หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน เช้าวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม เวลา 7 นาฬิกา 4 นาที
แสงอาทิตย์ค่อย ๆ สาดส่องลงยังผืนพิภพ ถือเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของเช้าวันใหม่ ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างดำเนินชีวิตไปตามปกติสุข เหล่าบรรดาเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกลับรู้สึกตื่นเต้นกระตือรือร้น หลังจากที่ทุกคนเฝ้ารอคอยวันนี้มาเป็นเวลานานกว่าสองเดือน
วันนี้เป็นวันเปิดเรียนภาคการศึกษาเทอมที่หนึ่งสำหรับชั้นมัธยม เหล่าหนุ่มสาววัยเยาว์ต่างลุกขึ้นตื่นแต่เช้าทำกิจวัตรส่วนตัวให้เสร็จ เพื่อมุ่งหน้าเดินทางไปยังปราสาทสีขาวให้ทันเวลาก่อนจะเริ่มกิจกรรมปฐมนิเทศ แต่คนที่ดูท่าทางกระดี๊กระด๊ามากกว่าใครเพื่อนคงหนีไม่พ้นเลวอนอย่างแน่แท้
พ่อมดหนุ่มอยู่ในชุดอัศวินสีขาวตัดโทนดำเข้มตัวเก่งพร้อมผ้าคลุมจอมเวทกับดาบอัศวิน ภายในกระเป๋าสะพายบรรจุหนังสือเวทมนตร์ภาษาอาร์มีเนียโบราณและไม้กายสิทธิ์คู่ใจ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาจึงกล่าวอำลาพ่อแม่ก่อนจะเดินออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังบริเวณหน้าบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่เคียงข้างกับที่พักของตน เพื่อยืนเฝ้ารอคอยใครสักคน
ไม่เกินห้านาทีฮิคาริก็ได้เปิดประตูเดินออกมาจากตัวบ้าน เธอในชุดเครื่องแบบสีเข้มตัวเก่งพร้อมสวมผ้าคลุม สะพายกระเป๋าเป้พาดไหล่ โดยพกพาดาบคาตานะซึ่งเป็นอาวุธคู่กายติดตัวมาด้วย เด็กสาวเผยสีหน้าคิ้วขมวดแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความประหม่าเมื่อพบเห็นเลวอนกำลังยืนรอตนอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว นึกถึงเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไปพลาง
“คุณฮิคาริ อรุณสวัสดิ์ครับ” บุรุษรูปงามกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร
“อรุณสวัสดิ์… มัวยืนรออะไรอยู่ รีบไปกันได้แล้ว”
ฮิคาริตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวตามปกติ ทว่าเลวอนไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางมุ่งหน้าไปยังปราสาทสีขาว อันเป็นสถานศึกษาประจำหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานโดยอยู่ห่างจากจุดนี้ไม่ไกลมากนัก
ยิ่งเข้าใกล้เขตพื้นที่ปราสาทสีขาว ก็ยิ่งมองเห็นเหล่านักเรียนมัธยมวัยหนุ่มสาวมากหน้าหลายตา แต่ละคนต่างอยู่ในชุดลำลองแลดูสุภาพ เนื่องจากโรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้ไม่ได้มีกฎบังคับตายตัวเรื่องการแต่งกายสำหรับนักศึกษา ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พวกเขารู้สึกเป็นกันเองและสนุกสนานไปกับการเรียนอย่างเต็มที่
จนกระทั่งเลวอนและฮิคาริเดินทางมาถึงที่หมาย ท่ามกลางผืนหญ้าอันโล่งกว้างรอบบริเวณปราสาทนั้นจะเห็นได้ว่า มีนักเรียนมัธยมทุกชั้นปีจำนวนกว่า 300 ชีวิตพากันทำกิจกรรมสันทนาการคลายเครียดตามประสาเด็กวัยรุ่น ขณะเดียวกันพ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันสังเกตเห็นเหล่าผู้คนที่คุ้นเคยอย่าง อิทสึกิ วัตสัน สเตฟาเนีย โมนิก้า ออเดรย์ คลาร่า และเวสน่า กำลังตั้งวงสนทนาอย่างสนุกสนานภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ ไม่รอช้าจึงรีบปรี่เข้าไปสมทบพร้อมส่งเสียงทักทายทันที
“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ/รุ่นพี่/คุณเลวอน/อรุณสวัสดิ์ขอรับ/โย่ว”
เหล่าบรรดาสหายกล่าวทักทายต้อนรับ ก่อนที่เลวอนและฮิคาริจะย่อเข่านั่งลงรวมกลุ่มเคียงข้างกัน คลาร่าและพรรคพวกต่างหันไปจับจ้องมองซามูไรสาวด้วยความสนใจ ทว่าอิทสึกิผู้ซึ่งเคยพบปะกับเธอมาแล้วครั้งหนึ่งกลับยกมือชี้นิ้ว พลางร้องอุทานแปลกประหลาดใจออกมาเสียงดัง
“ท่านคือคนที่ใช้ดาบคาตานะทำร้ายข้ากับท่านเลวอนเมื่อวานนี้นี่นา!”
