ตอนที่ 49 ข้าไม่ใช่ผีร้าย
หลีโผจื่อรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที “เจ้าปัญญาอ่อนนี่ ปกติแล้วก่อนหน้านี้คนในบ้านตำหนินางนิดหน่อย นางไม่เคยแม้แต่จะย้อนกลับ แต่หลังจากที่กลับมาครั้งนี้ ไอ้หยา! ข้าตำหนินางแค่นิดเดียว นางกลับรู้จักเปลี่ยนวิธีและมาด่าคนแก่อย่างข้าได้ลงคอ ดูสิว่านางร้ายกาจแค่ไหน! ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลย ข้าว่าแสงที่อยู่ในตานางจะต้องเป็นสีเขียวอย่างแน่นอน ถึงได้ผิดปกติเช่นต่างจากมนุษย์มนาคนอื่น ๆ” หลีโผจื่อพูดใส่ไฟถึงความผิดปกติของเจียงป่าวชิง
เจียงหยุนชานในเวลานี้โกรธจนตัวสั่น เขาพยายามเถียงด้วยเหตุผล “ท่านย่าสอง ท่านอา พวกท่านอย่าพูดจาเหลวไหล ป่าวชิงผิดปกติตรงไหน เมื่อก่อนนางปัญญาอ่อนจึงยังไม่รู้หลักการของอะไรหลาย ๆ อย่าง พวกท่านต่อว่านางแล้วนางไม่ย้อนกลับก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือขอรับ ตอนนี้นางหายป่วยแล้ว เป็นธรรมดาที่นางจะมีวิธีจัดการปัญหาของตัวเอง พวกท่านมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่านางไม่ปกติ ถ้าอย่างนั้นทุกคนที่เพิ่งหายจากโรคร้ายแรง เพียงแค่เขามีพฤติกรรมแตกต่างจากอาการป่วยที่เคยเป็น ก็จะบอกว่าคนนั้นถูกผีชั่วร้ายเข้าสิงร่างอย่างนั้นน่ะสิ ส่วนที่โหย่วฉายป่วย การป่วยของเขาสองครั้งนั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หากว่าป่าวชิงถูกผีร้ายเข้าสิงร่างจริง ๆ เหตุใดนางจึงไม่ดูดพลังหยางของข้าล่ะ ทั้ง ๆ ที่ข้าอยู่ใกล้นางขนาดนั้น ? ไปดูดของโหย่วฉายทำไมกัน ?”
จู่ ๆ เจียงอีหนิวก็พูดแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง “หยุนชาน ข้าว่าเจ้าอย่าคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรหน่อยเลย ดูสิ ครั้งนี้ที่เจ้าสอบเซี่ยนชื่อไม่ผ่าน ไม่แน่ก็อาจเป็นเพราะไอ้เจ้าสิ่งอัปมงคลนี่แอบก่อกวนเจ้าอยู่ลับหลังก็เป็นได้ เมื่อสักครู่ข้ากดเจ้าอยู่ตลอด เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าใจความหวังดีของคนอื่นแบบนี้ ชิ!”
ไม่คิดว่าเขาจะหยิบยกสาเหตุที่เจียงหยุนชานสอบไม่ผ่านมาโยงเข้าหาตัวเจียงป่าวชิงเช่นนี้ เจียงหยุนชานรู้สึกโกรธคนเหล่านี้ที่คิดแต่จะใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นจนเขาแทบจะพูดไม่ออกอยู่แล้ว เจียงป่าวชิงดึงแขนเสื้อของเจียงหยุนชานและร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย “พี่… เหตุใดท่านย่าสองถึงบอกว่าข้าเป็นผีน้ำ ? หรือเพราะว่าข้าไม่ปัญญาอ่อนแล้วจึงมีความผิดอย่างนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ? ระ… หรือว่าข้าต้องเป็นคนปัญญาอ่อนไปตลอดชีวิต พวกเขาถึงจะพอใจ ?”
