ตอนที่ 57 จะไม่ยอมกลายเป็นภาระของพี่
เจียงป่าวชิงเดินไปตรงหน้าเจียงหยุนชาน นางคุกเข่าลงและเงยหน้าเล็กที่ผอมซูบขึ้นเล็กน้อย “ครูหวู่เจ้าคะ พี่ชายของข้าทำเพื่อข้า ครูหวู่ก็เห็นแล้วว่าเราสองพี่น้องเพิ่งย้ายจากบ้านท่านปู่สองของพวกข้ามาที่บ้านเดิมของเรา พี่ชายข้าเพียงแค่เป็นห่วงข้า เขาถึงอยู่ที่บ้านต่อแต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะละทิ้งการเรียนอย่างที่คุณหวู่เข้าใจ ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็สิ้นสุดแล้ว วันพรุ่งพี่ชายของข้าก็จะกลับไปที่โรงเรียนแล้วเจ้าค่ะ”
ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหยุนชานไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเจียงป่าวชิง เขาคุกเข่าลง ยืดตัวตรง และมองเจียงป่าวชิงที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ไม่ได้ หากข้าไปแล้ว เจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า ?”
เจียงป่าวชิงยืดตัวมองเจียงหยุนชานเช่นกัน จากนั้นก็พูดอย่างตั้งใจ “พี่หยุนชาย สำหรับเราแล้ว สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือบ้านของพวกท่านปู่สอง ในเมื่อตอนนี้เราย้ายออกมาจากที่นั่นแล้วก็คงจะไม่แย่ไปกว่านั้นแล้วเจ้าค่ะ… และหลังจากซ่อมประตูรั้วไม้เสร็จแล้ว ที่นี่ก็คงจะปลอดภัยกว่าที่บ้านท่านปู่สองมาก”
เจียงป่าวชิงชี้ไปที่บ้านของเพื่อนบ้านที่กำลังซ่อมแซมซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่หลังนั้น “บ้านที่ถูกทิ้งไว้ตรงนั้นก็มีคนจะเข้ามาอยู่เช่นกัน อีกอย่าง ข้าอยู่ที่นี่ไม่ถือว่าโดดเดี่ยวอะไรหรอกเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นค่อยเลี้ยงหมาสักตัว ตกกลางคืนค่อยปล่อยมันออกไปเฝ้าบ้านก็ได้” เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นท่าทางของนางก็เคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “พี่หยุนชาน ข้ารู้ว่าพี่มีภาระอันหนักอึ้งอยู่ในอก และข้าจะไม่ยอมกลายเป็นภาระของพี่เด็ดขาดเลยเจ้าค่ะ”
เจียงหยุนชานรู้สึกตื้นตันใจต่อคำพูดประโยคสุดท้ายของเจียงป่าวชิง เขาตื้นตันจนเขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “ป่าวชิง เจ้าจะเป็นภาระของข้าได้อย่างไรกัน ?”
เจ้าคือที่ที่อบอุ่นที่สุดในใจข้า…
เจียงป่าวชิงยิ้มเจิดจรัสให้เจียงหยุนชานอย่างเจิดจรัส “พี่… พี่เชื่อข้าสิ ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวได้สบายมาก ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พี่เรียนหนังสือให้สบายใจเถอะเจ้าค่ะ”
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเจียงหยุนชานเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของน้องสาว เขากลับน้ำตาไหลออกมาทั้งอย่างนั้น ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วทำนองนั้น เขายกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็โน้มศีรษะให้หวู่ซิ่วฉายสามครั้งอย่างตั้งใจ “ครูหวู่ ข้ายังกลับไปเรียนที่โรงเรียนได้อีกไหมขอรับ ?”
