เหล่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาทุกคน เดินทางรวมตัวกันยังระเบียงลานกว้างชั้นล่างซึ่งรองรับผู้คนได้มากกว่า 500 ชีวิต โดยนั่งอยู่บนเก้าอี้พับในอากัปกิริยาสำรวม ปราศจากเสียงพูดคุยจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของคนรอบข้าง ในขณะที่บริเวณพื้นที่ว่างตรงเบื้องหน้านั้นมีแท่นโพเดียมพร้อมไมโครโฟนตั้งวางอยู่ไว้สำหรับการประชุมปราศรัย
เมื่อถึงเวลาแก่สมควร ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟในฐานะอาจารย์ใหญ่ก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าลูกศิษย์ พร้อมด้วยคณะครูผู้สอนจนกระทั่งเดินมาถึงแท่นโพเดียม บรรดานักศึกษาลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้เพื่อแสดงความเคารพต่อเพลงชาติเช็กเกียและสโลวาเกียจนจบการบรรเลง จากนั้นนั่งลงตามปกติก่อนจะเริ่มเข้าสู่พิธีปฐมนิเทศอย่างเป็นทางการ
ยาโรสลาฟและคณะครูผู้สอนใช้เวลากล่าวอบรมเพียงหนึ่งชั่วโมงจนเสร็จสิ้นพิธี ก่อนจะปล่อยให้นักศึกษาแยกย้ายไปยังห้องเรียนตามแต่ละชั้นปี ตั้งแต่ชั้นที่สองจนถึงชั้นที่สี่โดยขึ้นทางบันได คลาร่า ออเดรย์ สเตฟาเนีย และโมนิก้านั้นไม่ได้อยู่ในระดับชั้นปีเดียวกันกับเลวอน ด้วยเหตุนี้เหล่าแม่มดสาววัยเยาว์ทั้งสี่จึงต้องแยกทางจากพวกเขาไป
เลวอนและบรรดาผองเพื่อนที่เหลือมุ่งหน้าเดินขึ้นบันไดจนถึงบริเวณทางเดินระเบียงชั้นที่สี่ จังหวะเดียวกันฮิคาริได้รับข้อความหนึ่งฉบับผ่านทางสมาร์ตโฟน เด็กสาวจำต้องขอแยกทางไปก่อนเนื่องจากถูกยาโรสลาฟเรียกตัว เพื่อลงชื่อเซ็นเอกสารการขอย้ายเข้าสถานศึกษาพร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ทว่าไม่ทันไร ทางด้านเลวอนเองก็ถูกอาจารย์ผู้สอนท่านหนึ่งเรียกตัวให้ไปนั่งรอที่ห้องพักครูเช่นเดียวกัน เพื่อรอกล่าวแนะนำตัวต่อเพื่อนร่วมชั้นอย่างเป็นทางการ แม้ว่าตนจะเป็นนักเรียนของสถานศึกษาแห่งนี้มาเป็นเวลากว่าสี่ปีแล้วก็ตาม การที่เขาปรากฏตัว ณ ที่นี่เป็นครั้งแรกนั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างอะไรกับนักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่เลย
เมื่อถึงเวลาอันสมควร “คอนสแตนติน ฮลินก้า” บุรุษเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มในชุดสูทวัย 40 ปีตอนต้น ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกาย ก็ได้พาตัวเลวอนไปยังห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่สามในฐานะอาจารย์ผู้สอน บรรยากาศภายในปราสาทสีขาวเริ่มเข้าสู่ความเงียบสงบวังเวง ไม่ว่าจะเป็นทางเดินระเบียงหรือแม้แต่ในพื้นที่ชั้นล่างสุดก็ตาม
เมื่อมุ่งตรงมาถึงที่หมายแล้วทั้งสองคนจึงเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องเรียนนั้นกว้างขวางดูทันสมัยมาก ไม่ต่างไปจากห้องเรียนของมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกเลยแม้แต่น้อย เบื้องหน้าปรากฏจอภาพฉายวีดิทัศน์กับโต๊ะสำหรับผู้ฝึกสอน มีเก้าอี้เลคเชอร์แบบเบาะนุ่มสำหรับนักศึกษาตั้งเรียงรายกันเป็นระเบียบ แตกต่างจากห้องโถงชั้นล่างของปราสาทสีขาวซึ่งยังคงความคลาสสิกเอาไว้โดยสิ้นเชิง
