แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 24: ฝึกพิเศษกับเจ็ดแม่มดสาว (3)

               วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม เวลา 9 นาฬิกา 4 นาที ณ พื้นที่นอกปราสาทสีขาวใจกลางหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน การฝึกพิเศษประจำวันนี้เลวอนจะต้องพบปะกับวัตสันและสเตฟาเนีย เพื่อเรียนรู้หลักสูตรการปรุงยาสมุนไพรและยาพิษจากทั้งสองคนในห้องแล็บทดลองภายในอาคาร

               สเตฟาเนียรับหน้าที่สอนวิชาปรุงยาพิษในคาบเช้า ส่วนวัตสันรับหน้าที่สอนวิชาปรุงยารักษาโรคในคาบบ่าย โดยก่อนหน้านี้ทั้งสองคนได้ทำการตกลงแบ่งช่วงเวลากัน แม้ว่าลึก ๆ แล้วต่างฝ่ายอยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับเลวอนเป็นการส่วนตัวก็ตาม เนื่องจากเขาและเธอไม่ค่อยถูกชะตากันในแง่ด้านความสามารถ โดยเฉพาะศาสตร์แห่งวิชาสมุนไพรที่ทั้งคู่ถนัดมากที่สุด

               เลวอนและวัตสันเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนเวลานัดหมายประมาณห้านาที ทั้งคู่กำลังยืนรอคอยสเตฟาเนียอยู่ใต้ร่มไม้เงาบนผืนหญ้าท่ามกลางท้องฟ้ายามเช้าอันสดใส แม้จะเป็นช่วงเวลาวันหยุด ทว่าในสถานที่แห่งนี้ยังมีเหล่าวัยรุ่นจำนวนกลุ่มหนึ่งแวะมาทำกิจกรรมสันทนาการตามปกติ บ้างก็เดินทางมาเรียนพิเศษกับครูผู้สอนเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม

               การรอคอยสิ้นสุดลง เมื่อแม่มดสาวรูปร่างหน้าตาดีเจ้าของเรือนผมสีส้มในชุดจอมเวทฝึกหัดตัวเก่ง หรือสเตฟาเนีย ได้ก้าวเท้ามุ่งตรงมาทางนี้พร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายพาดไหล่ด้วยสีหน้าราบเรียบ เลวอนเห็นดังนั้นจึงรีบโบกมือทักทายส่งยิ้มให้ โดยที่เธอเองก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีเดียวกัน ทว่าวัตสันกลับจ้องมองผู้มาเยือนอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์พลางกล่าวทักท้วงดังนี้

               “มาสายไปห้านาทีนะแม่สาวน้อย”

               “รุ่นพี่เลวอน ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ ทางนี้มัวแต่จัดเตรียมตำราเรียนใส่ลงในกระเป๋านานไปหน่อย”

               สเตฟาเนียเข้าไปสนทนากับเลวอนอย่างสุภาพนอบน้อม ราวกับว่าวัตสันนั้นไม่เคยมีตัวตนอยู่ในสายตาเธอเลย ส่วนบุรุษหนุ่มรูปงามส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่ถือสา

               “ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเองก็เพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่เหมือนกัน”

               “หน็อยแน่ยัยนี่เมินฉันเฉยเลย ทีกับเลวอนนี่ทำตัวใจดีแถมยังพูดจาไพเราะเชียว… นายเองก็อีกคนนะเลวอน ขืนให้ท้ายสเตฟก้าบ่อย ๆ ระวังจะโดนหล่อนถอนหงอกเหมือนกับฉันนะเฟ้ย”

               พ่อมดนักปรุงยามาดทะเล้นกล่าวเตือนเพื่อนสนิท สเตฟาเนียจึงรีบพูดจาถากถางใส่เขาอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงรุ่นพี่ผู้มีอายุมากกว่าตนเกือบสองปีก็ตาม

               “ก็เพราะว่ารุ่นพี่วัตสันทำตัวเข้มงวดและชอบยียวนกวนประสาทมากเกินไปยังไงล่ะคะ ถึงยังไม่มีผู้หญิงคนไหนหันมาสนใจหรือเข้ามาสารภาพรักกับคุณเลยสักคนเดียว”

               “เฮือก!?”