“ว… ว่าไงนะคะ!?”
โมนิก้ารีบหันไปจ้องเขม็งเล็งใส่จนฮิคาริเริ่มออกอาการประหม่า ส่วนเวสน่าสบสายตามองเลวอนด้วยความเป็นห่วง เพื่อไม่ให้เรื่องราวทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม เด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพจึงกล่าวชี้แจงต่อทุกคนเพื่อปรับความเข้าใจ
“เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุและความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้เราสองคนปรับความเข้าใจและไม่ถือสาเอาความกันแล้วนะครับ”
“อย่างที่เลวอนพูดมานั่นแหละ เพราะงั้นเลิกจ้องมองฉันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อสักทีเถอะ” ฮิคาริเกริ่นอธิบายเสริม ถัดมาจึงชี้นิ้วไปที่อิทสึกิ “ส่วนเจ้าลูกหมาเดิมทีนายเองก็มีส่วนผิดที่ทำให้พวกเราต้องลงเอยแบบนั้นด้วย มากล่าวโทษฉันเพียงฝ่ายเดียวมันใช้ได้ที่ไหนกัน?”
“ข้าชื่อนานาโฮชิ อิทสึกิ ไม่ใช่เจ้าลูกหมาขอรับ!” เทพสุนัขหนุ่มแสดงสีหน้าบึ้งตึงใส่อีกฝ่าย “แต่จะว่าไปตัวข้าเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน เพราะงั้นต้องขออภัยท่านเลวอนกับท่านฮาชิสึเมะด้วยนะขอรับ”
พูดจบอิทสึกิจึงรีบเปลี่ยนท่านั่งขัดสมาธิเป็นท่านั่งคุกเข่า นำสองมือวางบนตักแล้วก้มศีรษะโค้งตัวลง เพื่อแสดงความสำนึกผิดตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น เลวอนยิ้มเจื่อนพลางจับประคองไหล่ให้อีกฝ่ายเงยใบหน้าขึ้นมา แล้วกล่าวปลอบประโลม
“ไม่เอาน่าอิทสึกิ เงยหน้าขึ้นมาเถอะ… จริงสิ ไหน ๆ พวกเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ผมจะขอแนะนำเธอคนนี้ให้ทุกคนได้รู้จักกันนะครับ” ถัดมาพ่อมดหนุ่มได้ผายมือไปยังเด็กสาวผมสีขาวโพลนซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างตนพร้อมกล่าวแนะนำตัว “เธอคนนี้มีชื่อว่า ฮิคาริ ฮาชิสึเมะ อายุ 17 ปี เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่น ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่สมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกครับ”
“คนนี้เองเหรอ แถมยังเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมฯอีกด้วย ท่าทางคงจะต้องมีฝีมือในการต่อสู้สูงมากพอสมควร ว่าแต่สีผมดูไม่เหมือนคนเอเชียเลยแฮะ…”
ออเดรย์พึมพำพลางจ้องมองเรือนผมของฮิคาริอย่างสนใจ ในขณะที่สองมือบางทำท่าอยากจะเข้าไปลูบสางเต็มทน เธอพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้ เนื่องจากรู้สึกเกรงใจต่ออุปนิสัยซึ่งเข้าถึงได้ยากของอีกฝ่าย
“ยินดีที่ได้รู้จัก เรียกฉันว่าฮิคาริเถอะนะ”
สตรีจอมดาบเวททักทายสั้น ๆ พลางก้มโค้งศีรษะลงเล็กน้อย ไม่รอช้าเหล่าหนุ่มสาวจอมเวทฝึกหัดจึงเริ่มทยอยกล่าวแนะนำตัวทีละคนจนครบจำนวนสมาชิก หลังจากที่ต่างฝ่ายทำความรู้จักกันเสร็จสิ้น วัตสันก็เริ่มเปิดหัวข้อสนทนาพร้อมชี้นิ้วไปยังเลวอนและฮิคาริ โดยมีเนื้อหาค่อนข้างฉุกละหุกพอสมควร
“เอ้อจริงสิ เมื่อวานนี้ฉันได้ยินข่าวลือมาด้วยล่ะ ว่าพวกนายสองคนเดินออกเดททั่วย่านใจกลางหมู่บ้านตลอดทั้งวัน… ให้ตายเถอะเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานแท้ ๆ ร้ายกาจเหมือนกันนี่หว่าเลวอน”
“ข-เข้าใจผิดแล้ว เจ้าลูกแกะนี่ก็แค่เป็นไกด์นำทางพาฉันเที่ยวชมตามสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้นเอง!”