ศาสตราจารย์คอนสแตนตินกล่าวทักทายนักเรียนที่นั่งอยู่ภายในห้องจำนวนกว่า 50 ชีวิต เหล่าบรรดาลูกศิษย์ต่างแสดงความเคารพผู้อาวุโสตามปกติ ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มรูปงามเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลน ซึ่งยืนอยู่เคียงข้างครูผู้สอนด้วยความสนใจ
เลวอนรู้สึกประหม่าเพียงเล็กน้อย ทว่าหลังจากที่พบเห็นอิทสึกิ วัตสัน และเวสน่าซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าสุดคอยโบกมือส่งยิ้มให้กำลังใจ ก็ทำให้เขาพอบรรเทาความวิตกกังวลลงไปได้บ้าง
“เนื่องจากอาจารย์ผู้สอนวิชาหลักติดธุระด่วน ดังนั้นครูจึงขอรับหน้าที่นี้เป็นการชั่วคราว แต่ก่อนที่พวกเราจะเริ่มคาบเรียนแรก ครูขอแนะนำเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ให้นักเรียนทุกคนได้รู้จักกันก่อน… เชิญเลยทาวิเทียน”
คอนสแตนตินเกริ่นอธิบายต่อเหล่าลูกศิษย์ ก่อนจะนำมือตบลงบนบ่าของเลวอนเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ เด็กหนุ่มผงกศีรษะตอบรับ รวบรวมสมาธิและความกล้าเอาไว้ให้มั่น แล้วเริ่มแนะนำตัวต่อเพื่อนร่วมชั้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น โดยพยายามเก็บซ่อนอาการตื่นตระหนกอย่างสุดฤทธิ์
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อเลวอน ทาวิเทียน อายุ 17 ปี นักเรียนจอมเวทฝึกหัดชั้นมัธยมปลายปีที่ 3 สายจอมดาบเวท เนื่องจากผมป่วยด้วยโรคประจำตัวจึงไม่สามารถเดินทางมาเรียนได้ตามปกติ แต่นับจากวันนี้ไปผมพร้อมที่จะศึกษาเล่าเรียนไปกับเพื่อน ๆ ทุกคนตามปกติแล้วนะครับ… ฝากตัวด้วยนะครับ!”
เลวอนเผยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยความที่ตนวางตัวสุภาพแลดูค่อนข้างใสซื่อ อีกทั้งยังรูปร่างผอมสูงหน้าตาดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเหล่าบรรดาสาว ๆ ส่วนใหญ่เริ่มให้ความสนใจและอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ที่จริงแล้วในห้องเรียนแห่งนี้ยังพอมีสุภาพบุรุษหนุ่มรูปงามอยู่บ้าง ทว่าคนประเภทดังกล่าวมักต้องประสบกับความโชคร้ายอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากถูกเหล่าบรรดานักเรียนชายหลายคนหมั่นไส้หรือรุมกลั่นแกล้ง
แม้แต่เจ้าลูกแกะผู้ทรงเสน่ห์ตัวนี้เองก็กำลังจะถูกหมายหัวด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดียังมีผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งกลับรู้สึกนิ่งเฉย คนกลุ่มนี้ไม่ได้ให้ความสนใจผู้ชายที่มีรูปร่างผอมบางหรือไร้ซึ่งท่าทีทะมัดทะแมงขึงขัง ทำให้เลวอนแลดูเป็นเด็กหนุ่มค่อนข้างธรรมดา ซึ่งมีทั้งคนชอบ คนไม่สนใจ และคนเกลียดชัง ไม่ได้เลิศเลอหรือสมบูรณ์แบบไปมากกว่านี้เลย
“ขอให้นักเรียนทุกคนช่วยกันดูแลและเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขาด้วยล่ะ… เข้าไปนั่งประจำที่สิ”
ครูผู้สอนหันมาพูดคุยกับเลวอนอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงมุ่งหน้าไปยังเก้าอี้ว่างซึ่งเป็นแถวที่พวกวัตสันกำลังพำนักประจำที่อยู่แล้วนั่งลงไป โดยตำแหน่งของนักพรตหญิงวัยเยาว์และสหายหนุ่มคนสนิททั้งสองนั้นอยู่ตำแหน่งด้านขวามือพอดี
