ตอนที่ 58 เจอกับป้าตู่อีกครั้ง
เจียงป่าวชิงเดินกลับไปหยิบถุงผ้าที่ห้อง ถุงผ้าใบนี้เป็นใบที่เจียงป่าวชิงเย็บขึ้นด้วยเศษผ้าก่อนหน้านี้ นางใช้สีที่แตกต่างกันมาต่อเข้าด้วยกัน นั่นก็คือสีเขียวอ่อน สีเหลืองอ่อน และสีฟ้าทะเลสาบ ซึ่งดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
สองพี่น้องเดินไปที่บ้านซุนต้าหูด้วยกัน เดิมทีซุนต้าหูกำลังจูงล่อออกมาด้านนอก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นเจียงป่าวชิงที่อยู่ในชุดใหม่พอดี ทันใดนั้นเขาก็ตัวแข็งทื่อไปและเกือบสะดุดขาตัวเองอยู่รอมร่อ อีกทั้งเขายังพูดอย่างติดขัดด้วย “น้องชิง พวกเจ้ามากันแล้ว”
สองพี่น้องทักทายซุนต้าหูและจ่ายเงินค่ารถเป็นทองแดงสี่แผ่น
ซุนต้าหูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดิมทีเขาคิดไว้แล้วว่าจะไม่รับเงินค่ารถของสองพี่น้อง แต่เขากลับรับไปอย่างมึนงงเสียอย่างนั้น ตอนนี้ในหัวของเขาไร้ความรู้สึกและเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง
เจียงหยุนชานเรียกซุนต้าหูอยู่สักพัก ตอนที่ซุนต้าหูดึงสติกลับมา เขาก็พบว่าในมือของตัวเองกำลังกำทองแดงสี่แผ่นของสองพี่น้องไว้แน่น จากนั้นเขาก็เกือบโยนทองแดงนั้นออกไปราวกับถูกลวกมืออย่างไรอย่างนั้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ถึงจะสามารถทำให้จิตใจสงบลงได้ จากนั้นเขาก็เค้นคำพูดออกมา “น้องชิง… วันนี้ชุดกระโปรงของเจ้าสวย สวยมากเลยจริง ๆ ซื้อ… ซื้อมาจากไหนรึ ?”
เจียงหยุนชานรู้สึกเป็นเกียรติมาก เขาตอบแทนน้องสาวว่า “ป่าวชิงนางทำเอง”
ซุนต้าหูเบิกตากว้างทันที ผ่านไปสักครู่ เขาก็เอ่ยชมอย่างจริงใจ “น้องป่าวชิงเก่งขึ้นแล้วจริง ๆ”
เจียงป่าวชิงน้อมรับคำชมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางเองก็รู้สึกว่าตัวเองเก่งมากเช่นกัน
สองพี่น้องพูดคุยกับซุนต้าหูสักพัก จากนั้นพวกเขาก็ไปที่ทางเข้าหมู่บ้านด้วยกัน แต่พอไปถึงทางเข้าหมู่บ้านก็พบว่ามีคนรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
ป๋ายรุ่ยฮัวอุ้มเฟิ่งเอ๋อร์และนั่งอยู่บนตอไม้ที่ทางเข้าหมู่บ้านโดยมีสัมภาระวางอยู่ข้างกาย
