แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 14: เดทครั้งแรก

               เลวอนและฮิคาริเดินทางมาถึงที่หมายโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง เบื้องหน้าของทั้งสองคนนั้นคือปราสาทสีขาวสไตล์ยุโรปยอดสูงชัน ตั้งเด่นตระหง่านบนเนินเขาขนาดย่อมท่ามกลางผืนหญ้าอันโล่งกว้าง โดยรอบสถานที่มีกำแพงวางตั้งค่อนข้างสลับซับซ้อน ส่วนบริเวณที่ราบลุ่มมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ไหลผ่าน ซึ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันเงียบสงบร่มรื่นและอิ่มเอมใจ

               ปราสาทสีขาวแห่งนี้เป็นที่พำนักของผู้นำหมู่บ้านจากรุ่นสู่รุ่น ถูกใช้ให้เป็นสถานที่ศึกษาคอยฝึกสอนเหล่านักเรียนด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ต่างจากโรงเรียนชนบททั่วไปเสียด้วยซ้ำ

               หลังจากก้าวเท้าเข้าไปข้างใน สองหนุ่มสาวต่างต้องตกตะลึงในความกว้างขวางโอ่อ่าอันเรียบง่าย ทั้งทางเดินและผนังกำแพงรอบด้านเป็นหินแกรนิตผิวเรียบมันวาวลวดลายสีขาวสลับเทา พื้นที่ตรงกลางเป็นจุดโปร่งแสงสูงชันพอสมควร เมื่อลองแหงนหน้ามองขึ้นไปรอบทิศจะพบว่าแต่ละชั้นมีจำนวนห้องหลากหลาย รวมทั้งหนังสือวิชาการตั้งวางอยู่ในแท่นผนังนับพันเล่ม ส่วนบนยอดเพดานประดับโคมไฟดวงใหญ่สลักด้วยแผ่นแก้วหลากสีสวยสดงดงาม

               ทั้งคู่นั่งรอตรงเก้าอี้โซฟาในห้องโถงชั้นล่าง จนกระทั่งศาสตราจารย์ยาโรสลาฟเดินทางลงมาจากชั้นบนสุดเพื่อพบปะ ไม่รอช้าฮิคาริรีบลุกขึ้นยืนหยิบเอกสารขอย้ายเข้าสถานศึกษา และหนังสือยืนยันสถานะจากทางสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกส่งมอบแก่อีกฝ่าย เมื่อบุรุษจอมเวทผู้ทรงสง่ารับหลักฐานการสมัครจากเด็กสาวเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบนุ่มลึกพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น

               “ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ฮิคาริ ฮาชิสึเมะ”

               “ขอบพระคุณมากค่ะศาสตราจารย์ จากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

               แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวแกมม่วงโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ระหว่างนั้นเองยาโรสลาฟได้นำมือซ้ายหยิบกุญแจบ้านขึ้นมาจากกระเป๋าชุดครุยสีกรมท่าเพื่อส่งมอบให้เธอ แล้วกล่าวบทสนทนาอีกครั้ง

               “ฉันขอมอบกุญแจที่พักอาศัยให้เธอ ส่วนเรื่องตำแหน่งที่ตั้งของบ้านพักเดี๋ยวเลวอนจะเป็นคนนำทางให้เอง เพราะเขารู้จักเส้นทางแถบนั้นดีที่สุด”

               “อ๊ะ ผมเหรอครับ? อย่าบอกนะว่าบ้านพักของคุณฮาชิสึเมะอยู่ที่…”

               เลวอนรีบลุกขึ้นจากโซฟาพลางตั้งข้อสังเกต โดยที่ฮิคาริเองต่างรู้สึกฉงนไม่แพ้กัน ส่วนศาสตราจารย์ผู้มีนิสัยอารมณ์ดีก็ได้ฉีกยิ้มเฉลยคำตอบดังนี้

               “ใช่แล้ว ตั้งอยู่ใกล้บ้านพักของเธอยังไงล่ะ”

               “เอ๊ะ!?” สองหนุ่มสาวส่งเสียงประหลาดใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

               “บ้านหลังนั้นไม่มีใครอาศัยอยู่พอดี ฮิคาริเองก็เป็นนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาใหม่คิดว่าน่าจะยังไม่คุ้นชินกับหมู่บ้านแห่งนี้ เลยอยากมอบหมายหน้าที่นี้ให้เลวอนช่วยดูแลเธอไปสักระยะหนึ่งก่อน หวังว่าต่างฝ่ายจะไม่รู้สึกอึดอัดใจกันนะ… ขอบคุณมากสำหรับเอกสาร ถ้างั้นฉันขอตัวกลับไปทำงานต่อล่ะ ขอให้ทั้งสองคนโชคดี ฮะฮะฮะ”

               ยาโรสลาฟอธิบายปิดท้ายก่อนจะหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ปล่อยให้เลวอนและฮิคาริอ้ำอึ้งอ้าปากค้างไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อทั้งคู่ทำใจยอมรับเหตุผลของศาสตราจารย์ได้แล้ว ซามูไรสาวก็ถึงกับถอนหายใจเอือมระอาหันไปพูดคุยกับเด็กหนุ่มอีกครั้ง

               “เป็นผู้ชายที่อารมณ์ดีจังเลยแฮะ ปกติแล้วเขาชอบทำตัวแบบนั้นเป็นประจำรึเปล่า?”