เวสน่าหันมาส่งรอยยิ้มทักทายแก่เลวอน เหล่านักเรียนชายบางคนซึ่งแอบชื่นชมหรือหลงใหลในตัวซิสเตอร์สาวอยู่นั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ยิ่งทวีคูณความอิจฉาปนหมั่นไส้ในตัวพ่อมดหนุ่มรูปงามมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเบอร์นาร์ด อัลเบิร์ต และสลาโวมีร์ สามหนุ่มเกเรที่กำลังนั่งทำหน้าบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ตรงบริเวณท้ายห้องริมสุด
“เอาล่ะ คาบแรกในวันนี้เราจะมากล่าวทบทวนบทเรียนเกี่ยวกับการโจมตีด้วยเวทมนตร์ขั้นพื้นฐาน และการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดกัน โดยเริ่มจาก…”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก… แกร๊ก
ไม่ทันที่คอนสแตนตินจะเริ่มต้นบรรยายการเรียนการสอน เสียงเคาะประตูตรงบริเวณหน้าห้องพลันดังขึ้นก่อนจะถูกเปิดออกทั้งสองบาน ทุกคนจึงรีบหันไปมองดูแล้วพบว่า ยาโรสลาฟกับฮิคาริได้ย่างกรายเข้ามาภายในห้องเรียน สร้างความตกตะลึงให้แก่เหล่านักศึกษาเป็นอย่างมาก
“ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ” ครูผู้สอนรีบหันไปทักทายผู้อำนวยการโรงเรียนด้วยท่าทีสุภาพ
“ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะการสอนนะศาสตราจารย์ฮลินก้า ตอนนี้ผมเสร็จธุระแล้วล่ะ… หืม ตกใจอะไรกัน ลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นครูประจำชั้นหลักของพวกเธอ?”
บุรุษผมหยักศกสีดำเข้มผู้ทรงสง่าในชุดครุยสีกรมท่ากล่าวกับลูกศิษย์ทุกคนด้วยรอยยิ้มอันสดใส พลางกวาดสายตามองดูเหล่าพ่อมดแม่มดฝึกหัดซึ่งกำลังนั่งประจำที่ราวกับเด็กหนุ่มผู้มาดทะเล้น ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกซามูไรสาวให้ขยับมายืนตรงพื้นระเบียงหน้าโต๊ะครูผู้สอน แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ฉันขอแนะนำเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ให้ทุกคนได้รู้จักกัน เธอเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อไม่นานนี้เอง ยังไงก็ช่วยสนิทสนมกับเธอด้วยล่ะ… กล่าวแนะนำตัวหน่อยสิฮิคาริ”
“ฮิคาริ ฮาชิสึเมะ อายุ 17 ปี ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนแกมม่วงพูดประโยคสั้น ๆ ด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง ทว่าด้วยความน่ารักทรงเสน่ห์ทั้งรูปร่างหน้าตา เลยทำให้ตนกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าเด็กหนุ่มวัยกลัดมันไปโดยปริยาย ยาโรสลาฟหลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงท่าทีแข็งเกร็ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงถือวิสาสะอธิบายรายละเอียดแทนเธอ
“สั้น ๆ เรียบง่ายสมกับเป็นเธอดีนะ ช่วยไม่ได้แฮะ… อย่างที่ทุกคนทราบกัน เธอคนนี้คือนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่น และเป็นถึงเจ้าหน้าที่ปราบมารสังกัดสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออก แม้วัฒนธรรมชาติของเธอจะแตกต่างไปจากพวกเราอยู่บ้าง แต่ขอให้ทั้งสองฝ่ายช่วยเป็นมิตรที่ดีต่อกันเอาไว้ด้วย… เอาล่ะฮิคาริ เชิญนั่งประจำที่ได้เลย”
เหล่านักศึกษาวัยเยาว์ที่ได้ฟังคำชี้แจงดังนั้นต่างพากันส่งเสียงฮือฮาด้วยความประหลาดใจ ส่งผลให้ฮิคาริกลายเป็นจุดน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทุกคนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเด็กหญิงผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างเธอจะทำงานให้กับองค์กรระดับสูง แม้แต่เหล่าบรรดาพ่อมดแม่มดทั่วไปยังไม่อาจไขว่คว้าตำแหน่งดังกล่าวมาได้โดยง่าย และด้วยความสมบูรณ์แบบในแทบทุกด้านเช่นนี้เองเลยทำให้เด็กสาวบางคนรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก
สตรีจอมดาบเวทโค้งศีรษะให้แก่ศาสตราจารย์ผู้สูงส่งเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตาสอดส่องมองหาเก้าอี้ว่างจนพบเห็นพวกเลวอนกำลังพำนักประจำที่อยู่ตรงแถวหน้าสุดพอดี เธอจึงตัดสินใจก้าวเท้ามุ่งเข้าไปสมทบนั่งลงเคียงข้างเขาทันทีโดยปราศจากความลังเล จนเหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายต่างพากันรู้สึกหมั่นไส้ในตัวเจ้าลูกแกะมากยิ่งขึ้น
“ยินดีต้อนรับสู่ห้องเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สามครับ” เลวอนกล่าวทักทายเธอด้วยรอยยิ้มสดใส
“ฮึ นายเองก็ไม่ได้ต่างไปจากฉันหรอกน่า อย่ามาทำตัวเป็นรุ่นพี่หน่อยเลย” ฮิคาริคิ้วขมวดพองแก้มใส่เขาเล็กน้อย
เลวอนในตอนนี้ต่างก็มีแม่มดสาวพราวเสน่ห์สองคนคอยนั่งประกบอยู่เคียงข้างเขา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากเหล่าบุรุษหนุ่มแต่ละคนจะออกอาการริษยาตาร้อน ทันใดนั้นเองวัตสันได้หันมาเกริ่นแซวใส่สหายรักด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
“อย่าไปสนใจเจ้าพวกนั้นเลย แต่ฉันขอสารภาพตามตรงในฐานะเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ตอนนี้ฉันเองก็กำลังแอบหมั่นไส้นายอยู่เหมือนกัน… ถ้าไม่ติดตรงที่เราสองคนคบกันมานานล่ะก็พ่อจะแกล้งซะให้เข็ด”
“ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันขอรับ ช่างเป็นผู้ชายที่ Lucky Sukebe จริง ๆ” อิทสึกิเห็นพ้อง
“ถึงพวกนายจะพูดแบบนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด… ดูสายตาของพวกผู้ชายแต่ละคนที่จ้องมาทางผมซะก่อนสิ โรงเรียนนี้น่ากลัวชะมัด”
เลวอนออกอาการลนลานพลางทำหน้าบึ้งตึงใส่เล็กน้อย ทว่าสองสหายหนุ่มแอบส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ในขณะที่เวสน่าจ้องมองบุรุษรูปงามด้วยท่าทีฉงนปนไร้เดียงสา ส่วนฮิคารินั่งขาไขว่ห้างกอดอกอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้ให้ความสนใจต่อสิ่งรอบข้างใด ๆ ทั้งสิ้น
ระหว่างนั้นเองยาโรสลาฟได้สนทนากับคอนสแตนตินสั้น ๆ เพื่อสานต่อหน้าที่อีกฝ่าย
“ขอบคุณมากนะศาสตราจารย์ฮลินก้า เดี๋ยวผมขอรับช่วงต่อสอนวิชาให้กับนักเรียนทุกคนเอง”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อน”
คอนสแตนติก้มโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะหันหลังก้าวเท้าเดินออกจากห้องเรียนแห่งนี้ไป
สุภาพบุรุษในชุดครุยเริ่มต้นบรรยายเนื้อหาให้แก่เหล่าบรรดาลูกศิษย์อย่างไม่รอช้าด้วยน้ำเสียงฟังชัดถ้อยคำ ที่แม้แต่นักเรียนบางกลุ่มซึ่งนั่งอยู่บริเวณท้ายห้องเรียนยังได้ยินแจ่มแจ้งเต็มสองหู โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องขยายเสียงช่วย
