ตอนที่ 69 ไปเอาเงินมาจากไหน
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “จริงเจ้าค่ะ ค่าเช่าที่ร้อยละยี่สิบเท่านั้น”
คนในครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
เจียงเหล่าหวู่เดินขึ้นไปด้านหน้าอย่างตื่นเต้น เขาอยากเข้าไปลูบศีรษะของเจียงป่าวชิง ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองเพิ่งกินข้าวไปเมื่อสักครู่ ทั้งยังหยิบผักดองมา เขาจึงถูมือแรง ๆ บนตัวอยู่หลายครั้งแล้วถึงจะยื่นมือไปลูบศีรษะเจียงป่าวชิงเบา ๆ ปากก็พูดชม “เด็กดี! เด็กดี!”
ถึงแม้ว่าเจียงป่าวชิงไม่ชอบให้ใครมาโดนตัวนาง แต่นางสามารถทนได้เป็นบางครั้ง
เจียงป่าวชิงไม่ได้หลบหลีกมือนั้น นางปล่อยให้เจียงเหล่าหวู่ขยี้ผมนางอยู่อย่างนั้น โดยที่ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มไว้อยู่ตลอด
เดิมทีเจียงป่าวชิงตั้งใจว่าจะรอให้ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่กินข้าวให้เสร็จก่อน แล้วถึงค่อยไปทำสัญญาที่สถานที่ทำการของหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ใครจะไปคิดว่าเจียงเหล่าหวู่จะยัดขนมปังนึ่งเข้าไปในปากทั้งก้อนเช่นนั้น จากนั้นเขาก็รีบกินหมี่ข้าวโพดถ้วยใหญ่ราวกับกรอกน้ำลงเหยือก สุดท้ายก็เช็ดปากลวก ๆ และพูดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าเจียงป่าวชิงจะหนีทำนองนั้น
“ป่าวชิง เจ้ากินอะไรมาหรือยัง ? เจ้ากินสักหน่อยสิ รีบกินให้เสร็จแล้ว ข้ากับเจ้าจะได้ไปที่สถานที่ทำการของหัวหน้าหมู่บ้านกัน”
รอยยิ้มของเมียเจียงเหล่าหวู่ค่อนข้างแข็งทื่อเล็กน้อย นางแอบหยิบขนมปังนึ่งก้อนที่ใหญ่ที่สุดบนโต๊ะยัดใส่มือลูกชายของนางใต้โต๊ะ
หางตาของเจียงป่าวชิงเห็นฉากนี้เข้าพอดี แต่นางไม่ได้ใส่ใจอะไร ทำเพียงยิ้มจาง ๆ เท่านั้น “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านปู่ห้า ข้ากินมาจากบ้านแล้ว เราไปกันเลยก็ได้เจ้าค่ะ”
“โอ้! ได้ ได้เลย” เจียงเหล่าหวู่ขานรับอย่างกระตือรือร้น จากนั้นเขาก็รีบผลักเจียงป่าวชิงอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันเถอะ รีบไปกัน”
หลานชายคนที่สามของเจียงเหล่าหวู่เช็ดปากและวางถ้วยลง จากนั้นเขาก็กระโดดออกมาจากหลังโต๊ะอย่างเร่งรีบ
“ไปสิ!”
หลานชายคนที่สี่ก็ดูกระตือรือร้นราวกับอยากจะตามไปเช่นกัน แต่เขากลับถูกย่าของเขาดึงไว้เสียก่อน “ให้พี่สามของเจ้าไปก็พอแล้ว วันนี้ในนายังมีงานอีกเยอะ”
หลานชายคนที่สี่สีหน้าเหยเก เขามองพี่สามของเขาที่ได้ตามไปด้วยอย่างนึกอิจฉา
หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนที่รู้เหตุรู้ผล ไม่นานการลงนามในสัญญาเช่าก็สำเร็จเสร็จสิ้น เจียงเหล่าหวู่ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงหูอยู่แล้ว เขาเอาแต่พูดชมว่าเจียงป่าวชิงเป็นเด็กที่ดีมาก ถึงกับทุบหน้าอกอย่างฮึกเหิมและบอกว่า ‘ถ้าต่อไปครอบครัวของปู่สองมาหาเรื่องอะไรเจ้าอีก ก็บอกข้าได้เลย!’