               “ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ แต่ถ้าหากถึงคราวที่ต้องต่อสู้เอาจริง เรียกได้ว่าบุคลิกเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยเชียวล่ะ”

               “เอาเถอะ ถึงจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่จากนี้ไปฉันคงต้องขอรบกวนนายอีกสักพักล่ะนะ”

               “ได้เลยครับ… จริงสิ คุณฮาชิสึเมะเสร็จธุระแล้วใช่ไหมครับ? ถ้างั้นเราสองคนไปเดินเล่นในเขตใจกลางเมืองกันเถอะ แถวนั้นถือเป็นย่านชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดเชียวล่ะ ที่สำคัญผมมีร้านอาหารแห่งหนึ่งอยากแนะนำให้คุณได้รู้จักด้วย สนใจรึเปล่าครับ?”

               เลวอนกล่าวชักชวนด้วยสีหน้าน้ำเสียงตื่นเต้น ทำให้ฮิคาริรู้สึกสบายใจจนไม่อาจสะกดรอยยิ้มได้ พลันผงกศีรษะกล่าวรับข้อเสนออีกฝ่ายอย่างไม่รีรอทันที

               “รอช้าอะไรอยู่ล่ะ รีบพาฉันไปตอนนี้เลยสิเจ้าลูกแกะ”

 

               ********************

 

               เวลา 11 นาฬิกา 17 นาที เลวอนได้พาฮิคาริเดินเยี่ยมชมตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในเขตใจกลางเมือง ท่ามกลางผู้นับร้อยซึ่งกำลังสัญจรบนทางเท้าไปมาเต็มถนน เด็กหนุ่มคอยแนะนำร้านค้าและจุดนัดพบสำคัญให้แก่เด็กสาวเท่าที่ตนพอจะรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นร้านอุปกรณ์เวทมนตร์ ร้านยาสมุนไพร ร้านตำราหนังสือ ร้านเครื่องรางของขลัง ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ตลาดสด หรือแม้กระทั่งร้านอาหารเป็นต้น

               จนกระทั่งเลวอนได้พบปะกับร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า “ลูกแกะหลงทาง” อาคารสีขาวรูปทรงทันสมัยสูงสองชั้นซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนโปรดปรานอย่างมาก ฮิคาริเห็นดังนั้นจึงแอบส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดจาแซวใส่เขา

               “คิก… ลูกแกะหลงทางงั้นเหรอ สมกับเป็นนายจริง ๆ”

               “โธ่ นี่ผมเหมือนลูกแกะขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” พ่อมดหนุ่มคิ้วขมวดใส่เธอเล็กน้อย

               “ก็ท่าทางนายมันให้นี่นา แถมยังมีผมสีขาวที่นุ่มลื่นราวกับลูกแกะอีกต่างหาก นี่ถ้าผมหยิกฟูหรือหยักศกอีกสักหน่อยคงเหมือนเป๊ะเลยล่ะ”

               “เลิกแซวผมสักทีเถอะครับ… อ๊ะ บอกเอาไว้ก่อนนะครับว่าเจ้าของร้านนี้ทำอาหารอร่อยสุด ๆ และนี่ถือเป็นร้านโปรดเจ้าประจำของผมอีกด้วย”

               “เห…”

               ฮิคาริลากเสียงด้วยความสนใจก่อนที่เธอและเลวอนจะเปิดประตูก้าวเท้าเดินเข้าไป แล้วพบว่าภายในร้านนั้นทาสีขาวสะอาดตาดูกว้างขวาง ริมผนังแต่ละด้านประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันใส่กรอบรูปไว้เป็นอย่างดี ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับลูกแกะตัวหนึ่งที่กำลังพลัดหลงฝูงและพยายามออกตามหาพรรคพวก ทำให้สถานที่แห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและน่าจดจำ

               ภายในร้านแห่งนี้มีลูกค้ามากหน้าหลายตากำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย จนชั้นล่างแทบไม่เหลือโต๊ะว่างสำหรับฮิคาริและเลวอนเลย ในขณะที่เหล่าพนักงานเสิร์ฟอาหารทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่แขกผู้มาเยือน ส่วนบรรดาเชฟในห้องครัวหลังร้านต่างก็พากันปรุงอาหารอย่างขะมักเขม้น

               สองพ่อมดแม่มดวัยเยาว์พยายามสอดส่องมองหาโต๊ะว่าง ทันใดนั้นเจ้าของร้านรายหนึ่งก็ได้มุ่งปรี่ออกมาต้อนรับ เป็นหญิงสาวพราวเสน่ห์รูปร่างหน้าตาดีวัย 27 ปีในชุดเชฟสีขาวดำบริสุทธิ์ เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ยาวสลวยรวบหางม้า นัยน์ตาสีฟ้าใสสุกสกาว และสวมแว่นตากรอบวงกลม เธอคือ “อีร์มา จาโนตา” แม่ครัวผู้มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ แห่งหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ไม่รอช้าเลวอนจึงรีบกล่าวทักทายไปทันที

               “สวัสดีครับคุณอีร์มา สบายดีไหมครับ?”