ฮิคาริรีบหลบสายตาตอบปฏิเสธเสียงแข็ง โมนิก้าสังเกตเห็นอากัปกิริยาที่เขินอายของอีกฝ่ายจึงสบโอกาสหันไปแสดงสีหน้าบึ้งตึงพลางยู่ปากใส่เลวอน ตามด้วยน้ำเสียงสื่อถึงความไม่พึงพอใจอย่างสุดขีด
“อะไรกัน ไหนเมื่อวานบอกว่าถ้าเสร็จธุระที่โบสถ์แล้วจะรีบเดินทางมาหาพวกเรายังไงล่ะคะ แต่นี่กลับไปออกเดทกับคุณฮิคาริแทน… ถ-ถ-ถ-แถมยังจับหน้าอกเธออีกด้วย คุณเลวอนลามกที่สุดเลย!”
“ร-เรื่องนั้นผมไม่ได้ตั้งใจนะ!”
บุรุษหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันรีบแก้ต่าง ในขณะที่เด็กสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลอ่อนยังคงกล่าวตัดพ้อน้อยใจออกมา
“เห็นว่าขยุ้มเต็มสองมือเลยนี่… เพราะแบบนี้คุณเลวอนเลยไม่คิดที่จะสนใจคนหน้าอกเล็กอย่างฉันงั้นสินะคะ!”
“เดี๋ยวสิยะ ทำไมเธอถึงรู้เรื่องนั้นได้ล่ะ!?” ซามูไรหญิงเผยท่าทีตะลีตะลานทั้งที่ใบหน้าแดงแปร๊ด
“ก็เมื่อวานนี้เหล่าชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์เขาพากันนินทาให้แซดน่ะสิขอรับ ฮะฮะฮะ!” อิทสึกิกล่าวชี้แจง
“หืม…”
ออเดรย์ สเตฟาเนีย และวัตสัน พร้อมใจกันลากเสียงจ้องเขม็งใส่เลวอน ดูเหมือนทุกคนจะไม่ค่อยประหลาดใจกับสิ่งที่โมนิก้าเล่ามาสักเท่าไหร่นัก สืบเนื่องจากข่าวลือเมื่อวานนี้ถูกแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านเป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน พ่อมดหนุ่มใสซื่อผู้ซึ่งไม่อาจสรรหาคำแก้ตัวใด ๆ ได้อีกจึงก้มหน้าสลดเกริ่นสำนึกผิดต่อผองเพื่อนทุกคน
“ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ เดิมทีผมไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินคุณฮิคาริเลยด้วยซ้ำ… เมื่อวานนี้ผมเลยรับหน้าที่เป็นไกด์นำทางให้เธอ พร้อมทั้งเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อเพื่อเป็นการชดใช้ความผิดไปน่ะครับ”
“งั้นเหรอคะ… ในเมื่อคุณฮิคาริไม่ได้ติดใจเอาความ ถ้างั้นพวกเราเองก็จะไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรคุณเลวอนอีกค่ะ”
โมนิก้าพองแก้มใส่เลวอนเล็กน้อยแม้นว่าเรื่องราวทั้งหมดจะคลี่คลายลงแล้วก็ตาม ทว่าวัตสันกลับพูดจาแซวเธอด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เห… คนที่โกรธน่ะมีแค่เธอเท่านั้นแหละ พวกฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย?”