“สะใภ้ตระกูลป๋ายมาเร็วจริง ๆ” ซุนต้าหูทักทายป๋ายรุ่ยฮัวอย่างตรงไปตรงมา ป๋ายรุ่ยฮัวรู้สึกเขินเล็กน้อย นางกำลังจะพูดอะไร แต่กลับเห็นเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานเสียก่อน จากนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างขึ้นทันที “ป่าวชิง ชุดเจ้างามมากจริง ๆ”
อาจเป็นเพราะเห็นเจียงป่าวชิงแต่งตัวเหมือนขอทานจนชินแล้ว ได้มาเห็นเจียงป่าวชิงอยู่ในชุดกระโปรงที่สวยงามเช่นนี้ เป็นใครก็ละสายตาออกไปไม่ได้
ก่อนหน้านี้เจียงป่าวชิงเคยนำตับหมูไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านป๋ายรุ่ยฮัวอยู่สองสามครั้ง ดังนั้น เฟิ่งเอ๋อร์จึงคุ้นเคยกับเจียงป่าวชิงเป็นอย่างดี เด็กน้อยหลบอยู่ในอ้อมกอดของแม่ตัวเอง และกำลังอ้าแขนอย่างตื่นเต้นเพื่อต้องการให้เจียงป่าวชิงอุ้มนาง “น้าเจียง… น้าสวยมากเลยเจ้าค่ะ”
ป๋ายรุ่ยฮัวรีบพูดขึ้นทันที “เฟิ่งเอ๋อร์อย่างอแงนะจ๊ะ” นางปลอบเฟิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมกอดไปด้วยและเงยหน้ามองเจียงป่าวชิงด้วยความอิจฉาเล็กน้อยไปด้วย “ป่าวชิง เจ้าซื้อชุดนี้มาจากไหนรึ ? จับคู่สีได้งดงามมากเลยจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นแบบผ้านี้มาก่อน ผูที่ทำน่าจะเป็นผู้ที่มีหัวคิดมากเลยจริง ๆ”
เจียงป่าวชิงหยิบน้ำตาลข้าวออกมาจากในถุงผ้าที่เอว จากนั้นก็นำไปยัดใส่ปากเฟิ่งเอ๋อร์และลูบหัวนางเบา ๆ “พี่รุ่ยฮัว นี่ข้าทำเองเลย ที่เราพบกันครานู้น ข้าไปซื้อเศษผ้าบางส่วนมาจากตลาดนัด ข้าเพียงแค่ใช่เศษผ้าพวกนั้นมาต่อให้เป็นรูปเป็นร่างเรื่อยเปื่อย”
ป๋ายรุ่ยฮัวอ้าปากอยากจะพูดอะไร นางรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามคำถามที่ตั้งใจไว้ออกไป นางจำได้ว่าครั้งที่แล้วที่เจียงป่าวชิงหยิบเศษผ้าออกมาหนึ่งกำมือจากในถุงผ้า ทั้งหมดล้วนเป็นเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะไปมีผ้าผืนใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? อีกอย่าง นางจำได้ว่าเจียงป่าวชิงเคยบอกว่าตัวเองจ่ายเพียงแค่ทองแดงไม่กี่แผ่นเท่านั้น และตอนนี้นางก็มักจะรับพวกงานเย็บปักถักร้อยเพื่อนำเงินที่ได้จากส่วนนั้นมาใช่ในครัวเรือน ซึ่งนางรู้ดีว่าทองแดงเพียงไม่กี่แผ่นซื้อผ้าที่ผืนใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน
แล้วเจียงป่าวชิงเอาทองแดงพวกนี้มากจากไหนกัน ?