เนื่องจากร่างกายของเจียงป่าวชิงขาดสารอาหารมากเกินไป และถึงแม้หลายวันมานี้นางได้ทำการบำรุงร่างกายอยู่ตลอด แต่ช่วงนี้นางกลับถูกใครบางคนใช้มีดสั้นแทงเข้าที่ไหล่จึงทำให้นางอ่อนแอมาก และดูเหมือนจะผอมลงกว่าเดิมด้วย
เมื่อเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดูผอมและอ่อนแอถามด้วยเสียงปนสะอื้นว่าตัวเองต้องเป็นคนปัญญาอ่อนไปตลอดชีวิตหรือเปล่า พวกเขาถึงจะพอใจ เมื่อได้ยินดังนั้น ในใจของชาวบ้านจำนวนมากที่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่ก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
ในปัจจุบัน แม้ว่าตำแหน่งของเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะไม่ได้สูงนัก แต่ก็ไม่น่ารันทดเท่าเจียงป่าวชิง
เสื้อผ้าทั้งตัวมีรอยปะปุเต็มไปหมด และเนื่องจากนางผอมเกินไป แขนเสื้อของนางจึงว่างไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่อายุสิบสามขวบ แต่กลับดูเหมือนเด็กที่เพิ่งจะอายุสิบขวบอย่างไรอย่างนั้น
นอกจากนี้ ตอนนี้ตัวนางยังเปื้อนไปด้วยเลือดตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อผ้าก็แนบไปกับร่างกายทำให้รูปร่างของนางดูผอมมากกว่าเดิมเข้าไปอีก
ช่างน่าสงสารจริง ๆ!
แม่เฒ่าเซียนเว่ยเห็นว่าสายตาของชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์เหมือนจะสั่นคลอนไปเล็กน้อย นางก็สบถว่า ‘แย่แล้ว’ ในใจ จากนั้นก็รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไอ้ผีร้ายตนนี้อยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการคาดคะเนใจของมนุษย์และสามารถแสร้งทำเป็นน่าสงสารได้ ทุกคนอย่าไปหลงกลผีร้ายตนนี้เชียวนะ”
เจียงป่าวชิงสะอึกสะอื้น “ข้าไม่ใช่ผีร้าย! ข้าคือเจียงป่าวชิง! และข้ายังจำเรื่องราวในวัยเด็กของข้าได้ ถ้าหากว่าข้าถูกผีร้ายอะไรนั่นเข้าสิงร่างจริง ๆ มันจะต้องไม่รู้เรื่องพวกนั้นอย่างแน่นอน”
เจียงป่าวชิงชี้ไปที่เจียงเอ้อยาซึ่งกำลังหลบอยู่หลังหน้าต่างเพื่อดูเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น “ตอนเด็ก ๆ พี่เอ้อยามักจะตบหัวข้าบ่อย ๆ และชอบด่าข้าว่าปัญญาอ่อน มีครั้งหนึ่งนางยังจุดไฟใส่เสื้อผ้าของข้า และมองดูข้ากระโดดลงไปในแม่น้ำด้วยความสนุก แต่โชคดีที่พี่ต้าหูเดินผ่านมาพอดี เขาจึงช่วยข้าไว้ได้ทัน”
เจียงเอ้อยาหน้าซีดเผือด นางรีบขดตัวลงไปใต้หน้าต่างทันที
ชาวบ้านทุกคนในที่นั้นไม่ได้โง่ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเจียงเอ้อยาแล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจียงป่าวชิงพูดนั้นเป็นความจริง
จากนั้นเจียงป่าวชิงก็ชี้ไปที่เด็กผู้ชายวัยสิบกว่าขวบที่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่ด้านนอก “ตอนเด็ก ๆ เขาคนนั้นยังเคยยัดก้อนหินใส่ในปากข้าและบังคับให้ข้ากลืนลงไป ในปากของข้าถูกก้อนหินบาดจนเลือดออกมากมายทำให้กลืนไม่ลง แต่แล้วเขาคนนั้นก็ถีบข้าและด่าข้าว่าไร้ประโยชน์”
สีหน้าของเด็กผู้ชายคนนั้นก็ซีดเผือดเช่นกัน แม่ของเขายืนอยู่ข้าง ๆ เขา ตอนที่นางเห็นสายตาของลูกชายตัวเอง นางก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องจริง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้ว่าลูกชายของตัวเองทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ในตอนเด็ก ๆ
เมื่ออยู่ภายใต้สายตาประณามจากผู้คนภายนอก นางก็รู้สึกอับอายจนโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว นางตบลงไปบนหัวลูกชายของตัวเองอย่างแรง “เจ้า! เหตใดตอนเด็กถึงได้เกเรเช่นนั้น ? แย่จริง ๆ!”
