวนะ หากว่าเจ้าออกไปจากบ้านหลังนี้ก็อย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีก! เพื่อจะได้ไม่พาเคราะห์ร้ายกลับเข้ามาในบ้าน”
หวังอาซิ่งถูกตบจนแก้มสองข้างบวมฉึ่งอย่างรวดเร็ว นางนั่งยอง ๆ ช้า ๆ จากนั้นก็เริ่มร้องไห้และไม่กล้าพูดอะไรอีก
……
แม่เฒ่าเซียนเว่ยเห็นเจียงป่าวชิงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ นางจึงคิดในใจว่าเจียงป่าวชิงคงจะตกใจจนสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้หรอก
แม่เฒ่าเซียนเว่ยรู้สึกพึงพอใจมาก นางเต้นระบำเทพรอบตัวเจียงป่าวชิงต่ออีกสักครู่ จากนั้นนางก็ชี้ปลายดาบขึ้นฟ้าด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือยันต์เหลืองไว้ สุดท้ายนางก็กดยันต์เหลืองลงบนหน้าเจียงป่าวชิง
แปะ!
เนื่องจากบนใบหน้าของเจียงป่าวชิงเต็มไปด้วยเลือดหมาดำที่เหนียวเหนอะแหนะ ยันต์เหลืองจึงติดลงบนใบหน้าของนางอย่างง่ายดาย ทว่านางยังคงไม่ขยับไปไหน
โจซื่อที่อยู่ด้านข้างถือกะละมังล้างหน้าที่ใช้บรรจุเลือดหมาดำเมื่อสักครู่ไว้แน่น จากนั้นนางก็ถามขึ้นด้วยร่างที่สั่นเทา “แม่เฒ่าเซียน นี่คือ… เสร็จแล้วใช่หรือไม่ ?”
เซียนเว่ยไม่ได้ตอบโจซื่อ นางเอาแต่จ้องเจียงป่าวชิงเขม็ง จากนั้นก็ชี้ปลายดาบไปที่บริเวณหน้าอกของเจียงป่าวชิง ปากก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ไอ้ผีร้าย! ข้าเห็นร่างจริงของเจ้าแล้ว เจ้าอย่าปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งที่นี่อีก ไม่ว่าจะฝุ่นหรือดิน ก็กลับไปในที่ที่เจ้าควรอยู่เสียเถอะ!”
ตั้งแต่แม่เฒ่าเซียนเว่ยช่วยชีวิตพี่ฉายไว้เมื่อครั้งที่แล้ว หลีโผจื่อก็รู้สึกนับถือความเก่งกาจของแม่เฒ่าเซียนเว่ยมาตั้งแต่ตอนนั้น นางหลบอยู่ด้านหลังแม่เฒ่าเซียนเว่ย เมื่อเห็นเจียงป่าวชิงไม่ขยับไปไหน นางก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรแล้ว จึงก่นด่าเหมือนทุกครั้งที่ทำมาตลอด
“ตอนยังมีชีวิตอยู่เป็นคนปัญญาอ่อน ก่อเรื่องจนในบ้านวุ่นวายไปหมด ตายแล้วก็ยังไม่ปล่อยตระกูลเจียงของเราไปอีก เลว! เลวมาก! ถ้าเจ้ายังไม่ไสหัวไป เซียนเทพจะตีเจ้าให้ตาย และอ้อ รีบ ๆ อยู่ให้ห่างจากพี่ฉายของเราซะ!”
ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แต่น้อยเลย
แสงแดดตอนเที่ยงวันกำลังร้อนได้ที่ ตอนนี้ทุกคนต่างพากันกลั้นหายใจและไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเลยสักคำ
มีเพียงเจียงหยุนชานที่ยังคงตะโกนอย่างดิ้นรนอยู่ตรงนั้น “พวกท่านทำอะไร…?! ป่าวชิง! ป่าวชิง!”
แต่กลับไม่มีใครตอบเขา
เจียงอีหนิวกดหน้าเจียงหยุนชานลงกับพื้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยคราบเลือด