ตอนที่ 67 ถามรายละเอียดของโรค
เมื่อเข้ามาในบ้านที่ติดกัน เจียงป่าวชิงจึงอดที่จะถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางมองจากบ้านตัวเองมาที่บ้านหลังนี้ นางรู้สึกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ค่อนข้างที่จะไม่เข้าใจรสนิยมที่เรียกได้ว่าสวยงามอยู่เล็กน้อย
ชาวภูเขาในชีหลี่โวยากจนมาก ครอบครัวส่วนใหญ่จึงมักจะเลี้ยงหมูและไก่ หรือไม่ก็ตั้งเพิงเพื่อปลูกผัก พื้นที่ในบ้านจึงค่อนข้างใหญ่อยู่พอสมควร
และบ้านของเพื่อนบ้านคนนี้ก็เป็นเช่นนั้น พื้นที่ตั้งแต่เขตรั้วเป็นต้นมานั้นกว้างใหญ่มาก ในบ้านเดิมยังมีคอกหมูและคอกไก่อยู่เล็กน้อย ตอนที่ซ่อมแซมตลอดหลายวันมานี้ ไม่เพียงแต่หญ้าเท่านั้น พวกเขายังนำสิ่งของในลานบ้านออกไปจนเกือบหมด ทำให้ทั้งลานบ้านดูโล่งกว้างมากกว่าเก่า
ในลานบ้านแทบจะเหลือเพียงทางเดินเล็ก ๆ ปูด้วยกรวดที่มีขนาดและรูปร่างเหมือนไข่ห่านที่อยู่ใต้เท้าเท่านั้น
เมื่อเข้าไปในบ้าน เจียงป่าวชิงก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หากว่าดูจากด้านนอก ห้องนี้ก็คือห้องกระเบื้องชำรุดธรรมดาที่ไม่รั่วซึมและเพิ่งผ่านการซ่อมมาหมาด ๆ แต่เมื่อดูจากข้างใน มันกลับเปลี่ยนโฉมใหม่หมดราวกับอีกดินแดนหนึ่งเลยก็ว่าได้
เครื่องเรือนไม้ที่มีระดับดูหรูหราและยิ่งใหญ่ เตียงอิฐถูกซ่อมให้เป็นพื้นที่ยุบตัวสูงที่หันเข้าหาพระอาทิตย์ มีโต๊ะเล็ก ๆ ด้านบนและยังมีกระดานหมากรุกอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ด้วย
ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมวางไว้อยู่หนึ่งตัว ส่วนบนโต๊ะกลมนั้นมีชุดสำหรับดื่มชาที่ทำจากเครื่องลายครามสีขาววางไว้อยู่หนึ่งชุด เมื่อเทียบกับถ้วยชาที่เหมือนเครื่องปั้นดินเผาซึ่งเจียงป่าวชิงใช้แล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันจะมีระดับมากแค่ไหน
แต่นอกจากนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีของสิ่งอื่นแล้ว ภายในห้องไม่มีการตกแต่งมากกว่าที่จำเป็น จึงทำให้ดูอ้างว้างเกินไป
ตอนนี้อารมณ์ของเจียงป่าวชิงซับซ้อนมาก
ขณะนั้นเอง ไป๋จีก็พูดขึ้น “แม่นางเจียง สถานะของเจ้านายข้าพิเศษมาก เพื่อไม่เป็นการเปิดเผยตัวตน เราจึงซื้อบ้านข้าง ๆ เจ้า จะได้สะดวกสำหรับการให้เจ้ามารักษาในช่วงนี้ และขอให้เจ้าปิดปากเงียบ อย่าได้เปิดเผยข้อมูลของเจ้านายข้าต่อโลกภายนอก ไม่อย่างนั้น ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ฆาตกรรมใด ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นได้”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าและพูดถาม “อืม… ข้าขอวัดชีพจรให้เจ้านายของเจ้าก่อนได้หรือไม่ ?”
ไป๋จีมองชายหนุ่มบนเก้าอี้ด้วยแววตาตั้งคำถาม
สีหน้าของชายหนุ่มบนเก้าอี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาหลับตาราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างเอาไว้ ผ่านไปสักครู่ เขาถึงจะลืมตาและยื่นแขนของตัวเองออกมา
นี่เกินความคาดหมายของเจียงป่าวชิง แขนที่ชายหนุ่มบนเก้าอี้ยื่นออกมา ไม่ใช่แขนที่ผอมและไร้เรี่ยวแรงเหมือนของผู้ป่วยอัมพาตอย่างที่นางจินตนาการไว้เลย ถึงแม้ว่าแขนที่เต็มไปด้วยพละกำลังกับลายเส้นที่สวยงามนี้จะไม่ได้ใหญ่และดูแข็งแรงสักเท่าไหร่ แต่มันกลับแน่นได้ที่และเต็มไปด้วยลายเส้นสวยงาม
เจียงป่าวชิงไม่เคยเห็นแขนที่ดูดีขนาดนี้มาก่อน นางจ้องจนตาค้างและแทบอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปสัมผัสมันสักครั้งสองครั้ง
สีหน้าของชายหนุ่มบนรถเข็นดำหม่นราวกับก้นหม้อ เขากำหมัดแน่นจนทำให้เส้นเอ็นบนแขนที่ยื่นออกมานูนขึ้นอย่างกะทันหัน
ไป๋จีกระแอมไออยู่ด้านข้าง จากนั้นเขาก็เตือนเจียงป่าวชิงเสียงเบา “แม่นางเจียง เจ้านายของข้าไม่ชอบให้คนอื่นสัมผัสเขา ทางที่ดีเจ้าเร็วหน่อยเถอะ”
“อ้อ ได้” เจียงป่าวชิงรีบดึงจิตใจกลับมาทันที แต่ก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มคนนี้ในใจอย่างเสียไม่ได้
ขาสองข้างเขาขยับไม่ได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องยืมมือคนอื่นช่วย อีกอย่าง เขาดูเหมือนเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอยู่พอสมควร และยังไม่ชอบให้คนอื่นมาสัมผัสตัวอีกด้วย เป็นเช่นนี้ในทุก ๆ วัน เขาคงจะเป็นทุกข์มากเลยทีเดียว
ในใจของเจียงป่าวชิงมีเปลวไฟที่ชื่อว่าเห็นอกเห็นใจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของชายหนุ่มบนรถเข็นดูเหมือนต้องการฆ่าเจียงป่าวชิงให้ตายทั้งอย่างนั้น แต่เจียงป่าวชิงทำเป็นมองไม่เห็น นิ้วมือผอมสองนิ้ววางลงไปบนชีพจรของชายหนุ่มบนรถเข็น จากนั้นนางก็หลับตาเพื่อรับรู้ถึงชีพจรของชายหนุ่มอย่างละเอียดรอบคอบ
ไป๋จียืนอยู่ข้างชายหนุ่มบนรถเข็น จากนั้นเขาก็พูดเตือนเสียงเบาว่า “นายท่านขอรับ อดทนหน่อยนะ”
ชายหนุ่มบนรถเข็นสูดหายใจเข้าลึก ๆ สีหน้าของเขายังคงดูไม่ค่อยสู้ดีนัก
เจียงป่าวชิงไม่ได้สนใจไป๋จีกับชายหนุ่มบนรถเข็น นางเก็บนิ้วมือกลับมาตามเดิมก่อนจะเอ่ยออกไป “ข้าพอจะเข้าใจอาการอย่างคร่าว ๆ แล้ว”
ในตาของไป๋จีมีแสงแห่งความหวังอย่างเห็นได้ชัด “แม่นางเจียง อาการของเจ้านายข้าเป็นอย่างไรบ้างรึ ?”