หวู่ซิ่วฉายทำสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็สลัดชุดคลุมเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าโรงเรียนเป็นสถานที่ที่จะไป ๆ มา ๆ เมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นรึ ? ถ้าความตั้งใจไม่มั่นคงพอก็ยากที่จะทำการใหญ่ได้”
เจียงหยุนชานรู้สึกละอายใจ เขาก้มหน้าลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น “เป็นอย่างที่ครูหวู่ชี้แนะข้าจริง ๆ ขอรับ”
ตอนนี้ใบหน้าเคร่งขรึมของหวู่ซิ่วฉายถึงจะเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น “วันพรุ่งเจ้าก็เขียนแบบสำรวจตนเองมาให้ข้าก็แล้วกัน และอย่าให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด”
เจียงหยุนชานเกิดสำนึกขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ จากนั้นเขาก็ขานรับอย่างแข็งขัน “ใช่แล้วขอรับ นักเรียนจะต้องจะปฏิบัติตามที่ผู้เป็นครูสั่งสอน”
เจียงป่าวชิงก็ทำความเคารพหวู่ซิ่วฉายเช่นกัน “ครูหวู่ ข้าเองก็ขอขอบท่านมากเลยเจ้าค่ะ”
หวู่ซิ่วฉายตั้งใจเช่ารถล่อจากสถานที่ให้บริการรถม้าในอำเภอเพื่อมาที่นี่ และตอนนี้รถล่อก็ยังคงรอเขาอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน หลังจากที่จัดการเรื่องของเจียงหยุนชานเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวู่ซิ่วฉายก็ปฏิเสธการเชิญทานข้าวของเจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิงอย่างสุภาพ เขาบอกเพียงแค่ว่ายังมีธุระที่โรงเรียนในอำเภอต่อ และยังบอกว่าเจียงหยุนชานสามารถกลับไปเรียนได้
เขาดีใจยิ่งกว่าได้ทานอาหารเลิศรสทำนองนั้น
พูดจนเชียงหยุนชานรู้สึกอับอายมาก จนเขาเกือบจะเงยหน้าไม่ขึ้นเลยทีเดียว
หลังจากที่ส่งหวู่ซิ่วฉายกลับไป ซุนต้าหูก็ลูบศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดกับเจียงหยุนชานด้วยความไร้เดียงสา “หยุนชาน ข้าที่มาจากครอบครัวชาวนาพูดคำอื่นไม่เป็น อย่างไรเจ้าก็ไปเรียนหนังสือให้สบายใจเถอะ เพราะที่ในหมู่บ้านละแวกนี้ก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เป็นคนมีความรู้มี
ความสามารถถึงเพียงนี้ เจ้าต้องรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดี ๆ… ส่วนเรื่องป่าวชิงเจ้าไม่ต้องห่วงเลย เราเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต ข้าจะช่วยดูแลป่าวชิงเอง”
ในตอนที่พูดประโยคสุดท้าย สีหน้าของซุนต้าหูก็แดงเล็กน้อย ทว่าเดิมทีสีผิวของเขาก็ดำคล้ำอยู่แล้ว จึงทำให้มองไม่เห็นเงื่อนงำอะไรในแววตา
เจียงหยุนชานรู้สึกซาบซึ้งใจมากจริง ๆ เขาพูดขอบคุณพี่ต้าหูครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อเวลานี้พวกเขามีโคลนที่ขนมาจากริมแม่น้ำ ซุนต้าหูก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ส่วนเจียงหยุนชานรับบทเป็นผู้ช่วย ไม่นานนักเตาก็ซ่อมเสร็จ แต่เนื่องจากยังต้องผึ่งลมอีกสองสามวันจึงยังไม่สามารถใช้งานได้ในตอนนี้
ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งหมดก็เป็นเด็กที่โตในภูเขาอยู่แล้ว ขุดหลุมในดินและวางแท่นไม้ลงไปก็สามารถใช้ต้มน้ำและทำโจ๊กได้
ทั้งสามคนกินโจ๊กอุ่น ๆ รอบกองไฟ
ซุนต้าหูรู้สึกว่านี่เป็นอาหารที่ดีที่สุดที่เขาได้กินในรอบหลายปี
……
วันต่อมา ฟ้ายังไม่สว่างแต่เจียงป่าวชิงกลับตื่นแล้ว
ถึงแม้ว่าจะนอนบนกองหญ้า นางกลับรู้สึกสบายใจกว่านอนบนเตียงอิฐแบบเมื่อก่อนมาก ทว่าเมื่อเจียงป่าวชิงเพิ่งได้ลุกขึ้นนั่ง เจียงหยุนชานที่นอนหลับอยู่ในกองหญ้าบนพื้นก็ตื่นขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นนั่งและหันมองไปทางเจียงป่าวชิงด้วยสายตาขมุกขมัว จากนั้นเขาก็รำพันอย่างเลอะเลือน “ป่าวชิงหรือ ?”
เจียงป่าวชิงขานรับเล็กน้อย นางใช้มือคว้าหญ้าที่ติดอยู่บนเส้นผมของตัวเอง
เจียงหยุนชานตบหน้าตนเองเบา ๆ เพื่อให้ตื่นได้เร็วยิ่งขึ้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาจากบนพื้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าคงจะอยู่ในช่วงเวลาไก่กลับรัง ยังไม่ถึงเวลาเช้าเลย
“ต้องไปที่บ้านพี่ต้าหูแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากที่เจียงป่าวชิงทำความสะอาดหญ้าบนร่างกายตนเองเสร็จเรียบร้อย นางก็หันไปช่วยทำความสะอาดหญ้าบนตัวเจียงหยุนชาน “วันนี้มีตลาดนัดพอดี พี่ไปที่โรงเรียนในอำเภอ ส่วนข้าก็จะไปซื้อของที่ตลาดนัดเจ้าค่ะ”
ในบ้านของพวกเขา ของที่สามารถเอาออกไปได้ก็แทบจะถูกเอาไปจนหมดแล้ว ของใช้จิปาถะในชีวิตประจำวันที่ต้องซื้อจึงมีมากพอสมควร
นี่คือสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันเมื่อวานนี้ เจียงหยุนชานขานรับเล็กน้อย
บนตัวของเจียงป่าวชิงยังมีเศษเงินอยู่สองตำลึงสี่สลึง และบวกกับทองแดงอีกร้อยกว่าเหรียญ ซึ่งในชีหลี่โว เงินก้อนนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลได้เลยทีเดียว มันเหลือเฟือต่อการซื้อพวกของใช้จิปาถะในชีวิตประจำวัน
เจียงหยุนชานออกไปตักน้ำ ตอนกลับมา เมื่อเขาเห็นว่าประตูห้องปิดไว้อย่างแน่นหนา เขาก็รู้สึกแปลกใจจึงลองส่งเสียงเรียกเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง ?”