               วัตสันออกอาการสะทกสะท้านโดยทันที อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดที่จะยอมเสียหน้าตรงนี้ด้วยการสวนคำพูดกลับคืนไป

               “แหม เธอเองก็ใช่ย่อยเหมือนกันนี่นา ชอบพูดจาแดกดันทำท่ายั่วยวนใส่คนอื่นจนมีพวกผู้ชายมาขอสารภาพรักแบบไม่ขาดสาย อย่างมากก็มีทีเด็ดแค่รูปร่างหน้าตาดีน่ารักตรงสเปคหนุ่ม ๆ วัยกลัดมันเท่านั้นแหละน่า… ส่วนเรื่องนิสัยเธอฉันคงต้องขอพูดตามตรง ไม่ผ่านอย่างแรงเลยล่ะ!”

               “ตายจริง ยอมรับแล้วเหรอคะว่าฉันเป็นผู้หญิงที่น่ารัก?”

               “ไม่ยอมรับหรอกเฟ้ย!”

               วัตสันตอบปฏิเสธหนักแน่น เลวอนที่กำลังยืนดูทั้งคู่โต้เถียงกันอยู่ก็เริ่มส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ

               ระหว่างนั้นเองสเตฟาเนียได้หันหน้าไปยังบุรุษหนุ่มนัยน์ตาสีอำพัน โน้มตัวเข้าใกล้ร่างสูงแกร่ง พลางเงยใบหน้าสบตามองด้วยอากัปกิริยาราบเรียบแต่แฝงไว้ซึ่งความไร้เดียงสา แล้วพูดคุยกับเขาเพื่อสอบถามความคิดเห็น

               “แล้วในสายตาของรุ่นพี่เลวอนล่ะคะ มองเห็นฉันแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?”

               เลวอนเริ่มกวาดสายตาพิจารณาดูแม่มดสาวพราวเสน่ห์รายนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรือนผมสีส้มนุ่มสลวยสั้นประบ่า ใบหน้าเรียวงามผิวพรรณผุดผ่อง แววตากลมโต ริมฝีปากอิ่มเอิบอมชมพู กลิ่นหอมทับทิมจากเรือนร่าง หรือแม้กระทั่งทรวดทรงองค์เอวอันน่าเย้ายวนใจ ล้วนแล้วแต่ชวนดึงดูดให้เขาเกิดความหลงใหลในตัวเธอทั้งสิ้น จนเด็กหนุ่มแก้มแดงระเรื่อขึ้นมาจาง ๆ

               สเตฟาเนียฉีกยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเลวอน แม้ว่าทางนั้นจะยังไม่ทันได้ให้คำตอบในทันทีก็ตาม จนในที่สุดพ่อมดผู้ใสซื่อก็ได้สารภาพความรู้สึกที่แท้จริงออกมาอย่างเหนียมอาย

               “ท… ทั้งน่ารักและรูปร่างหน้าตาดีเหมือนอย่างที่วัตสันพูดมาไม่มีผิด แถมยังมีความมั่นใจในตัวเองสูง อีกอย่างเวลาที่ได้พูดคุยกับสเตฟก้าผมเองก็รู้สึกโอเคและคิดว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่มีนิสัยเลวร้ายอะไร ถึงจะติดนิสัยพูดจาแบบไม่อ้อมค้อมก็เถอะ”

               “ก็เพราะรุ่นพี่อุตส่าห์ให้เกียรติและยอมรับในนิสัยของฉันได้ ฉันถึงได้ยอมปรับตัวเข้าหาคุณด้วยยังไงล่ะคะ”

               สเตฟาเนียแย้มสรวลจาง ๆ ด้วยความดีใจหลังจากกล่าวจบ ขณะเดียวกันวัตสันได้เอ่ยแซวใส่เพื่อนรัก ทั้งที่ตัวเขาแอบรู้สึกประหลาดใจต่อคำตอบของเด็กสาวเมื่อสักครู่นี้อยู่ไม่น้อย

               “ด… เดี๋ยวก่อนสิเลวอน อะไรกันนี่นายชอบผู้หญิงสเปคแบบนี้หรอกเหรอเนี่ย?”

               “ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!” เลวอนรีบปฏิเสธทันควัน ก่อนจะชำเลืองมองสเตฟาเนียแล้วรีบให้เหตุผลอย่างตะลีตะลาน “อ๊ะ ไม่ได้หมายความว่าผมนึกรังเกียจสเตฟก้านะ แต่ถ้าจะให้พูดว่ามองดูแล้วไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยก็เท่ากับว่าผมพูดโกหกน่ะสิ”

               “ให้ตายสิ รุ่นพี่เลวอนเป็นคนที่ร้ายกาจและน่าสนใจจริง ๆ ด้วย นึกว่าจะมีแค่ฉันคนเดียวเสียอีกที่คิดยังไงก็พูดออกมาแบบเปิดเผย… คุณเองก็มีส่วนที่คล้ายคลึงเหมือนกันกับฉันตรงที่นิสัยงั้นสินะคะ”

               แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มสนทนากับบุรุษรูปงามด้วยความพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเข้ากันได้ดีจนน่าเหลือเชื่อ แม้ว่าอุปนิสัยใจคอของเขาและเธอมีจุดที่แตกต่างกันอยู่บ้างก็ตาม วัตสันซึ่งได้แต่ยืนมองดูทั้งคู่กำลังสนิทสนมกันจนลืมเรื่องสำคัญบางที่สุดไป ก็ได้ส่งเสียงกระแอมเกริ่นทักท้วงขึ้นมาดังนี้

               “อะแฮ่ม! พอพอพอ… พวกนายสองคนเลิกจีบต่อหน้าฉันกันสักทีเถอะ รีบไปที่ห้องแล็บได้แล้ว”

               “แหม ๆ หึงเหรอคะรุ่นพี่วัตสัน?” สเตฟาเนียพูดจายียวนใส่

               “ฝันไปเถอะ อย่าคิดเข้าข้างตัวเองสิฟะ”

               พ่อมดหนุ่มนักปรุงยารีบตอบปัดข้อครหา เลวอนส่งเสียงหัวเราะชอบใจในลำคอ ก่อนจะพูดคุยกับสองวัยรุ่นชายหญิงอย่างท่าทีกระตือรือร้นพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใส

               “สเตฟก้า วัตสัน… การฝึกพิเศษสำหรับวันนี้ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

               “ได้เลยเพื่อนยาก/วางใจได้เลยค่ะ”

               วัตสันและสเตฟาเนียตอบกลับอย่างเต็มใจ จากนั้นจึงเดินนำทางพาเลวอนไปยังห้องแล็บภายในพื้นที่ปราสาทสีขาวชั้นที่สี่ เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกสอนวิชาปรุงยาทั้งในคาบเช้าและคาบบ่ายตามคำแนะนำของศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ

               ในขณะที่เลวอน วัตสัน และสเตฟาเนีย กำลังก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไปทีละชั้น เหล่าหนุ่ม ๆ วัยรุ่นซึ่งกำลังเตร็ดเตร่อยู่ตามพื้นระเบียงหน้าห้องเรียนต่างพากันจับจ้องมองดูแม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มอย่างสนใจ สำหรับพวกเขาแล้วถือได้ว่าเธอคือหนึ่งในบรรดาสาวงามที่ใคร ๆ ต่างก็หมายปอง

               ทว่าในทางกลับกัน เหล่ายุวสตรีกลุ่มหนึ่งก็ได้ชำเลืองสายตาคอยนินทาใส่เธอด้วยความไม่พอใจ

               “ดูนั่นสิ คราวนี้ยัยนั่นมาพร้อมกับผู้ชายสองคนเลย”

               “คงใช้มารยาหญิงอ่อยพวกเขาตามเคยแหละน่า”

               “มีข่าวลือว่าเธอกำลังคบชู้กับศาสตราจารย์ยาโรสลาฟแบบลับ ๆ ด้วยล่ะ”

               “มาถึงขั้นนี้คงไม่ใช่สาวบริสุทธิ์แล้วล่ะมั้ง ผ่านมือผู้ชายมาตั้งกี่คนแล้วก็ไม่รู้”

               “รู้สึกเสียดายเด็กหนุ่มหล่อ ๆ ผมขาวคนนั้นจัง ไม่น่าไปแพ้เสน่ห์ให้กับยัยนั่นเลย”

               ส่วนบรรดาบุรุษหนุ่มเองก็ใช่ย่อย พวกเขาได้จับกลุ่มซุบซิบพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของสเตฟาเนียด้วยเช่นเดียวกัน

               “สเตฟก้าน่ารักเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยแฮะ เข้าไปสารภาพรักกับเธอซะเลยดีไหมเนี่ย?”