ป๋ายรุ่ยฮัวนึกอะไรได้ นางทำเพียงกัดริมฝีปากแต่ไม่ได้ถามอะไรออกไป
เวลานี้ก็เริ่มมีคนจากหมู่บ้านอื่นทยอยมากันแล้ว และบังเอิญยิ่งนัก ป้าตู่ที่ชักสีหน้าใส่เจียงป่าวชิงตลอดการเดินทางครั้งที่แล้วก็มาด้วยเช่นกัน แต่ครั้งนี้นางมาคนเดียว ไม่ได้พาหลานชายของนางมาด้วยแต่อย่างใด
เมื่อวานซุนต้าหูได้บอกเจียงป่าวชิงแล้วว่าช่วงนี้ป้าตู่แทบจะไปซื้อของกลับมาทุกครั้งที่มีตลาดนัด ซึ่งดูนางคงจะฟุ่มเฟือยมาก และเป็นไปได้อย่างมากที่จะเจอนางในวันนี้ และเขายังบอกให้เจียงป่าวชิงระวังตัวไว้เพื่อจะได้ไม่ถูกป้าตู่รังแกอีก
แต่ทว่าเจียงป่าวชิงไม่เคยสนใจป้าตู่มาตั้งแต่แรก
ป้าตู่มองเจียงป่าวชิงเล็กน้อย จากนั้นนางก็หันไปนินทากับหญิงคนข้าง ๆ ทันที “ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ ๆ คนยากจนที่ไม่มีเงินกินข้าวบางคนถึงสามารถสวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ ได้อย่างกะทันหันเช่นนั้น ไม่แน่ตอนที่แยกออกมานางอาจจะไปขโมยเงินใครเขามาซื้อก็เป็นได้”
เจียงหยุนชานหน้าแดง เขาไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับคำใส่ร้ายป้ายสีอย่างไร แต่เขาไม่สามารถทนดูน้องสาวถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นได้
เจียงหยุนชานกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเจียงป่าวชิงดึงแขนเสื้อไว้เสียก่อน นางพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “พี่อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลยเจ้าค่ะ ยิ่งกับคนที่เปลือกตาบางเช่นนี้ด้วยแล้ว เสียปากเปล่า ๆ นะเจ้าคะ”
เจียงหยุนชานถอนหายใจยาว จากนั้นเขาก็ลูบหัวเจียงป่าวชิง
และตอนนี้ก็ถึงเวลาจ่ายค่ารถอีกครั้ง เมื่อป้าตู่เห็นป๋ายรุ่ยฮัวให้เงินสำหรับคนเดียว นางก็รู้สึกไม่พอใจ นางชักสีหน้าและพูดอย่างมีเจตนาแฝงทันที “ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่านางแม่หม้ายผู้นี้ชอบยั่วชอบหลอกผู้ชายไปทั่ว ดูสิ มาสองคนแต่ให้เงินสำหรับคนเดียวอีกแล้ว”
ใบหน้าของป๋ายรุ่ยฮัวแดงขึ้นมา เบ้าตาของนางก็แดงขึ้นทันที จากนั้นนางก็พูดแก้ต่างให้ตัวเองอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “ป้าตู่ ไม่… ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้ยั่วใคร สำหรับเฟิ่งเอ๋อร์ ข้าก็อุ้มนางไว้ ไม่ได้กินพื้นที่อื่นเลย”
“ไอ้โย! ไม่กินพื้นที่แล้วลูกเจ้าไม่ใช่คนรึ ?” ป้าตู่กลอกตาใส่ นางจุ๊ปากเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดกับคนด้านข้างอีกครั้ง “ข้ามักจะคิดว่ามันมีบางอย่างที่ผิดปกติ เจ้าดูผู้ชายตระกูลป๋ายสิ ขี้โรคตั้งแต่ยังเล็ก แล้วยังกินยามากกว่าข้าวเช่นนั้นอีก แต่เหตุใดถึงสามารถทำให้เจ้าเท้าเล็กท้องลูกได้ล่ะ ?”