“ข้าอยู่เจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงขานรับ นางเดินออกมาจากในห้อง
เจียงหยุนชานเบิกตากว้างทันที เขาตกตะลึงไปสักพัก สายตาก็มองเจียงป่าวชิงในชุดกระโปรงสดใสที่ใหม่เอี่ยม นางมาปรากฏตัวตรงหน้าเขา
เนื่องจากปีก่อน ๆ เจียงป่าวชิงไม่ค่อยได้กินอะไรดี ๆ จนได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ นางจึงผอมซูบกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลังจากที่นางได้ผ่านการบำรุงอย่างเต็มที่ แก้มที่ผอมจนเห็นกระดูกของนางก็ค่อย ๆ มีเนื้อมาเติมเต็ม และรูปโฉมที่งดงามก็มีมาให้เห็นจาง ๆ แล้วเช่นกัน
เวลานี้เจียงป่าวชิงเปลี่ยนจากเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะและพวกเสื้อผ้าที่ซักจนมองไม่เห็นสีเดิมที่นางมักสวมใสเป็นประจำเป็นชุดกระโปรงที่นางลงมือปักด้วยเศษผ้าก่อนหน้านี้ สีอ่อน ๆ ไล่ไปตามลำดับ และเนื่องจากความคิดที่ฉลาดหลักแหลมของนาง ถึงแม้ว่าชุดของนางจะคล้ายกับชุดกระโปรงทั่วไป แต่การจับคู่สีกลับทำให้ผู้คนที่ได้เห็นตาเป็นประกายได้เลย ทว่าสีสันสดใสเช่นนี้กลับไม่แปลกแหวกแนวจนถึงขนาดทำให้เป็นที่สะดุดตาขนาดนั้น เพียงแค่ขับให้ใบหน้าที่อ่อนวัยของเจียงป่าวชิงดูน่ารักขึ้นเท่านั้นเอง
เมื่อนางแต่งตัวเช่นนี้ ก็สามารถบอกได้ว่านางต่างจากเจียงป่าวชิงที่ราวกับขอทานในอดีตคนนั้นไปโดยสิ้นเชิง
เจียงหยุนชานดึงสติกลับมา เขาอดไม่ได้เลยจริง ๆ ที่จะเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาจากความตื้นตัน
เจียงป่าวชิงหมุนตัวตรงหน้าเจียงหยุนชานอย่างสุขใจ “พี่หยุนชาน ข้าสวยไหม ?”
เจียงหยุนชานรีบพยักหน้าทันที “สวยสิ เจ้าสวยมาก ป่าวชิงน้องพี่แต่งตัวเช่นนี้สวยยิ่งกว่าพวกคุณหนูในอำเภอเหล่านั้นเสียอีกนะ”
เด็กผู้หญิงมีใครบ้างที่ไม่ชอบถูกชม เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะและลูบกระโปรงเล็กน้อย “พี่หยุนชาน วันนี้พี่ก็ใส่ชุดที่ข้าทำให้ก่อนหน้านี้ด้วยเลยสิเจ้าคะ”
สีหน้าของเจียงหยุนชานแข็งทื่อไปทันที เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
ทว่าเด็กที่ซื่อตรงคนนี้กลับไม่เก่งเรื่องพูดโกหกเลยจริง ๆ อีกอย่าง เจียงป่าวชิงก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมอยู่พอสมควร มองเพียงแวบเดียวนางก็เห็นถึงความลำบากใจของเจียงหยุนชานแทบจะในทันทีจึงกะพริบตาปริบ ๆ “พี่มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
เจียงหยุนชานหน้าซีดเล็กน้อย เขาแทบจะไม่กล้ามองตาเจียงป่าวชิงเลยด้วยซ้ำ เอาแต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างติดอ่างอยู่อย่างนั้น “ปะ… ป่าวชิง ไม่มีอะไร… ไม่มีอะไร… คือ… เจ้าดูสิว่ายังมีอะไรต้องทำที่นี่อีกหรือเปล่า เพราะเราจะเตรียมตัวไปที่บ้านพี่ต้าหูแล้ว”
เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น และแสร้งทำเป็นถูกตบตาโดยอุบายในการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของเจียงหยุนชาน “อ้อ ใช่แล้ว ข้ายังต้องไปเอาถุงผ้า ไม่อย่างนั้น ถึงตอนที่ซื้อของจะไม่มีที่ใส่เอาได้เจ้าค่ะ”
นางไม่ได้บีบบังคับให้เจียงหยุนชานตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจแทน
เจียงหยุนชานถอนหายใจยาว ๆ อย่างโล่งอกในใจ จากนั้นสีหน้าตื่นตระหนกของเขาก็ผ่อนคลายลง