               “ตายจริงพ่อหนุ่ม ไม่ได้เจอกันตั้งนานโตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย มามะพี่สาวคนนี้ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อย”

               เชฟหญิงเข้าสวมกอดบุรุษร่างสูงโปร่งอย่างเอ็นดู โดยที่อีกฝ่ายโอบร่างเธอหลวม ๆ ตอบกลับไปตามมารยาท หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เลวอนจึงแนะนำเพื่อนร่วมทางให้เจ้าของร้านได้รู้จัก

               “จริงสิ เด็กคนนี้คือนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่นที่เพิ่งย้ายเข้ามา ชื่อ ฮิคาริ ฮาชิสึเมะ ตอนนี้ผมกำลังพาเธอเดินเยี่ยมชมตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในเขตใจกลางเมือง เลยตั้งใจว่าจะพามาลองชิมอาหารฝีมือคุณอีร์มาดูสักครั้งน่ะครับ”

               “น่ารักมากพ่อหนุ่ม อุตส่าห์หาลูกค้ารายใหม่มาให้ถึงที่แบบนี้ เห็นทีคงต้องสมนาคุณให้อย่างงาม~” อีร์มาเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นหันไปกล่าวแนะนำตัวต่อสตรีจอมดาบด้วยประโยคสั้น ๆ “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่ออีร์มา จาโนตา เป็นหัวหน้าเชฟและผู้จัดการร้านนี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ”

               “ฮิคาริ ฮาชิสึเมะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”

               แม่มดสาวโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ขณะเดียวกันอีร์มาได้กวาดสายตาจ้องมองวัยรุ่นสองชายหญิงอย่างพินิจ ก่อนจะพูดจาแซวใส่ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มพลางยกมือขึ้นป้องปากตามประสาพี่สาวผู้มาดทะเล้น

               “ร้ายเหลือเกินนะเลวอน รู้จักกันได้ไม่นานแต่กลับพาหล่อนออกเดทซะแล้ว หรือว่าพวกเธอกำลังคบหาดูใจกันอยู่?”

               “ไม่ใช่นะครับ/เปล่านะคะ!” เลวอนและฮิคาริรีบปฏิเสธโดยพลันทั้งที่แก้มแดงแจ๋

               “ต่อให้พวกเธอสองคนจะยังไม่ได้คบกันจริง ๆ แต่ในสถานการณ์แบบนี้แทบไม่ต่างอะไรกับการออกเดทเลยนะจ๊ะ”

               อีร์มาให้คำอธิบาย เลวอนและฮิคาริที่ไม่ค่อยประสีประสาเรื่องใคร่รักมากนักถึงกับออกอาการประหม่า หัวหน้าแม่ครัวเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจหยุดพูดจาหยอกล้อ ก่อนจะกวักมือกล่าวเชิญชวนอย่างเป็นกันเอง

               “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า ดูเหมือนชั้นล่างจะไม่มีโต๊ะว่างเหลือแล้วด้วย ถ้างั้นพวกเธอช่วยตามฉันมาที่ชั้นบนหน่อยสิ พี่สาวคนนี้มีอะไรบางอย่างอยากจะเซอร์ไพรส์ด้วยล่ะ”

               เลวอนและฮิคาริผงกศีรษะตอบรับคำชวนแม้รู้สึกแอบฉงนใจก็ตาม ทั้งคู่ก้าวเท้าตามอีร์มาไปยังบริเวณหลังร้านมุ่งขึ้นบันไดชั้นสอง จนกระทั่งถึงทางเดินระเบียงปูด้วยพรมนุ่มสีแดง ซึ่งตรงพื้นที่นี้เองมีภาพวาดสีน้ำมันใส่กรอบรูปประดับเอาไว้ตามฝาผนังเช่นเดียวกันภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบสบายตา

               เมื่อถึงประตูหน้าห้องบานหนึ่ง เชฟสาวจึงไขกุญแจเปิดเข้าไปแล้วผายมือให้สองลูกค้าวัยเยาว์เดินเข้ามา ภายในนั้นดูมืดสลัว มีเพียงแค่โต๊ะรับประทานอาหารทำจากไม้เคลือบมันวาวสลักลวดลายสวยงามทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แท่นเชิงเทียนคริสตัลสูงห้าแขนวางประดับตรงกลาง พร้อมด้วยเก้าอี้เบาะนุ่มฝั่งละสองตัว มุมห้องฝั่งซ้ายเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียง ส่วนมุมฝั่งตรงข้ามมีแกรนด์เปียโนหนึ่งหลังท่ามกลางห้องสีขาวสะอาดตา