คิ้วของเจียงป่าวชิงขมวดสูงขึ้น “ก็ไม่ค่อยดีนัก สารพิษซึมเข้าไปในผิวหนังของจุดฝังเข็มสำคัญบนขาของเขา ทำให้ยากที่จะถอนออกได้”
ไป๋จีเผยสีหน้าขมขื่นออกมาให้เห็น “ข้าเคยติดต่อหาหมอเทวดาหลายคนมาก่อน และส่วนใหญ่พวกเขาก็จะพูดแบบที่เจ้าพูดเหมือนกัน ในความเป็นจริง การที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ในตอนนั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
แต่ทว่าเมื่อชายหนุ่มบนรถเข็นได้ยินเจียงป่าวชิงบอกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาไม่เพียงแต่อารมณ์ไม่ผันแปร ยังเผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนเยาะหยันออกมาอีกต่างหาก
“ข้าไม่กล้าพูดว่าจะรักษาให้หายขาดได้” เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย “แต่ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถโดยจะขับสารพิษออกมาก่อน แต่ด้วยเพราะขาของเขาแช่สารพิษมานานเกินไป ข้าจึงไม่กล้ารับประกันว่าเขาจะสามารถกลับมายืนได้อีกครั้ง”
สำหรับไป๋จี คำพูดนี้เปรียบเสมือนเสียงของสวรรค์เลยก็ว่าได้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถือว่าพวกเขาเคยให้หมอเทวดาจากทั่วทุกสารทิศมาดูอาการแล้ว แต่ไม่เคยมีใครกล้าบอกว่าสามารถขับสารพิษที่อยู่ในขาของนายท่านของเขาออกมาได้เลย
เด็กผู้หญิงชนบทคนนี้เป็นคนแรก
ไป๋จีรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “นายท่าน!”
แต่เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มบนรถเข็นไม่รู้สึกดีใจแม้แต่นิดเดียว ราวกับเขาไม่มีความสนใจทำนองนั้น
ทว่าไป๋จีก็เข้าใจดี การขอคำแนะนำจากหมอของปีที่ผ่าน ๆ มาทำให้นายท่านของเขาสูญเสียความมั่นใจไปอย่างสิ้นเชิง
หากว่ารักษาหายมันก็ดี แต่หากว่ารักษาไม่หาย เขาก็ไม่มีความรู้สึกผิดหวังใด ๆ อีกแล้ว
เจียงป่าวชิงนั่งยอง ๆ และคลำขาของชายหนุ่มบนรถเข็น จากนั้นสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกของชายหนุ่มบนรถเข็นก็แสดงอาการไม่พอใจออกมาทันที ราวกับเขาอยากจะถีบเจียงป่าวชิงออกไปเสียเดี๋ยวนั้น มีดสั้นในแขนเสื้อก็ไถลลงมาอย่างฉับพลัน เขากำมันไว้แน่นราวกับอึดใจต่อไปเขาจะแทงเจียงป่าวชิงทั้งอย่างนั้น
“อย่าตื่นเต้นสิ ข้าแค่จะตรวจสอบอาการช่วงขาสักหน่อย” เจียงป่าวชิงดูเหมือนจะรับรู้ได้ นางไม่เงยหน้าขึ้นมา แต่เลือกที่จะถลกเสื้อคลุมกับขากางเกงของชายหนุ่มขึ้นแทน จากนั้นขาท่อนล่างที่ตรงดิ่งสองข้างก็เผยให้เห็นแก่สายตา
เจียงป่าวชิงหายใจเข้าลึก ๆ นี่มันแตกต่างกับสัมผัสของลายเส้นที่แขน ขาทั้งสองข้างของเขามีรอยช้ำสีเขียวเป็นหย่อม ๆ และบางแห่งก็มีรอยถลอกที่เหมือนเกล็ดปลา
นี่คือร่องรอยที่หลงเหลือจากการที่ชายหนุ่มบังคับให้สารพิษลงไปที่ขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าจะทำใจไว้แล้ว แต่ตอนเห็นจริง ๆ เจียงป่าวชิงกลับยังคงรู้สึกปวดใจอยู่เล็กน้อย
น่าเสียดายจริงเชียว! ขาคู่นี้… ถ้าหากว่าไม่ถูกพิษ คงเป็นขาที่ดูดีมากเลยทีเดียว
เจียงป่าวชิงยื่นมือไปคลำบนขาของเขา นางคลำไปด้วยและถามชายหนุ่มบนรถเข็นไปด้วย “อืม… พิษอยู่ใต้เข่าใช่หรือไม่ ? แล้วตรงบริเวณนี้ เจ้ายังมีความรู้สึกอยู่ไหม ?”