               “อย่าเลย ก่อนหน้านี้เคยมีผู้ชายหลายคนทำแบบนั้นต่อหน้าเธอมาแล้ว สุดท้ายก็รับประทานแห้วกลับมา แถมฉันยังได้ยินข่าวลือมาว่าเธอเป็นผู้หญิงที่รักสนุกไม่ยอมผูกมัดกับใครด้วยนะ”

               “ดูเหมือนจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ยากแต่ก็ไม่ง่าย ถูกใจใครคนไหนก็เข้าไปยั่วยวนคอยหว่านเสน่ห์ใส่ เบื่อเมื่อไหร่ก็คอยขับไสไล่ส่งพูดจาทิ่มแทง… ถึงฉันจะยังไม่เคยโดนกับตัวก็เถอะ แต่ขอฟันธงเลยว่าเจ้าสองคนนั้นที่มาด้วยกันกับเธอคงไม่น่ารอดแน่”

               “สาวอย่างว่าก็ไม่ใช่ จะเป็นนักเรียนสมองเพชรก็ไม่เชิง ยากแท้หยั่งถึงจริง ๆ”

               ทั้งเลวอน วัตสัน และสเตฟาเนีย ต่างก็ได้ยินข้อครหาใส่ร้ายชัดเจนแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะส่งเสียงกระซิบกระซาบก็ตาม เนื่องจากภายในปราสาทสีขาวแห่งนี้ทั้งเงียบสงบและใหญ่โตโอ่อ่า พ่อมดนักปรุงยาจอมทะเล้นไม่อาจอดทนฟังถ้อยคำดูหมิ่นที่คอยปรามาสสหายของตนได้อีกจึงสบถพำพึมออกมา

               “ไอ้พวกบ้า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ทำตัวน่ารังเกียจกันทั้งนั้น… อย่าไปฟังเจ้าพวกนี้นินทาเลยนะสเตฟก้า”

               “ฉันไม่สนใจคนพวกนั้นอยู่แล้วล่ะค่ะ ต่อให้อธิบายความจริงออกไปพวกเขาก็เลือกฟังในสิ่งที่ถูกจริตตัวเองอยู่ดี”

               แม่มดสาวพราวเสน่ห์ตอบกลับอย่างไม่แยแสโดยที่สายตายังคงจ้องมองทางเดินระเบียง ก่อนจะชำเลืองไปยังพ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันที่กำลังเดินตามแผ่นหลังตนอย่างเงียบ ๆ ซึ่งสีหน้าของเขาแสดงออกถึงความกังวลและความห่วงใยชัดเจน ด้วยเหตุนี้เธอจึงหันไปพูดคุยเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ

               “รุ่นพี่เลวอนไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ฉันน่ะชินชากับเรื่องพรรค์นี้มานานแล้วล่ะ… เว้นเสียแต่ว่าคุณรู้สึกไม่ดีจนมองดูฉันด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะคะ”

               “อย่าพูดอะไรน่าเศร้าแบบนั้นสิ ไม่มีใครรู้จักตัวตนของเราดีเท่าตัวเราเองหรอกนะ สเตฟก้าก็คือสเตฟก้า ผมจะไม่มีวันมองเธอเปลี่ยนไปเพียงเพราะคำพูดลมปากของคนอื่นอย่างเด็ดขาด”

               เลวอนใช้ถ้อยคำปลอบโยนโดยปราศจากความเสแสร้ง สเตฟาเนียถึงกับแย้มสรวลมุมปากพร้อมทั้งตอบกลับน้ำเสียงแผ่วเบาเพียงประโยคสั้น ๆ โดยแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างชัดเจน

               “ขอบคุณมากนะคะรุ่นพี่เลวอน”

               “ให้ตายสิ มองโลกในแง่ดีสุด ๆ …แต่ก็สมกับเป็นนายดีนะ”

               แม้แต่วัตสันเองยังต้องเกริ่นออกมาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

               จนกระทั่งสามหนุ่มสาวเดินทางมาถึงห้องแล็บชั้นที่สี่ พวกเขาจึงนำกระเป๋าวางลงบนโต๊ะพร้อมจัดเตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบไว้ให้เสร็จสรรพ ไม่ว่าจะเป็นชุดตะเกียงไฟ ชุดหลอดแก้วสำหรับทดลองทางวิทยาศาสตร์ สมุนไพรกับผักสดผลไม้ซึ่งอยู่ในตะกร้าสาน รวมไปถึงขวดสารเคมีชนิดต่าง ๆ เป็นต้น

               ลักษณะภายในห้องแล็บแห่งนี้แทบไม่แตกต่างไปจากห้องเรียนสักเท่าไหร่นัก เพียงแต่เป็นพื้นเรียบ ๆ มีแค่โต๊ะกับตู้ชั้นวางของ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์หลากหลายชนิดเท่านั้น มองดูแล้วหาได้มีกลิ่นอายถึงความเป็นแฟนตาซีหรือโลกเวทมนตร์เลยแม้แต่น้อยเนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