“วัตสันน่ะเงียบไปเลยค่ะ!”
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนส่งเสียงดุ พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาจอมทะเล้นจึงรีบเม้มฝีปากตามคำสั่งด้วยความหวั่นสะพรึงทันที ระหว่างนั้นเองคลาร่าสังเกตเห็นเครื่องรางที่เลวอนสวมประดับห้อยคอลงมา เธอสัมผัสได้ถึงพลังเวทบางอย่างจากสิ่งนั้นมาเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว ก่อนจะผายมือชี้ไปยังวัตถุดังกล่าวพร้อมตั้งคำถามสงสัย
“คุณเลวอนคะ สร้อยคอไม้กางเขนนั่นมัน…”
“ไหนขอดูหน่อยสิ” ออเดรย์รีบโน้มตัวเข้าใกล้เลวอน นำสองมือบางสัมผัสจี้ไม้กางเขนเพื่อเพ่งพิจารณา ก่อนที่เธอจะเผยสีหน้าน้ำเสียงตื่นเต้นเงยหน้ามองบุรุษหนุ่มอย่างประหลาดใจ “ส… สัมผัสได้ถึงพลังเวทคุ้มภัยมหาศาล เจ้านี่มันแรร์ไอเท็มชัด ๆ รุ่นพี่ไปได้มันมาจากไหนกัน!?”
“ฉ… ฉันเป็นคนมอบให้เขาเองค่ะ”
“เอ๊ะ!?”
เวสน่าเป็นผู้เฉลยคำตอบแทนเลวอน เหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวทุกคนได้ยินเช่นนั้นถึงกับส่งเสียงอุทานลั่นอย่างพร้อมเพรียง ยกเว้นสเตฟาเนียที่ยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย รีบยิงคำถามใส่นักพรตสาวด้วยความกังขา
“หมายความว่ายังไงกันคะซิสเตอร์ ปกติแล้วเขาไม่นิยมร่ายคาถาขั้นสูงสลักลงไปในเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับพิธีทางศาสนานี่นา แล้วทำไมถึงได้…?”
“ฉันทราบดีค่ะว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่หลังจากที่ได้ทราบเกี่ยวกับอาการป่วยของคุณเลวอน ฉันจึงตัดสินใจทำเครื่องรางชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อคุ้มครองเขาจากไสยเวทมนตร์ดำ หรือคำสาปที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง เป็นการตอบแทนเรื่องที่เขานำเอากระเช้าผลไม้มาเยี่ยมที่โบสถ์เมื่อช่วงเช้าวานนี้… รวมถึงยอมสละมอบผ้าเช็ดหน้าตนให้ฉันด้วยยังไงล่ะคะ”
นักพรตสาวให้เหตุผลพอเป็นสังเขป ทำเอาวัตสันและอิทสึกิอ้าปากค้างตกตะลึงทันใด ออเดรย์และคลาร่าสดับรับฟังดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกประทับใจ ในขณะที่โมนิก้าคิ้วขมวดแอบรู้สึกหึงหวงเลวอนโดยไม่กล้าแสดงออกเต็มที่ ส่วนสเตฟาเนียยกปลายนิ้วชี้ข้างถนัดขึ้นมาแตะริมฝีปากทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะผงกศีรษะเล็กน้อยสองถึงสามครั้งราวกับว่าเข้าใจในอะไรบางอย่าง แล้วหันไปตักเตือนเด็กหนุ่มผมเปียด้วยคำพูดโผงผาง
“อย่างงี้นี่เอง… รุ่นพี่เลวอน ฉันทราบดีค่ะว่าคุณอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่การหว่านเสน่ห์ความเป็นสุภาพบุรุษมากเกินไปจนทำให้ซิสเตอร์หัวใจหวั่นไหวแบบนี้ ระวังจะกลายเป็นบาปนะคะ”
“คุณเลวอนใจดีมากเกินไปแล้วนะคะ โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิงคนอื่น” โมนิก้ากล่าวเสริม
“พอลองสังเกตให้ดูดีแล้ว รอบ ๆ ตัวนายมีแต่แม่มดสาวรายล้อมทั้งนั้น ที่แท้ก็แอบเป็นเสือผู้หญิงนี่เอง” ฮิคาริจ้องเขม็งใส่เลวอนด้วยหางตา
“ใจร้าย ทำไมทุกคนถึงได้รุมจวกผมแบบนี้ล่ะ!?”