               อีร์มามุ่งตรงไปยังโต๊ะ นำมือลูบสัมผัสกับเชิงเทียนคริสตัลสองถึงสามครั้งจนภายในห้องพลันสว่างขึ้น ปรากฏทิวทัศน์ท้องฟ้าสีครามสว่างสดใสโดยมีเหล่ามวลวิหคบินโฉบกลางนภา พื้นด้านล่างกลายเป็นทุ่งหญ้าอันโล่งกว้างทอดยาวบรรจบเส้นขอบฟ้า มีต้นไม้ตั้งตระหง่านประปรายพร้อมด้วยสายลมแผ่วเบาคอยพัดผ่านอย่างอ่อนโยน สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเป็นธรรมชาติอันแสนร่มรื่น

               แม้สิ่งที่เห็นอยู่จะเป็นเพียงแค่ภาพมายา แต่ก็ชวนให้ความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจจนเลวอนกับฮิคาริต้องร้องอุทานออกมา

               “โห…”

               “ปกติแล้วห้องนี้มีไว้สำหรับต้อนรับแขกคนสำคัญเท่านั้น แต่ว่าครั้งนี้ฉันขอยกให้พวกเธอเป็นกรณีพิเศษ เพื่อฉลองการกลับมาของเจ้าหนุ่มลูกแกะพร้อมต้อนรับลูกค้าวีไอพีคนใหม่ หวังว่าพวกเธอจะถูกใจมันนะ… ครั้งหน้าถ้ายังอยากจะใช้สถานที่พิเศษแบบนี้อีกล่ะก็ อย่าเอาไปบอกให้ชาวบ้านทุกคนรู้เชียวล่ะ”

               อีร์มาเน้นประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงกระซิบภายใต้สีหน้าเปื้อนยิ้ม ยกนิ้วชี้ขวาแตะริมฝีปากพลางหลับตาซ้ายส่งซิกแลดูมีเสน่ห์ พ่อมดหนุ่มและจอมดาบสาวจึงตอบกลับเจ้าของร้านอย่างซาบซึ้งใจ

               “ข… ขอบคุณมากนะครับ/ขอบพระคุณมากค่ะ”

               “ด้วยความยินดีจ้า ทั้งสองคนเชิญนั่งลงก่อนสิจ๊ะ”

               อีร์มากล่าวเชิญชวนพลางผายมือไปยังโต๊ะรับประทานอาหาร หลังจากที่เลวอนและฮิคารินั่งประจำที่แล้ว เชฟหญิงก็ได้หยิบหนังสือเมนูซึ่งสอดอยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาสองเล่มส่งมอบให้แก่ลูกค้า พร้อมกล่าวน้ำเสียงสดใสออกไป

               “อยากทานอะไรสั่งมาได้เลย เดี๋ยวพี่สาวจะเป็นคนลงมือรังสรรค์มื้อเที่ยงให้กับพวกเธอเอง”

               “พูดจริงเหรอครับ!?”

               เลวอนซักถามเพื่อความแน่ใจ อีร์มาผงกศีรษะยืนยัน เขาและฮิคาริจึงเร่งเปิดหนังสือเมนูแล้วเลือกอาหารที่ตนต้องการจะรับประทานอย่างไม่รอช้าทันที

               อีร์มารับออเดอร์ก่อนจะเดินออกจากห้องวีไอพี มุ่งตรงไปยังห้องครัวชั้นล่างสุดเพื่อลงมือรังสรรค์อาหารตามรายการที่ได้รับมอบหมายโดยใช้เวลาไม่นานมากนัก เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำเมนูร้อน ๆ ในจานวางลงบนถาด ยกขึ้นเสิร์ฟให้แก่หนุ่มสาวทั้งสองคนซึ่งกำลังนั่งรอคอยแบบใจจดใจจ่อ

               เมนูที่เลวอนเลือกคือ Chicken Kiev อาหารยูเครนทำมาจากเนื้อไก่โขลกรีดรอบเนยเย็น เคลือบด้วยไข่กับเศษขนมปังแล้วนำไปทอดหรืออบให้ดูน่ารับประทาน พร้อมด้วยน้ำแอปเปิลโซดาหนึ่งแก้ว ส่วนเมนูที่ฮิคาริเลือกคือสเต๊กย่างระดับมีเดียมแรร์ ทำจากเนื้อวัวหมักคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงอย่างดี พร้อมด้วยน้ำพันซ์เย็น ๆ สำหรับดื่มดับกระหาย