               สามนักเรียนจอมเวทฝึกหัดหยิบชุดกาวน์สีขาวจากตู้เสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่ พร้อมแว่นนิรภัยเพื่อป้องกันสารเคมีระคายเคืองดวงตา ระหว่างนั้นเองสเตฟาเนียได้ถอดหมวกแม่มดออกจากศีรษะแล้ววางทับลงบนกระเป๋าเป้ของตน ก่อนจะเริ่มต้นเข้าสู่ชั่วโมงเรียนพิเศษอย่างไม่รีรอ

               “พวกรุ่นพี่คิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการปรุงยาพิษนั้นคืออะไร?”

               “ไม่น่าถามเลย ก็ต้องเป็นยาที่ทำให้ศัตรูถึงแก่ความตาย หรือได้รับอันตรายอย่างเต็มประสิทธิภาพยังไงล่ะ”

               วัตสันให้คำตอบอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องเสียเวลาคิดให้ยุ่งยาก ทว่าเด็กสาวกลับส่ายหน้าเอือมระอาไปมาพร้อมทั้งเอ่ยถ้อยคำตัดพ้อแบบไม่เกรงอกเกรงใจ

               “รุ่นพี่วัตสัน เป็นถึงนักปรุงยารักษาโรคภัยไข้เจ็บแท้ ๆ ไม่น่าตอบกลับส่งเดชแบบนี้เลยนะคะ”

               “สิ่งสำคัญที่สุดนอกเหนือจากการปรุงยาพิษก็คือ เราต้องทำความเข้าใจถึงส่วนประกอบของมันอย่างถี่ถ้วน และต้องผลิตยาถอนพิษออกมาให้สำเร็จด้วย ไม่งั้นจะไม่ถูกนับว่าเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบ”

               เลวอนอธิบายเหตุผลหลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ไม่นาน สเตฟาเนียถึงกับยกมือดีดนิ้วชี้ไปยังอีกฝ่ายพลางฉีกยิ้มอย่างชอบใจ ก่อนจะเสริมเนื้อหาเพิ่มเติมอีกครั้ง

               “ใช่แล้วค่ะ เราจำเป็นต้องทำยาถอนพิษขึ้นมาเพื่อทดสอบให้แน่ใจก่อนที่จะนำไปใช้งานจริง เพราะถ้าหากว่าเราโดนยาพิษเล่นงานเข้าเสียเองจนหมดหนทางรักษา ก็ถือว่าผลงานนั้นได้คร่าชีวิตเราไปด้วย”

               “จริงด้วยแฮะ เพราะขนาดยารักษาโรคที่ฉันทำขึ้นมายังต้องทดลองใช้กับตัวเองก่อนจะนำไปแจกจ่ายให้คนอื่นเลย… แต่จะว่าไปแล้วฉันเคยได้ยินข่าวลือมาว่าเธอแอบผลิตยาเสน่ห์ขายให้กับพวกสาว ๆ ด้วยนี่นา อย่าบอกนะว่าเธอเอาไปทดลองใช้กับพวกผู้ชายในโรงเรียนมาแล้ว!?”

               วัตสันหันไปทักท้วงทำสีหน้าคิ้วขมวดด้วยความคลางแคลงใจ แม่มดสาวจึงเฉลยคำตอบด้วยกิริยาท่าทีพร้อมน้ำเสียงฟังดูราบเรียบ ราวกับว่าสิ่งที่เธอเคยทำลงไปนั้นไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตแต่อย่างใดเลย

               “ตายจริงช่างสังเกตเหมือนกันนี่คะ เรื่องนั้นอย่าได้เป็นห่วงไปเลย ฉันได้ใช้ยาถอนฤทธิ์ให้พวกเขาไปหมดแล้ว แต่ยังมีพวกผู้ชายบางคนคอยตามตื๊อฉันไม่เลิกสักที”

               “นึกแล้วเชียว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมข่าวลือเรื่องที่เธอมีพวกผู้ชายคอยตามตื๊อถึงได้แพร่สะพัดไปทั่วขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเลวอนเองก็โดนยัยนี่ป้ายยาเสน่ห์ไปแล้วหรอกเหรอ!?”