เลวอนเผยสีหน้าท่าทีผิดหวัง วัตสัน อิทสึกิ ออเดรย์ เวสน่า และคลาร่า ต่างส่งเสียงหัวเราะชอบใจ เนื่องจากเห็นพ้องในคำพูดของสามแม่มดสาวที่เพิ่งกล่าวแซวไปเมื่อสักครู่
อย่างไรก็ดีบุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนได้แย้มสรวลเจือจางออกมา การที่เขาได้มานั่งพูดคุยกับผองเพื่อนอย่างสนุกสนานด้วยบรรยากาศอันแสนอบอุ่นเช่นนี้ ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ตนเฝ้าปรารถนามาเนิ่นนาน หลังจากที่ต้องทนทุกข์ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านมาโดยตลอดถึงห้าปีเต็ม
วินาทีนั้นเองเลวอนได้เผอิญเห็นอาเธอเรีย เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย ในชุดลำลองแฟชั่นประจำตัวกำลังเดินผ่านมายังเส้นทางนี้ จนกระทั่งสองชายหญิงสบสายตากัน ทว่าผู้ที่เมินใบหน้าหนีก่อนกลับกลายเป็นเลวอนไปเสียเอง เนื่องจากเขาไม่อยากทำตัวมีปัญหาหรือสร้างความรำคาญใจแก่อีกฝ่าย
“…!”
ยุวสตรีผู้ห้าวหาญแสดงสีหน้าขมวดคิ้วพลางเบือนสายตาไปทางอื่นเล็กน้อย ราวกับว่าตนรู้สึกผิดหรือเจ็บปวดใจอะไรบางอย่าง แทนที่จะโกรธเคืองบุรุษหนุ่มที่หลบหน้าเมินตนอย่างไม่ไยดี ขณะเดียวกันคลาร่าก็ได้ส่งเสียงโบกมือกล่าวทักทายเธอด้วยรอยยิ้มอันสดใส
“คุณอาเธอเรีย อรุณสวัสดิ์ค่ะ เข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกเรากันก่อนสิคะ”
“อ… อรุณสวัสดิ์ โทษทีนะทุกคน ตอนนี้ฉันมีธุระด่วนอยู่พอดี เอาไว้พูดคุยกันทีหลัง”
อาเธอเรียยิ้มเจื่อนปฏิเสธคำเชื้อเชิญก่อนจะก้าวเท้าวิ่งหนีจากไปอย่างร้อนรนใจ สร้างความฉงนให้แก่พวกโมนิก้าเป็นอย่างมาก เวสน่าสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของแม่มดสาวสุดแกร่งจึงเกริ่นน้ำเสียงกังวลใจออกมา
“สีหน้าของเธอคนนั้นดูไม่ค่อยสบายใจเลย มีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นรึเปล่านะ…?”
“แต่ฉันกลับรู้สึกได้ว่าเธอคนนั้นกำลังพยายามหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างมากกว่านะคะ”
สเตฟาเนียกล่าวแย้ง สืบเนื่องจากเธอมีนิสัยช่างสังเกตจึงหันไปจ้องมองเลวอนด้วยสีหน้าราบเรียบ พ่อมดหนุ่มรูปงามผู้ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุจึงบ่นตัดพ้อน้อยใจออกมาสั้น ๆ
“สงสัยงานนี้ผมคงโดนเธอเกลียดเข้าไส้ซะแล้วล่ะสิ…”
“หมายความว่ายังไงขอรับ หรือว่าท่านเลวอนเคยพบปะกับท่านอาเธอเรียมาก่อน?”
อิทสึกิสงสัย เลวอนจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อวานนี้ให้ทุกคนรับทราบ ทั้งเหตุการณ์ตอนที่ตนเองถูกพวกอัลเบิร์ตหาเรื่องรุมทำร้าย และตอนที่อาเธอเรียยื่นมือเข้ามาช่วย หลังจากอธิบายจนเสร็จสิ้น ฮิคาริและเหล่าผองเพื่อนต่างแสดงสีหน้าอากัปกิริยาไม่สบอารมณ์แบบเห็นได้ชัด
“อะไรกัน โดนอีกฝ่ายรังแกถึงขนาดนั้น ทำไมคุณเลวอนถึงไม่รีบเล่าให้ฟังตั้งแต่แรกล่ะคะ!?”