เจียงป่าวชิงยิ้มอย่างบริสุทธิ์ “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านปู่ห้า”
ผู้เช่ารายนี้ นางไม่ได้หามาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า หนึ่งคือครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ทำงานค่อนข้างดี ทั้งยังไม่ได้เป็นคนที่ขี้เกียจอะไร และคำวิจารณ์จากโดยรอบก็ค่อนข้างดีอยู่พอสมควร สองคือความสัมพันธ์ในครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่เป็นแบบง่าย ๆ ชายมีเยอะหญิงมีน้อย และที่เจียงป่าวชิงให้ครอบครัวเขาเป็นผู้เช่า ก็เหมือนกับการผูกครอบครัวของเขาเข้ากับบ้านของนางเอง ถือเป็นการหาหลักประกันที่มีพลังให้กับตัวเอง ส่วนสามน่ะหรือ…
เจียงป่าวชิงมองเจียงเฟย หลานชายคนที่สามของท่านปู่ห้าเล็กน้อย
เจียงเฟยกำลังถูมืออยู่ข้าง ๆ ปู่ของเขาอย่างตื่นเต้น “ไอ้หยา! มีที่ดินเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเช่นนี้ ในที่สุด ต่อไปก็จะกินขนมปังนึ่งได้ทุกมื้อเลยใช่ไหมขอรับ ?!”
เจียงเหล่าหวู่ตบศีรษะเจียงเฟยเบา ๆ พลางเอ็ดหลานชายทีเล่นทีจริง “ดูเจ้าคิดสิ!”
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ลูกพี่ลูกน้องคนนี้เคยช่วยนางมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่นางถูกหมาป่าปิดล้อมในวัยเด็ก ถึงแม้ว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้จะไม่ค่อยใกล้ชิดกับนาง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ก่นด่าและรังแกนาง แล้วยังถือท่อนไม้มาป้องกันด้านหน้านางไว้เพื่อช่วยนางขับไล่หมาป่าเหล่านั้นอีกต่างหาก
เจ้าของร่างเดิมจำฉากเหตุการณ์นี้ได้ขึ้นใจ
เจียงป่าวชิงต้องรักษาขาให้คนอื่นจึงไม่มีเวลาลงไร่เพื่อทำนา และตอนที่ปล่อยเช่าที่ดินนี้ จึงเป็นธรรมดาที่เจียงป่าวชิงจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
คิดเสียว่าทำดีกับคนที่ดีกับเราก็แล้วกัน
เจียงป่าวชิงหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นก็โบกมือให้เจียงเหล่าหวู่ “ท่านปู่ห้า ข้ายังมีอะไรต้องทำที่บ้านอีก เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
“โอ๊ะ! ประเดี๋ยว…” เจียงเหล่าหวู่รู้สึกถูกชะตากับเจียงป่าวชิงมากกว่าเดิมหลายสิบเท่า อีกอย่าง ตอนนี้เจียงป่าวชิงไม่ได้อยู่ในสภาพซอมซ่อที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะอย่างเคย ยิ่งดูเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารักมาก เขาโบกมือให้นาง
“ประเดี๋ยวก่อนสิ ให้หลานข้าไปส่งเจ้าดีกว่า จะได้ไปดูด้วยว่าในบ้านเจ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือไม่ เจ้าสองคนพี่น้องเพิ่งแยกออกมา ในบ้านคงจะมีเรื่องให้ต้องทำเยอะเลยสิ”
“เมื่อสักครู่ข้าได้ยินย่าห้าบอกว่าในนายังมีงานที่ต้องทำอีกมิใช่หรือเจ้าคะ ?” เจียงป่าวชิงปฏิเสธยิ้ม ๆ ด้วยความเกรงใจ “ที่บ้านข้านั้นไม่มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ ข้าทำเองได้ ไม่รบกวนพี่สามดีกว่าเจ้าค่ะ”
ช่างเป็นเด็กที่รู้เรื่องดีจริง ๆ!
เจียงเหล่าหวู่รู้สึกซาบซึ้งใจมาก “เช่นนั้นหากว่าเจ้ามีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจล่ะ มาเรียกพวกข้าได้เลย”
“เจ้าค่ะ”
……
เจียงป่าวชิงเดินกลับไปที่บ้านด้วยตัวเอง เนื่องจากบ้านของนางค่อนข้างอยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร จึงต้องอ้อมอยู่สักพักใหญ่กว่าจะเดินมาถึงบ้าน
ทว่าเมื่อเดินมาถึงทางโค้งสุดท้าย นางก็เห็นเจียงเอ้อยากำลังชะโงกหัวและตวัดหางอยู่ตรงหน้าบ้านนาง ทั้งยังถีบประตูบ้านหลายครั้งราวกับระบายความโกรธแค้น
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไป “เจียงเอ้อยาเจ้าทำอะไร ?!”