               เมื่อรายการมื้อเที่ยงทั้งหมดถูกวางเสิร์ฟบนโต๊ะรับประทานอาหาร พ่อมดหนุ่มและซามูไรสาวจึงลงมือลองชิมหนึ่งคำ รสชาติที่ออกมานั้นอร่อยยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ จนอีร์มาได้รับคำชื่นชมจากสองวัยรุ่นชายหญิงไปโดยปริยาย

               เชฟสาวได้ขอตัวกลับไปยังชั้นล่างสุดเพื่อทำหน้าที่คอยกำกับเหล่าพนักงานภายในร้านต่อ ปล่อยให้ลูกค้าระดับบุคคลสำคัญนั่งรับประทานมื้อเที่ยงอยู่ในห้องวีไอพีกันตามลำพังสองต่อสอง ระหว่างนี้ฮิคาริซึ่งกำลังนั่งหั่นเนื้อย่างอยู่ได้เกริ่นซักถามเลวอนขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเงียบเหงาจนเกินไป แม้ว่าจะมีดนตรีคลาสสิกคอยบรรเลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่ก็ตาม

               “นี่เจ้าลูกแกะ คำสาปที่นายได้รับมาตอนเด็ก ๆ น่ะ… สรุปแล้วตอนนี้ยังหาวิธีรักษาให้หายขาดไม่ได้งั้นสินะ?”

               “ครับ ขนาดศาสตราจารย์ยาโรสลาฟที่เป็นถึงจอมเวทพาลาดินผู้สูงส่ง ยังทำได้แค่เพียงเยียวยาหรือประคองอาการให้ทรงตัวเท่านั้น คิดว่าคงไม่น่ามีหนทางอื่นแล้วล่ะครับ” พ่อมดวัยเยาว์ตอบกลับพลางใช้ส้อมจิ้มเนื้อไก่ทอดซึ่งหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมารับประทาน

               “ให้ตายสิ ไม่รู้ว่าจะพูดปลอบใจนายยังไงดี แต่นายไม่ควรตัดใจยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้นะ… เชื่อฉันเถอะสักวันหนึ่งนายจะต้องหายดีจนกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้แน่”

               แม้ว่าแม่มดสาวพราวเสน่ห์รายนี้จะมีนิสัยพูดจาแข็งกระด้างไปบ้าง ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหรือเมินเฉยความทุกข์ร้อนของผู้อื่น จึงกล่าวปลอบโยนต่อคู่สนทนาด้วยความเป็นห่วง บุรุษรูปงามค่อย ๆ วางส้อมลงบนจานอย่างนุ่มนวล ก้มศีรษะลงเล็กน้อยด้วยสายตาเหม่อลอยเผยสีหน้าสลดใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วพึมพำน้ำเสียงราบเรียบแผ่วเบาดังนี้

               “สักวันหนึ่งงั้นสินะครับ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวผมเองจะมีชีวิตรอดผ่านพ้นปีนี้ไปได้รึเปล่า…”

               “เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?”

               “ไม่มีอะไรหรอก ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับคุณฮาชิสึเมะ”

               เลวอนตอบบ่ายเบี่ยงด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อยเพื่อไม่ให้ฮิคาริต้องพลอยสลดหดหู่ตามไปด้วย แต่หารู้ไม่ว่าเธอเองก็กำลังรู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน มองดูผิวเผินก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังฝืนตัวเองอยู่ ด้วยเหตุนี้แม่มดสาวจึงตัดสินใจเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อไม่ให้บรรยากาศแลดูขุ่นมัว

               “รีบทานมื้อเที่ยงให้เสร็จเถอะ นายน่ะยังต้องพาฉันไปเดท… เอ๊ย!”

               ฮิคาริพลั้งปากพูดคำว่า “เดท” ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเกินกว่าจะย้อนกลับไปแก้ไขได้แล้ว อย่างไรก็ดีเธอพยายามสะกดกลั้นอากัปกิริยาลนลานพูดคุยกับเลวอนไปตามปกติ

               “นายยังต้องพาฉันเดินเที่ยวชมใจกลางหมู่บ้านจนกว่าจะถึงเวลาพลบค่ำนะ เข้าใจรึเปล่า!?”

               เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะในลำคอ แย้มสรวลเริงร่าพร้อมทั้งพูดจาหยอกแซว

               “เข้าใจแล้วครับ ว่าแต่ยอมรับแล้วเหรอครับว่าเราสองคนกำลังออกเดทกันอยู่?”

               “ม-ไม่ใช่สักหน่อยตาบ้า เดี๋ยวเถอะอย่ายิ้มแบบนี้สิยะ! …โธ่ นี่ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย?”

               “แต่สำหรับผมแล้วนี่ถือเป็นการออกเดทครั้งแรกในชีวิตเลยนะ คุณฮาชิสึเมะล่ะว่ายังไง?”

               “พูดจริงเหรอ ฉันเองก็…… ฮึ หลอกถามฉันอยู่ล่ะสิ จ้างให้ก็ไม่บอกหรอก รีบทานมื้อเที่ยงให้เสร็จก่อนเถอะย่ะ!”