“ไอ้พวกบ้านั่น แม้แต่คนป่วยก็ยังไม่เว้นอีกเรอะ…!”
“ถ้าหากตอนนั้นข้าอยู่ที่นั่นด้วยก็คงได้ช่วยท่านเลวอนซัดพวกมันให้หมอบไปแล้วล่ะขอรับ!”
โมนิก้า วัตสัน และอิทสึกิ ผู้ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับเลวอนมาเป็นเวลานานต่างกล่าวน้ำเสียงโกรธเคืองตามลำดับ ทว่าฮิคาริกลับแสดงความคิดเห็นแตกต่างจากคนอื่น ทั้งที่ตัวเธอเองก็แอบรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของพวกอัลเบิร์ตด้วยเช่นเดียวกัน
“ให้ตายสิ มีโอกาสได้เอาคืนกับเจ้าคนพวกนั้นแบบสาสมแล้วแท้ ๆ แต่กลับไม่ทำเนี่ยนะ… ใจดีไม่เข้าเรื่องจริง ๆ”
“แต่ถ้าหากผมทำตามคำชักชวนของคุณอาเธอเรีย ถึงตอนนั้นแม่คงกักบริเวณผมเป็นการลงโทษอีกแน่ ๆ อีกอย่างการที่จะตัดโซ่แห่งความเกลียดชังให้ได้โดยเด็ดขาด ไม่เขาก็เราที่ต้องเป็นฝ่ายยอมจบก่อน หรือจนกว่าทางนั้นจะสำนึกขึ้นมาได้เอง”
เลวอนอธิบายน้ำเสียงราบเรียบราวกับคนปลงตก เล่นทำเอาซามูไรสาวรู้สึกหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อย รีบยกมือขึ้นมาดึงใบหูอีกฝ่ายพร้อมทั้งกล่าวเตือนสติไปดังนี้
“เจ้าบ้า คนพวกนั้นรู้จักคำว่าสำนึกเป็นด้วยเหรอยะ สงสารตัวเองก่อนดีกว่าไหม!? ขนาดตัวนายเองยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้เลย อย่างน้อยก็ควรโต้ตอบหรือต่อสู้ไปตามสัญชาตญาณสักหน่อยสิ!”
“โอ๊ยเจ็บเจ็บเจ็บ!”
เลวอนรีบยกมือกุมใบหูทั้งน้ำตาคลอ ขณะเดียวกันคลาร่าได้เกริ่นอ้อนวอนต่อเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง
“การที่ตัวเองยอมแบกรับความทุกข์ทรมานเพียงฝ่ายเดียว มันแทบไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายตัวเองเลยนะคะ ถ้าหากคุณเลวอนได้บาดเจ็บสาหัสหรือล้มตายจากไป ผู้คนรอบข้างคงต้องรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมากแน่ เพราะงั้นได้โปรดใส่ใจตัวเองให้มากกว่านี้ด้วยเถอะค่ะ… ถือเสียว่าเป็นคำขอร้องจากพวกเราในฐานะเพื่อนนะคะ”
“……”
ทุกคนต่างพากันสลดหดหู่โดยปราศจากคำพูดใด ๆ แม้แต่ตัวเลวอนเองยังพลอยลำบากใจตามไปด้วย
หง่าง… หง่าง… หง่าง…
เสียงระฆังดังขึ้นจากบนยอดหอของปราสาทสีขาว เป็นสัญญาณเรียกขานให้นักเรียนทุกคนเข้ามารวมตัวกันภายในอาคารชั้นล่าง ทำให้บรรยากาศแห่งความมัวหมองที่เลวอนและพรรคพวกกำลังเผชิญอยู่ได้พังทลายลงไปจนหมดสิ้น
“ได้เวลาแล้ว รีบเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ”
สเตฟาเนียกล่าวชักชวน เหล่าผองเพื่อนต่างผงกศีรษะเห็นพ้อง ก่อนที่ทุกคนจะลุกขึ้นยืนก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังปราสาทสีขาวอย่างไม่รีรอ พร้อมกับบรรดานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาจำนวนกว่า 300 ชีวิต เพื่อเตรียมเข้าสู่พิธีปฐมนิเทศวันเปิดเรียนภาคการศึกษาซึ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้านี้