สีหน้าของชายหนุ่มบนรถเข็นราวกับถูกเหยียดหยามทำนองนั้น เขาอยากฆ่าเจียงป่าวชิงให้ตายทั้งอย่างนั้นจริง ๆ น้ำเสียงของเขาก็แข็งทื่อเช่นกัน “ไม่!”
“ตรงนี้ล่ะ ?”
“ไม่!”
“แล้วตรงนี้ล่ะ ?”
“ข้า ไม่ รู้ สึก!”
เจียงป่าวชิงได้ยินเสียงกัดฟันของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มบนรถเข็นจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แน่นอนว่านางก็เลือกที่จะเก็บมือกลับมาเสียก่อน จากนั้นก็พยักหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ข้ารู้แล้ว ครึ่งเดือนต่อมา เจ้าก็เริ่มฝังเข็มได้เลย”
ไป๋จีรีบดึงขากางเกงลงให้ชายหนุ่ม เมื่อสักครู่เขาอดที่จะหันไปมองสีหน้าของนายท่านของเขาอย่างเสียไม่ได้
เมื่อได้ยินเจียงป่าวชิงบอกว่าครึ่งเดือนต่อมา ไป๋จีก็รู้สึกไม่เข้าใจจึงเอ่ยถามเจียงป่าวชิง “เหตุใดต้องครึ่งเดือนต่อมาด้วยล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางมองไปที่ชายหนุ่มที่ตอนนี้มีสีหน้าอยากฆ่านางเสียเดี๋ยวนั้น จากนั้นก็เคี้ยวฟันและเผยรอยยิ้มที่น่ารักและบริสุทธิ์ออกมาให้เห็น “ไอ้โย! คำถามนี้ต้องถามเจ้านายของเจ้าแล้ว…” จากนั้น เจียงป่าวชิงก็ใช้มือซ้ายลูบไปที่ไหล่ขวาของตัวเอง “ตอนนั้นคนที่แทงไหล่ข้าจนทะลุคือเขานะ”
ไป๋จีเหงื่อตกทันที
ชายหนุ่มจ้องเจียงป่าวชิงอย่างน่ากลัว “มือซ้ายของเจ้าก็สามารถฝังเข็มได้ไม่ใช่รึ ?”
เจียงป่าวชิงเดาว่าตอนที่พวกเขาจับตามองนางอยู่ พวกเขาก็คงจะเห็นฉากที่นางใช้มือซ้ายเพื่อฟื้นฟูไหล่ขวาของนางด้วยการฝังเข็มแล้ว
เจียงป่าวชิงส่งเสียงอุทานเล็กน้อย “นั่นไม่เหมือนกัน ขาของเจ้ามีอาการซับซ้อนกว่ามาก ข้าไม่ค่อยมั่นใจในการใช้มือซ้ายสักเท่าไหร่ จึงจำเป็นต้องรอให้ไหล่ขวาหายดีเสียก่อน”
ไป๋จีพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “อืม ปลอดภัยสักเล็กน้อยไว้ก่อนก็ดี แต่ห้ามเกิดความผิดพลาดใด ๆ เด็ดขาด”
ชายหนุ่มจ้องเจียงป่าวชิงด้วยแววตาโหดเหี้ยม เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก
ไม่รู้ทำไม อารมณ์ของเจียงป่าวชิงกลับดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น
บางที ถ้าหากเทียบกับสายตาที่มีแต่การเยาะหยันและอึมครึมไร้ชีวิตชีวาเช่นนั้น อารมณ์ที่มีชีวิตชีวานี้กลับทำให้ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนคนที่มีชีวิตมากขึ้น