“วันนี้เราจะมาทบทวนเกี่ยวกับวิชาการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดกัน… หลายคนคงสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่อธิบายเรื่องการใช้คาถาโจมตี เพราะฉันเชื่อว่าพวกเธอทุกคนล้วนมีความสามารถในด้านนี้กันอยู่แล้ว มันคือสิ่งจำเป็นที่เหล่าจอมเวททุกคนควรฝึกเพื่อใช้ปราบสิ่งชั่วร้าย เพื่อปกป้องไม่ให้ประชาชนทั่วไปต้องรับเคราะห์จากเหล่ามารร้ายหรือภูตผีปีศาจ ไม่ว่าพวกมันจะมาในรูปแบบอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ ภัยพิบัติ หรือแม้กระทั่งการสิงสู่เพื่อเข้ายึดครองจิตใจของผู้คนก็ตาม…
ฉันเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า ‘การโจมตีคือการป้องกันที่ดีที่สุด’ อย่างไรก็ตามคาถาป้องกันตัวนั้นย่อมมีความสำคัญต่อชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน ต่อให้พวกเธอมีความสามารถในการใช้มนตราขั้นสูงต่อสู้กับเหล่าศัตรูแต่หากไร้ซึ่งทักษะการป้องกัน สิ่งที่ร่ำเรียนมาทั้งหมดจะสูญเปล่าทันที โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักเป็นห่วงหรือรักชีวิตตนเอง ถ้าไม่ใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้พวกเธอจะไม่มีวันปกป้องคนใกล้ตัวได้เลย…
การพยายามเอาชีวิตรอดเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างคนสำคัญถือเป็นสิ่งที่งดงามและแสนล้ำค่า ดังนั้นขอให้ทุกคนจดจำคำพูดนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ”
ยาโรสลาฟเน้นประโยคสุดท้ายพลางหันหน้าจับจ้องไปยังเลวอนด้วยรอยยิ้มสุขุม เด็กหนุ่มสบสายตาตอบกลับเพียงครู่หนึ่งก่อนจะก้มใบหน้าลงเล็กน้อยอย่างละอายใจ ตอนนี้เขาเข้าใจในสิ่งที่ครูผู้สอนอธิบายอย่างถ่องแท้แล้ว จึงกำหมัดที่วางอยู่บนหน้าตักทั้งสองข้าง พร้อมเงยหน้าฮึดสู้ตั้งใจฟังคำบรรยายต่อไป
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคาถาป้องภัยกันจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ถ้าหากใช้มันอย่างถูกวิธีเราก็จะสามารถทำร้ายศัตรูกลับคืนไปได้เช่นเดียวกัน ทุกคนยังจำกันได้ใช่ไหมว่ารูปแบบของคาถาป้องกันภัยนั้นมีอะไรบ้าง เช่นการป้องกันขั้นพื้นฐาน การลบล้างคาถาโจมตี และการส่งสะท้อนกลับซึ่งถือเป็นเวทมนตร์ขั้นสูงที่ฉันจะทำการสอนทุกคนในวันนี้…
แต่ก่อนที่เราจะเริ่มทำการฝึกคาถาดังกล่าว อันดับแรกมาฝึกทบทวนวิชาโดยใช้เวทมนตร์ขั้นพื้นฐานต่อสู้กันสักหน่อยดีไหม ฉันอยากจะรู้ว่าตลอดช่วงปิดเทอมที่ผ่านมานี้พวกเธอต่างใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์กันบ้างรึเปล่า… ฉันขออาสาสมัครสองราย มีใครอยากออกมาสาธิตประลองให้ทุกคนดูกันบ้าง เดี๋ยวฉันจะมอบคะแนนพิเศษให้ทันทีห้าแต้ม”
ศาสตราจารย์ผู้อารมณ์ดีกล่าวเชิญชวน ทว่านักเรียนทุกคนกลับนิ่งเงียบไม่กล้าแสดงตัว แต่ละคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าหากเผลอทำเรื่องพลาดพลั้งต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นแม้เพียงนิดเดียว ก็คงต้องกลายเป็นที่โจษจันไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
“……”
“อะไรกันทำไมถึงเงียบฉี่แบบนั้น? ไม่เห็นจะต้องอายอะไรเลย ถึงพวกเธอทำพลาดฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ”
ยาโรสลาฟชักชวนอีกครั้ง สลาโวมีร์จึงรีบชูมือขวาขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกล่าวแสดงตัวด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“ผมครับ… ผมขอเสนอชื่อเลวอน ทาวิเทียนครับ!”