               ฮิคาริละประโยคแรกทิ้งเอาไว้เป็นปริศนา ทว่าเลวอนกลับรู้สึกชอบใจในกิริยาท่าทีของเธอ ก่อนจะกล่าวเห็นพ้องสั้น ๆ

               “นั่นสิ ยังมีอีกหลายสถานที่ที่ผมต้องพาคุณไปเยี่ยมชมอีก ขอโทษที่ถามอะไรแปลก ๆ ออกไปนะครับ”

               เด็กสาวจอมดาบเวทคิ้วขมวดใส่ทั้งที่แก้มแดงระเรื่อ จนท้ายที่สุดเธอก็ไม่สามารถเก็บซ่อนรอยยิ้มจาง ๆ ได้อีกต่อไป เมื่อเห็นว่าสุภาพบุรุษหนุ่มวัยเยาว์กลับมาแสดงสีหน้าเปื้อนยิ้มชวนผ่อนคลายในแบบที่ควรจะเป็นดังเดิม ทั้งคู่ลงมือรับประทานมื้อเที่ยงต่อให้เสร็จ เพื่อเตรียมเดินทางเยี่ยมชมสถานที่ภายในใจกลางหมู่บ้านต่อไป

               นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการออกเดทเท่านั้น ในระหว่างนี้เลวอนและฮิคาริเริ่มทำความรู้จักถึงตัวตนที่แท้จริงซึ่งกันและกัน รวมถึงเปิดใจยอมรับในตัวอีกฝ่ายมากขึ้น จนกระทั่งเวลาผ่านล่วงเลยไปพร้อมกับความสุขที่ได้รับกลับคืนมา

 

               ********************

 

               ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ส่งกันพันลี้เช่นใดย่อมมีวันจากฉันนั้น

               สองหนุ่มสาวได้ใช้เวลาในการออกเดทร่วมกันจนกระทั่งตะวันคล้อยตกดิน ขณะนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น สมควรแก่เวลาที่เขาและเธอจะต้องเดินทางกลับบ้านนอนหลับพักผ่อน เนื่องจากพรุ่งนี้เช้าเป็นวันเปิดภาคเรียนการศึกษา

               ระหว่างเดินทางกลับ แสงไฟตามท้องถนนและอาคารบ้านเรือนหลังต่าง ๆ เริ่มส่องสว่างทีละจุดภายใต้ท้องฟ้ามืดสลัว จนเกิดประกายแสงสวยงามทั่วทั้งหมู่บ้าน แม้นภาพรวมของสถานที่แห่งนี้จะดูไม่ค่อยทันสมัยเท่าเมืองหลวง ทว่าด้วยความเป็นธรรมชาติปราศจากมลพิษซึ่งผสมผสานกับความเจริญที่ทันสมัย จึงทำให้ฮิคาริเกิดความรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งเผยความรู้สึกออกมาด้วยถ้อยวลีสั้น ๆ

               “สวยจังเลย…”

               “เมืองที่คุณฮาชิสึเมะอาศัยอยู่คล้ายคลึงกับหมู่บ้านแห่งนี้บ้างรึเปล่าครับ?”

               เลวอนหันไปซักถาม ซามูไรหญิงส่ายหน้าปฏิเสธไปมาเล็กน้อยพร้อมด้วยคำอธิบาย

               “ก็ไม่เชิงว่าคล้ายคลึงหรอกนะ เพราะใจกลางเมืองแต่ละจังหวัดส่วนใหญ่ต่างมีความเจริญก้าวหน้า ไม่ได้ผสมผสานกลมกลืนไปกับธรรมชาติเหมือนหมู่บ้านนี้… ฉันน่ะเกิดและเติบโตขึ้นในกรุงโตเกียว ต้องคอยรับผิดชอบหน้าที่ในเขตดังกล่าว จนแทบไม่มีเวลาว่างเดินเล่นหรือเที่ยวชมต่างจังหวัดเลยด้วยซ้ำ”

               “ที่ผ่านมาคงลำบากน่าดูเลยสินะครับ ต้องคอยทำงานให้กับสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกทั้งที่อายุยังน้อยแบบนี้…”

               “ก็ฉันมันอัจฉริยะน่ะสิ… เป็นแค่ลูกแกะแท้ ๆ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดจาเห็นใจฉันหรอก เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ”

               ฮิคาริพองแก้มคิ้วขมวดใส่เล็กน้อย เลวอนส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ โดยที่ไม่ได้คิดขุ่นเคืองใจต่อท่าทีของเธอ เพราะสิ่งที่กล่าวโอ้อวดเมื่อสักครู่นั้นหาได้เกินจริงแต่อย่างใด การที่เด็กอายุไม่เกิน 18 ปีทำงานให้กับสมาคมเวทมนตร์เหมือนข้าราชการคนอื่น ๆ ทั่วไป ถือเป็นเครื่องการันตีอย่างหนึ่งว่าบุคคลผู้นี้มากล้นไปด้วยความสามารถพอสมควร