ป๋ายรุ่ยฮัวกอดเฟิ่งเอ๋อร์ไว้แน่น ปากนางซีดและตัวก็สั่นเล็กน้อย นางนั่งน้ำตาคลอเบ้าทั้งอย่างนั้น แต่นางกลับพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกอับอายจนเกินไป
เฟิ่งเอ๋อร์ในเวลานี้ ถึงแม้ว่านางจะอายุยังน้อย แต่นางกลับสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างได้ ใบหน้าเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่ขดตัวลงและไม่กล้าขยับตัวอีก
เจียงป่าวชิงทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว นางกำลังจะพูดขึ้น แต่ซุนต้าหูกลับพูดขึ้นเสียงดังเสียก่อน “ป้าตู่ขอรับ ถ้าหากป้านินทาคนอื่นโดยไม่มีหลักฐานเช่นนี้อีก ข้าจะไม่รับส่งป้าแล้วนะ”
สีหน้าของป้าตู่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ท่าทางของนางดูเหมือนอยากกระโดดลงจากรถและไปทะเลาะกับซุนต้าหูเสียเดี๋ยวนั้น แต่นางนึกขึ้นได้ว่าจากในหมู่บ้านเข้าไปในเมืองและในอำเภอก็มีเพียงบ้านของซุนต้าหูเท่านั้นที่มีรถไปรับส่ง และวันนี้นางจะต้องเข้าไปในอำเภอให้ได้ ซึ่งถ้านางไม่อยากเดินอยู่บนถนนในภูเขาหลายสิบลี้ นางก็ต้องอดทน
ป้าตู่สูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นนางก็ปรับสีหน้าทว่ามันยังคงดูแข็งกระด้าง “เออ ๆ ๆ ไม่พูดก็ไม่พูดสิ ใครสนใจเจ้าล่ะ!”
แต่ลับหลัง นางกลับยังคงบ่นกับผู้หญิงข้าง ๆ บอกว่าหลานเขยของหลานสาวบ้านนางรวยอย่างนู้นรวยอย่างนี้ และยังบอกอีกว่ากลับไปนางจะให้หลานเขยซื้อรถคันใหญ่ที่ใช้ม้าลากให้บ้านตระกูลตู่ของนาง
คนที่ได้ยินคำพูดนี้ หากว่าเป็นคนที่รู้เรื่องสถานการณ์ภายในเป็นอย่างดีก็จะหัวเราะเยาะอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ ‘หลานสาวบ้านเจ้าก็คือคนที่ถูกเจ้าขายให้ไปเป็นเด็กรับใช้ ยังมีหน้ามาพูดว่าหลานเขยอีก’
พวกเขาคิดกันอย่างนั้น
ป้าตู่ช่างไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ
ป๋ายรุ่ยฮัวตาแดงก่ำ นางพูดกับซุนต้าหูเสียงเบา “ขอบคุณเจ้ามากต้าหู”
ซุนต้าหูโบกมืออย่างตรงไปตรงมา “ไม่เป็นไรสะใภ้ตระกูลป๋าย เรื่องเล็กน้อย บางครั้งคำพูดของป้าตู่อาจจะไม่น่าฟังไปบ้าง เจ้าก็อย่าเก็บไปสนใจล่ะ”
ป๋ายรุ่ยฮัวก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจแต่ไม่ได้พูดอะไร นางเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเพื่อเป็นสะใภ้ของบ้านคนที่เก็บมาเลี้ยง นางรู้ตั้งแต่ที่ตนเองยังเป็นเด็กแล้วว่าตนต้องมีลูกให้กับผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงอิฐมาตลอดคนนั้น
คนในหมู่บ้านที่ขี้นินทาพวกนั้นไม่มีทางรู้ว่านางทรมานเพียงใดในการที่ต้องให้กำเนิดเด็กหญิงเฟิ่งเอ๋อร์ผู้นี้
นางรู้ภารกิจของตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก
ทว่า… ตอนที่ผู้ชายที่ล้มป่วยคนนั้นบอกกับนางว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลป๋ายของพวกเขาไร้ทายาทได้ นางก็ยอมรับชะตาชีวิตของตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้น และนั่นเป็นช่วงเวลาที่นางไม่อยากนึกย้อนกลับไป
ในตัวของเด็กคนนี้มีสายเลือดของตระกูลป๋ายไหลเวียนอยู่ นางจึงได้รับการเลี้ยงดูในฐานะทายาทของเขา
ป๋ายรุ่ยฮัวกอดเฟิ่งเอ๋อไว้แน่น