ทว่าชื่อที่ถูกนำเสนอนั้นกลับไม่ใช่ตัวเอง และมันก็ได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่เพื่อนร่วมชั้นต่อมุกตลกร้ายของเด็กหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ แน่นอนว่าเลวอนไม่ขำด้วย เขารีบหันหน้าขมวดคิ้วใส่สลาโวมีร์อย่างไม่สบอารมณ์ อีกฝ่ายได้แต่ยักไหล่ยกยิ้มราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่ปัญหาของตนเลยสักนิด
“เลวอนเหรอ ถ้างั้นก็ดีเลย รีบออกมายืนตรงนี้เร็วเข้าสิ… ไม่ต้องกลัวนี่เป็นเพียงแค่การฝึกซ้อมเท่านั้น… อ้อ อย่าลืมหยิบไม้กายสิทธิ์ติดตัวมาด้วย”
บุรุษผู้ทรงสง่ากล่าวน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมทั้งกวักมือเรียก เลวอนจำต้องยอมทำตามคำขอของผู้อาวุโสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋าเป้ ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืน ฮิคาริจึงสบโอกาสนี้รีบเกริ่นสนทนากับเขาสั้น ๆ
“ช่วยแสดงฝีมือให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยเจ้าลูกแกะ ฉันเองก็อยากจะเห็นทักษะการต่อสู้ของนายเหมือนกัน”
“อย่าได้คาดหวังอะไรจากผมเลยครับ ฝีมือผมยังห่างไกลเพื่อน ๆ อีกตั้งเยอะ… ว่าแต่คุณฮิคาริแอบเอาเรื่องที่ผมโดนพวกอัลเบิร์ตรุมทำร้าย ไปรายงานให้ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟฟังรึเปล่าครับเนี่ย?”
“ป-เปล่าสักหน่อยเจ้าบ้า รีบไปได้แล้วย่ะ!”
ซามูไรสาวเอ็ดน้ำเสียงกระซิบไล่เขาทั้งที่สองแก้มแดงระเรื่อ ดูเหมือนว่าข้อสันนิษฐานของพ่อมดหนุ่มนั้นจะถูกต้อง
“คุณเลวอน ระวังตัวด้วยนะคะ”
เวสน่าทักด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เลวอนจึงเผยรอยยิ้มบางตอบกลับซิสเตอร์สาวพร้อมพรรคพวกของตน โดยที่อิทสึกิกับวัตสันชูนิ้วโป้งส่งกำลังใจให้ จากนั้นพ่อมดหนุ่มจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้มุ่งตรงไปยังพื้นที่โล่งบริเวณหน้าห้องเรียนเพื่อยืนรอผู้ท้าชิง
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ยาโรสลาฟรีบประกาศหาคู่ต่อสู้อีกหนึ่งคนโดยพลัน
“มีใครอยากจะประลองวิชากับเขาดูสักตั้งไหม?”