               ทว่าความเก่งกาจเกินวัยกลับทำให้ฮิคาริอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้เพื่อนฝูง ถูกทางเบื้องบนคาดหวังอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังเป็นที่อิจฉาของเพื่อนร่วมงาน รวมถึงเหล่าวัยรุ่นทั่วไปจนไม่อาจเปิดใจเชื่อมั่นใครได้อีก ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงติดนิสัยใช้ถ้อยคำทิ่มแทงใส่ผู้ที่พยายามเข้ามาตีสนิทกับตนอยู่ร่ำไป

               ทว่าหลังจากที่ฮิคาริได้พบเจอกับเลวอนในวันนี้ เธอกลับมีท่าทีผ่อนคลายความแข็งกร้าวลง แม้จะไม่มากนักก็ตาม

               ระหว่างนั้นแม่มดสาวนัยน์ตาสีเทาได้ชะลอหยุดฝีเท้าหันหน้าไปทางเด็กหนุ่มผู้แสนซื่อ ก่อนจะโน้มตัวก้มศีรษะกล่าวคำขอโทษด้วยความสำนึกผิดจากใจจริง

               “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ฉันยังไม่ได้กล่าวขอโทษนายเลย… ขอโทษนะที่ทำให้บาดเจ็บ ทั้งที่นายกำลังป่วยอยู่แท้ ๆ”

               “อ… อะไรกัน รีบเงยหน้าขึ้นมาเถอะครับ ผมน่ะไม่ได้คิดโกรธแค้นคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทางนี้ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณ”

               เลวอนรีบจับประคองไหล่เพื่อให้ฮิคาริเงยศีรษะขึ้นมา อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนรังเกียจใด ๆ โดยทำตามที่เด็กหนุ่มร้องขออย่างว่าง่าย มิหนำซ้ำเธอจับจ้องมองคู่สนทนาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะหลบสบตาพอประมาณแล้วเกริ่นน้ำเสียงแผ่วเบา

               “ทำไมถึงทำดีกับฉันขนาดนี้ นายก็รู้นี่ว่าฉันมีนิสัยใจคอยังไง แถมยังชอบพูดจาเย่อหยิ่งเอาแต่ใจอีกด้วย แล้วแบบนี้นายยังอยากจะเป็นเพื่อนกับฉันอยู่อีกเหรอ?”

               “เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วล่ะ อีกอย่างคุณฮาชิสึเมะเองก็เป็นคนที่มีจิตใจดีด้วย ไม่งั้นคุณคงไม่ก้มหัวขอโทษผมหรอกครับ”

               บุรุษหนุ่มรูปงามเผยรอยยิ้มปลอบประโลมเธอ เขาแอบปลื้มปีติไม่น้อยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยอมเปิดใจให้แก่ตน แม่มดสาวจอมดาบเวทถึงกับเผยสีหน้าอากัปกิริยาเหนียมอายแก้มแดงก่ำทั้งสองข้าง กล่าวน้ำเสียงอ่อนหวานจนแทบไม่ได้ยิน

               “เจ้าลูกแกะบ้า ฉันไม่ใช่คนดีขนาดนั้นสักหน่อย นายเนี่ยแปลกคนจริง ๆ นี่ฉันควรจะรับมือกับนายยังไงดีเนี่ย?”

               จากนั้นฮิคาริและเลวอนได้ก้าวเท้ามุ่งหน้าต่อไปอีกสักพัก จนกระทั่งเดินทางมาถึงหน้าบ้านของเด็กหนุ่ม ซึ่งที่พักของซามูไรสาวตั้งอยู่ทางฝั่งขวามือโดยมีลักษณะเป็นอาคารสองชั้นเหมือนกัน เพียงแต่ตัวกระเบื้องหลังคาทาด้วยสีแดง อีกทั้งยังมืดสลัวเนื่องจากไม่มีผู้ใดมาอาศัยอยู่เป็นเวลานาน ทว่านับจากนี้ไปมันกำลังจะกลายเป็นที่พักพิงสำหรับเธอแล้ว

               เลวอนกล่าวแนะนำสถานที่พลางผายมือไปยังบ้านหลังใหม่ของฮิคาริ

               “ถึงที่หมายแล้วล่ะครับ”

               “ที่นี่น่ะเหรอ…?”