เจียงเอ้อยาตกใจเสียงที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันนี้ เมื่อนางหมุนตัวกลับมาแล้วเห็นชุดกระโปรงที่สวยงามของเจียงป่าวชิง นางก็โกรธขึ้นมา
เนื่องจากบริเวณรอบ ๆ นี้ไม่มีคน และเจียงเอ้อยารู้ว่าเจียงป่าวชิงรู้สันดานของนางดี นางจึงไม่เสแสร้งอีกต่อไป นางชี้ไปที่เจียงป่าวชิงและกรีดร้องขึ้นมาเสียงดัง “เจ้าไปเอาชุดกระโปรงนี้มาจากไหน ?!”
เจียงป่าวชิงส่งเสียงอุทานเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้มือปัดผมที่ยุ่งเพราะถูกลมพัดที่ข้างหูและพูดขึ้นอย่างเฉื่อยชาว่า “เจ้าสนใจว่าข้าเอากระโปรงนี้มาจากที่ไหนอย่างนั้นรึ ?”
เจียงเอ้อยาโมโหจนอยากใช้นิ้วจิ้มตาเจียงป่าวชิงให้รู้แล้วรู้รอด นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ ทว่าน้ำเสียงของนางยังคงแหลมคมผสมไปด้วยความโมโหเล็กน้อย “ข้าว่าแล้ว ตอนที่แยกออกมา เจ้าจะต้องขโมยเงินในบ้านมาอย่างแน่นอน ชุดกระโปรงใหม่ แล้วยังซื้อของตั้งมากมายขนาดนั้นมาได้อีก” เจียงเอ้อยาชี้ไปที่สิ่งของที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในบ้าน จากนั้นก็ชี้เจียงป่าวชิงอีกครั้ง “พวกเจ้าไปเอาเงินมาจากไหน ?”
เจียงป่าวชิงมองนิ้วที่มีขี้ไคลติดอยู่ในซอกเล็บอยู่ตรงหน้านางไม่ไกล แล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย “เจ้าจะสนใจทำไมว่าข้าเอากระโปรงนี้มาจากที่ไหน บ้านข้าซื้อของแล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย ? บ้านข้ามีเงินซื้อของแล้วทำไมต้องขโมยเงินของบ้านเจ้าด้วย ? บ้านเจ้าเป็นร้านแลกเงินหรืออย่างไร ?” นางพูดช้า ๆ และหลบหลีกเจียงเอ้อยาไปด้วย จากนั้นก็ล้วงกุญแจทองแดงที่แขวนอยู่บนลำคอออกมาจากในเสื้อ ไขประตูที่ปิดด้วยโซ่เหล็กออก สุดท้ายก็เดินตรงเข้าไปในบ้าน
เจียงเอ้อยาโมโหเจียงป่าวชิงจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
เจ้าเด็กบ้า… เจ้ามันบ้า!
เหตุใดตอนเด็ก ๆ นางถึงไม่ผลักมันให้ตาย ๆ ไปเสีย
ในสายลมอ่อน ๆ เจียงเอ้อยานึกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ขึ้นมาได้ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า และพยายามทำให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลง
เมื่อสักครู่ ตอนที่นางเห็นเจ้าปัญญาอ่อนที่เดิมทีสภาพเหมือนขอทานใส่ชุดกระโปรงที่สวยงามขนาดนั้น ก็ทำให้นางเสียสติและลืมจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ไปทันที
ส่วนเรื่องที่ทำไมเจียงป่าวชิงถึงมีเงินซื้อชุดกระโปรงใหม่กับสิ่งของในบ้านได้ ก็พับเก็บไว้ชั่วคราว ถึงอย่างไรถ้ามีปัญหาจริง ๆ เจียงป่าวชิงก็หนีนางไม่พ้นหรอก!
เจียงเอ้อยาผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเอง นางก้าวเข้าไปในบ้านที่ชำรุดของเจียงป่าวชิงอย่างจองหอง ส่งเสียงไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยความเย่อหยิ่งอยู่ที่นอกลานบ้าน “ที่ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้า”