               “ฉันไม่ใช้วิธีขี้โกงทำเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ แต่จะใช้เสน่ห์และความสามารถของฉันพิชิตใจรุ่นพี่เลวอนให้อยู่หมัดแทน”

               สเตฟาเนียขยับเท้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพัน เงยใบหน้าช้อนตามองแล้วใช้ปลายนิ้วเรียวงามแตะบริเวณปลายคางร่างสูงแกร่ง จนเลวอนแก้มแดงระเรื่อหลบสายตาไปทางอื่นเล็กน้อยด้วยความเหนียมอาย

               “ด… เดี๋ยวสิสเตฟก้า คนอื่นเขากำลังแอบดูพวกเราอยู่นะ”

               คนอื่นที่เขากล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ หมายถึงเหล่าวัยรุ่นชายหญิงที่กำลังจับจ้องเฝ้าดูสถานการณ์จากภายนอกผ่านทางหน้าต่างและบานประตูด้วยความใคร่รู้นั่นเอง แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มชำเลืองหางตามองดูผู้คนเหล่านั้นประเดี๋ยวหนึ่ง ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มเกริ่นน้ำเสียงกระซิบหยอกล้อคู่สนทนา

               “ไม่เห็นจะต้องแคร์คนพวกนั้นเลย ว่าแต่รุ่นพี่เลวอนเขินได้น่ารักดีนะคะ~”

               “เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย บรรยากาศสีชมพูนี่มันอะไรกัน วันนี้พวกเรามาที่นี่เพื่อฝึกสอนเลวอนนะเฟ้ย เมื่อไหร่จะเริ่มกันสักทีล่ะฟะ ไม่งั้นฉันจะใช้คาบเช้านี้สอนวิชาปรุงยารักษาโรคแล้วนะ เอาล่ะเด็ก ๆ รีบถอยออกไปจากโต๊ะซะ เดี๋ยวฉันจะแสดงฝีมือเอง”

               พ่อมดหนุ่มจอมทะเล้นส่งเสียงทักท้วง พลางกวักมือไล่ให้สเตฟาเนียถอยออกห่างจากเพื่อนสนิทตน ทว่าเด็กสาวกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง หันมาทำสีหน้าบึ้งตึงใส่อีกฝ่ายแล้วชี้นิ้วไปยังมุมห้อง ก่อนจะเชือดเฉือนเขาด้วยถ้อยคำที่ฟังดูเจ็บแสบ

               “รุ่นพี่วัตสันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายหลบไป… ไม่สิ กรุณาไสหัวกลับบ้านไปเถอะค่ะ ฉันจะเป็นคนสอนรุ่นพี่เลวอนแบบสองต่อสองเอง อยู่ไปมีแต่จะเกะกะพวกเราเปล่า ๆ ฉันน่ะนอกจากยาพิษแล้วการปรุงยารักษาโรคเองก็ได้เกรด A ไม่แพ้คุณเหมือนกันนะคะ”

               “อ้าว พูดแบบนี้ก็สวยสิ! งั้นมาแข่งขันปรุงน้ำยาสรรพรสกันหน่อยไหม ทำเสร็จแล้วค่อยให้เลวอนเป็นคนชิมและตัดสิน ใครทำออกมาได้ดีที่สุดคือผู้ชนะ ส่วนคนแพ้ต้องเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ว่ายังไงล่ะ!?”

               คราวนี้วัตสันทำหน้าคิ้วขมวด ส่วนสเตฟก้ารีบตอบรับคำท้าอย่างไม่รีรอ

               “ยังไม่เข็ดจากรอบที่แล้วงั้นสินะคะ ถ้างั้นมาเริ่มแข่งกันเลยดีกว่าค่ะ”

               “ท… ทั้งสองคนใจเย็น ๆ กันก่อนนนนนน!”

               เลวอนพยายามห้ามปรามไม่ให้วัตสันและสเตฟาเนียต้องมาเสียเวลาชิงดีชิงเด่นกันเอง แต่ดูท่าทางทั้งคู่นั้นจะไม่ยอมลดราวาศอกลงเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเขาจึงจำใจทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินตามที่ตกลงกันเอาไว้ กว่าที่การเรียนการสอนจะเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังเวลาก็ได้ล่วงเลยไปจนเกือบถึงคาบพักกลางวันเสียแล้ว

               ศึกในครั้งนี้ชัยชนะได้ตกเป็นของสเตฟาเนีย วัตสันจำต้องทำใจควักสตางค์ตนเองคอยเป็นเจ้ามือ เลี้ยงมื้อเที่ยงให้แก่เพื่อน ๆ ทั้งสองคนอย่างช่วยไม่ได้

Options

not work with dark mode
Reset