เด็กผู้ชายคนนั้นพูดไม่ออก เอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น
จากนั้นเจียงป่าวชิงก็ชี้อีกหลายคนและบอกว่าพวกเขามีความสุขที่ได้รังแกนางอย่างไรบ้าง นางพูดจนคนที่ถูกเรียกชื่ออยากจะมุดเข้าไปในซอกใต้ดินให้รู้แล้วรู้รอด
เจียงป่าวชิงสะอื้นไห้ “ฮือ ๆ ๆ… พวกเจ้ารังแกข้ามาตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็กเล็ก ถ้าหากข้าถูกผีร้ายเข้าสิงร่างจริง ๆ ทำไมข้าถึงรู้มากมายขนาดนั้น ?”
พูดออกไปเช่นนั้นก็มีแรงโน้มน้าวจิตใจเกิดขึ้นจริง ๆ ด้วย ใคร ๆ ก็รู้ว่าถ้าหากคนเราถูกผีร้ายเข้าสิงร่าง ก็จะไม่สามารถรู้เรื่องที่ผ่านมาได้นานขนาดนั้น
แต่สำหรับเจียงหยุนชานในตอนนี้เขาอึ้งอย่างมาก เขาเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่าน้องสาวของเขาเคยต้องทนทุกข์ทรมานมากมายในตอนที่เขาไม่อยู่และไม่รู้ เขารู้สึกทนไม่ไหวตั้งแต่ที่นางชี้เจียงเอ้อยาแล้ว เมื่อได้ยินเรื่องของคนหลัง ๆ เขาก็ทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ กับพื้นแล้วร้องไห้ด้วยจิตใจที่พังยับเยิน เขาร้องไห้และทุบศีรษะตัวเองไปด้วย “อ๊าก! นี่ข้ายังจะเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร ?! จะเรียนหนังสือไปทำไม ?! ถ้าข้าปล่อยให้น้องสาวตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดนี้ ข้ายังจะเรียนหนังสือไปทำไมกัน ?!”
เจียงป่าวชิงก็นั่งยอง ๆ ลงกับพื้นเช่นกัน เนื่องจากคราบเลือดบนร่างกายของนางเป็นอุปสรรค นางจึงไม่กอดเจียงหยุนชานแต่เลือกที่จะพูดขึ้นมาแทน “พี่ชาย… พี่อย่าโทษตัวเองเลยนะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าที่พี่เรียนหนังสือก็เพราะหวังดีต่อข้า ข้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ข้ายังเล็ก เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ข้าจำได้ราง ๆ ข้าก็จะบอกกับตัวเองเสมอว่าห้ามให้พี่รู้เรื่องพวกนี้เด็ดขาด… พี่หยุนชาน ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ให้ใครมารังแกข้าอีกแล้ว พี่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ”
คนในหมู่บ้านต่างพากันตื้นตันใจเล็กน้อย
“เฮ้อ… ช่างมันเถอะ… สองพี่น้องคู่นี้มีชีวิตที่ไม่ง่ายเลย เสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก ต่อมาก็เสียพ่อไปอีก คนน้องกว่าจะหายจากโรคปัญญาอ่อนได้ก็ไม่ง่าย แล้วยังมาถูกกล่าวหาว่าถูกผีร้ายเข้าสิงร่างอีกต่างหาก”
“ใช่ ถือได้ว่าพวกเราก็เห็นสองพี่น้องคู่นี้โตมาตั้งแต่ยังเล็กเช่นกัน ข้าดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเหมือนผีชั่วร้ายอะไรนั่นสักหน่อย”
“ข้าก็ว่าไม่เหมือน”
เหล่าผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์เริ่มพูดแสดงความคิดเห็นกันยกใหญ่ ท่านปู่เจียงกับครอบครัวได้ฟังพวกเขาก็ร้อนรนจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
แม่เฒ่าเซียนเว่ยบอกว่าผีร้ายเข้าสิงร่างของเจ้าเท้าเล็กเจียงป่าวชิง เหตุใดพวกเขาถึงไม่เชื่อกัน ? แล้วถ้าหากไม่ใช่เพราะผีร้ายเข้าสิงร่าง เหตุใดตอนนี้ไข้ของพี่ฉายถึงยังไม่ลดลงเล่า ?!