               สตรีจอมดาบเวทจ้องมองอาคารร้างหลังนั้น ก่อนจะหันไปเพ่งพินิจบ้านของบุรุษหนุ่มรูปงามเพื่อเปรียบเทียบถึงความแตกต่าง ขณะเดียวกันเลวอนได้ส่งมอบกระเป๋าเดินทางสีดำให้แก่เธอพร้อมเกริ่นคำแนะนำ

               “หากมีอะไรขาดเหลือหรือเกิดเรื่องเหตุด่วน รีบติดต่อหาผมทางมือถือได้เลยนะครับ”

               “เข้าใจแล้วล่ะ วันนี้ขอขอบคุณนายมากเลยนะ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสายฉันจะยกโทษให้นายก็แล้วกัน แต่ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาด ไม่งั้นนายโดนสันดาบฟาดก้นแน่”

               ฮิคาริทำหน้าคิ้วขมวดข่มขู่รับของสัมภาระจากอีกฝ่าย เลวอนส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะให้คำมั่นกลับไป

               “โธ่ ไม่เอาไปบอกใครหรอกครับ ผมให้สัญญาเลย… อ๊ะจริงสิ พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวผมออกมายืนรอคุณฮาชิสึเมะตรงบริเวณหน้าบ้านนะครับ เผื่อเราสองคนจะได้เดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน… ถ้างั้นผมขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

               พ่อมดหนุ่มโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นการอำลา แล้วหันหลังเดินจากไปเตรียมเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน ขณะนั้นเองแม่มดสาวกลับส่งเสียงรั้งเขาเอาไว้ชั่วคราว

               “เลวอน!”

               “!?”

               เลวอนรีบหันหน้ากลับไปมองด้วยความประหลาดใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเรียกชื่อจริงของเขาแบบชัดถ้อยคำ ฮิคาริเผยกิริยาท่าทีลังเลใจเพียงชั่วขณะโดยที่สองแก้มแดงฝาด หลังจากใช้เวลาตัดสินใจอยู่ไม่นานเธอก็ได้เกริ่นขึ้นมาอีกครั้ง

               “…เรียกฉันว่าฮิคาริสิ”

               “เอ๊ะ ต-แต่ว่า…”

               “ไม่งั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ฉันจะไม่ยกโทษให้นายนะ!”

               แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนทำหน้าบึ้งตึงใส่ บุรุษหนุ่มแสนสุภาพรู้สึกเกรงใจต่อคำขอเมื่อสักครู่นี้เนื่องจากทั้งคู่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานนัก แต่ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเปิดใจให้แก่กันจนเกิดความสนิทสนมในระดับหนึ่ง ท้ายที่สุดเลวอนก็ได้เรียกขานชื่อจริงของคู่สนทนาด้วยสีหน้ารอยยิ้มสดใส ก้าวเท้าเข้าหาเธอแล้วตามด้วยยืนแขนขวาออกไปเพื่อจับมือทักทาย

               “เข้าใจแล้ว จากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ คุณฮิคาริ”

               แทนที่จะปฏิบัติตามธรรมเนียม ทว่าฮิคาริกลับยกสะบัดแขนตีเข้าที่ฝ่ามือของเลวอนดัง “เพียะ!” เสียกระนั้น

               “อ๊ะ…”

               เด็กหนุ่มเผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย คิดไปเองว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวด้วย แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะซามูไรสาวไม่มีความกล้ามากพอที่จะสัมผัสมือกับเพศตรงข้ามต่างหาก จึงทำได้แค่เพียงตบฝ่ามือเป็นการทักทายเท่านั้น

               เพื่อไม่ให้เลวอนรู้สึกแย่ไปกว่านี้ ฮิคาริจึงรีบอธิบายเพื่อให้เขาคลายความกังวลด้วยท่าทีเหนียมอาย

               “ย… อย่าคิดมากสิยะ นี่เขาเรียกว่าการตบมือแบบสกินชิพยังไงล่ะ ไม่ใช่เพราะฉันรังเกียจนายสักหน่อย…! ขอตัวเข้าบ้านก่อนล่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้!”

               สิ้นสุดประโยคสุดท้าย ฮิคาริรีบหันหลังลากจูงสัมภาระพร้อมทั้งเปิดประตูรั้วเข้าบ้านทันที ปล่อยให้เลวอนยืนยิ้มเล็กยิ้มน้อยตามลำพัง เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้แจ้งแล้วว่าอีกฝ่ายมีนิสัยขี้อายมากแค่ไหน การที่เธอแสดงท่าทีแข็งกร้าวออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เป็นเพราะต้องคอยปกป้องและเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอาไว้นั่นเอง

               “ราตรีสวัสดิ์ครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้…”

               เลวอนเปล่งน้ำเสียงแผ่วเบาพลางแย้มสรวลอย่างอบอุ่น แม้ว่าฮิคาริจะปิดประตูเข้าไปในบ้านพักแล้วก็ตาม ก่อนจะหันหน้าไปยังทิศใต้จับจ้องมองยอดของปราสาทสีขาวอันสูงชันโดยอยู่ห่างจากตรงนี้ราวสองกิโลเมตร ภายในใจเปี่ยมล้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะอีกไม่กี่ชั่วข้ามคืนนับจากนี้ถือเป็นวันที่เขาจะได้เดินทางไปยังสถานศึกษาอย่างเป็นทางการ

               การผจญภัยและเส้นทางการเป็นจอมดาบเวทของเลวอนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้า

Options

not work with dark mode
Reset