ฉวนหลี่เจิ้งถามท่านปู่เจียงอย่างเชื่องช้าว่า “น้องเจียง เด็กสองคนนี้ก็ลำบากอยู่นะ ป่าวชิงนางก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางไม่ได้ถูกผีร้ายเข้าสิงร่างจริง ๆ เจ้าว่า…”
ปู่เจียงหน้าแดงและพูดไม่ออกไปเสียแล้ว หลีโผจื่อเห็นดังนั้นก็ร้อนใจ นางรีบดึงแม่เฒ่าเซียนเว่ยทันที “แม่เฒ่าเซียนเว่ย ท่านรีบพูดอะไรบ้างสิ ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเจียงป่าวชิงถูกผีร้ายเข้าสิงร่างจริง ๆ ไม่อย่างนั้นนางจะผิดปกติถึงขนาดนั้นได้อย่างไร อีกอย่าง ตอนนี้พี่ฉายของเราก็ยังนอนซมอยู่บนเตียงอิฐอยู่เลย”
แม่เฒ่าเซียนเว่ยยังคงรู้สึกงุนงงกับข้อสงสัยมากมายของคนที่มามุงดูเหตุการณ์ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ตั้งแต่ประกอบอาชีพนี้มาหลายปี
โดยปกติแล้ว ถ้าคนคนหนึ่งถูกสาดด้วยเลือดหมา พวกสาวน้อยอายุสิบกว่า ๆ ควรตกใจจนหวิดตายหรือไม่ก็เสียสติ แต่นี่! เด็กเจียงป่าวชิงคนนี้เป็นคนแรกที่นางเคยพบเจอมาที่ถูกสาดด้วยเลือดหมาดำขนาดนี้แต่ยังสามารถร้องไห้และเล่าเรื่องทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
ครั้งนี้นางคงจะแตะถูกแผ่นเหล็กเข้าแล้วจริง ๆ
แม่เฒ่าเซียนเว่ยกระแอมไอ จากนั้นนางก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม “เมื่อสักครู่ข้าเบิกเนตรดูและเห็นว่าผีร้ายที่สิงอยู่บนร่างเด็กผู้หญิงคนนี้ได้ถูกข้าขับไล่ไปแล้ว อืม… ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วล่ะ”
หลีโผจื่อดีอกดีใจ นางรีบวิ่งเข้าไปในบ้านโดยมีโจซื่อตามเข้าไปติด ๆ
ทว่า… เจียงโหย่วฉายยังคงนอนซมอยู่บนเตียงอิฐด้วยสภาพที่แก้มแดงเถือก เขาเป็นไข้จนสติเลอะเลือน จึงทำให้เขาพูดเพ้อเหลวไหลอย่างไม่หยุดหย่อน
หลีโผจื่อเดินออกมาอย่างสิ้นหวัง นางดึงแขนเสื้อของแม่เฒ่าเซียนเว่ย “แม่เฒ่าเซียนเว่ย ไม่ใช่แล้ว หลานชายข้ายังเป็นไข้อยู่เลย”
แม่เฒ่าเซียนเว่ยดึงชายเสื้อออกมาจากในมือหลีโผจื่ออย่างไม่พอใจ “ไร้มารยาท! ข้าขับไล่ไอ้ผีร้ายไปแล้ว แต่หลานชายเจ้าถูกดูดกลืนพลังหยางมากเกินไปจึงทำให้พลังขาดอิทธิฤทธิ์ เป็นเช่นนี้เจ้าจะมาโทษข้าได้อย่างไร ?!”
หลีโผจื่อถลึงตาอย่างฉับพลัน จากนั้นนางก็หันกลับมาเพื่อจะเข้าไปตบตีเจียงป่าวชิง “เจ้า! คืนหลานชายข้ามาเดี๋ยวนี้”
ท่าทางเช่นนั้นคล้ายกับจะกลืนกินเจียงป่าวชิงทั้งเป็น
ชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจไปตาม ๆ กัน