แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 33: สเตฟาเนีย (บรรยายมุมมองที่ 1)

               ที่นี่คือห้องหลบภัยชั้นใต้ดิน ณ บ้านร้างแห่งหนึ่ง โดยอยู่ลึกห่างจากภาคพื้นประมาณหนึ่งร้อยเมตร ยากที่จะมองเห็นทางออกชัดเจนหากลองสังเกตจากข้างในปล่องไฟ ภายในนั้นมืดสลัวเย็นยะเยือก ไร้ซึ่งประตูหรือบานหน้าต่างใด ๆ แต่กลับมีข้าวของเครื่องใช้อย่างเตียงนอน ชั้นวางหนังสือ โต๊ะทำงาน หรือแม้กระทั่งโซฟาตั้งวางอยู่ตามมุมห้อง

               ถ้าจะบรรยายพอให้เห็นภาพแบบง่าย ๆ ก็เหมือนกับการย้ายห้องนอนส่วนตัวมายังชั้นใต้ดิน แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดว่าทำไม แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าน่าจะมีไว้เพื่อใช้หลบภัยสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากบ้านหลังนี้มีอายุเก่าแก่พอสมควร อีกทั้งประเทศเช็กเกียยังเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจสักเท่าไหร่

               ท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้องค่อนที่ข้างคับแคบ ไม่มีแม้แต่โคมไฟหรือตะเกียงสักดวง พร้อมทั้งสภาพอากาศอันหนาวเหน็บชวนขนลุกซู่ ทว่าแสงสีเหลืองนวลส่องสว่างจากตัวดาบคาตานะซึ่งปักอยู่บนซอกแผ่นไม้ตรงพื้นระเบียง เลยทำให้ที่แห่งนี้ลดความน่าสะพรึงกลัวพอบรรเทาความหนาวสั่นลงได้บ้าง

               ดังนั้นความเงียบเหงาวังเวงใจที่คอยปกคลุมอยู่จึงได้มลายหายสิ้นไป โดยมีความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ สำหรับฉันต่อให้ต้องอยู่ภายในห้องแห่งนี้ตามลำพังเพียงแค่ช่วงระยะสั้น ๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร

               ฉันคือ สเตฟาเนีย เลฮารอฟว่า เป็นแม่มดฝึกหัดธรรมดาคนหนึ่งจากหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ได้ออกมาปฏิบัติภารกิจปราบภูตผีปีศาจนอกสถานที่ตามเควสซึ่งได้รับมอบหมายมา โดยงานในครั้งนี้คือการสังหารปีศาจนักเชิดมนุษย์ Aka Manah เนื่องจากเขาเป็นตัวอันตรายสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงเหล่าพ่อมดแม่มดอีกด้วย

               ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวฉันคนเดียว ครั้งนี้ยังมีเหล่าผองเพื่อนอีกเก้าชีวิตเดินทางมาปฏิบัติภารกิจในฐานะทีม The Order of the Dragon อีกด้วย เพื่อต่อสู้โค่นล้มอสุรกายแรงค์ C เพียงหนึ่งตน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่อาจเอาชนะมันได้ทั้งที่จำนวนกำลังพลเยอะกว่า มิหนำซ้ำยังมีพวกพ้องบางส่วนได้รับบาดเจ็บสาหัสรวมถึงถูกจับเป็นตัวประกันอยู่

               ในขณะที่ตัวฉันเองก็เสียท่าจากการโจมตีครั้งล่าสุดของปีศาจตนนั้น จนร่วงหล่นสู่ชั้นใต้ดินผ่านทางช่องปล่องระบายควันที่มีความลึกมากกว่าหนึ่งร้อยเมตร แต่ก็ได้ใช้พลังเวทมนตร์เฮือกสุดท้ายเพื่อช่วยเหลือตนเองโดยการหยุดเวลาทุกสรรพสิ่ง

               ถึงจะบอกว่า “ต่อให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวก็คงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ก็เถอะ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ฉันคงไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดในห้องใต้ดินเพียงลำพังแน่ และอาจต้องสูญเสียเหล่าผองเพื่อนที่กำลังต่อสู้กับปีศาจ Aka Manah อย่างเอาเป็นเอาตายอีกด้วย ถือเป็นความผิดพลาดครั้งร้ายแรงในรอบปีเลยก็ว่าได้ แต่หากเทียบกับเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ผ่านมาในอดีตล่ะก็แค่นี้ยังถือว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ

               อย่างไรก็ตาม ในความโชคร้ายนั้นย่อมมีความโชคดีอยู่เสมอ เพราะไม่ได้มีเพียงแค่ฉันคนเดียวที่ตกลงมายังห้องลับแห่งนี้ ดังนั้นจึงยังพอรู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง

               เลวอน ทาวิเทียน เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนนัยน์ตาสีอำพันผู้แสนสุภาพเรียบร้อย กำลังนอนหนุนตักฉันราวกับน้องชายผู้ไร้ซึ่งเดียงสา ภายหลังจากที่เราสองคนได้พลอดรักร่วมกันบนเตียงจนสาสมแก่ใจมาเป็นเวลาพักหนึ่ง

               แม้จะทำไปเพราะด้วยความจำเป็นภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ทว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ได้มอบให้แก่ฉันนั้นช่างมากล้นเสียเหลือเกิน ราวกับว่าฉันคือคนสำคัญสำหรับเขา ทั้ง ๆ ที่สถานะของเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันไปมากกว่านี้เลยนอกจากเพื่อน

               มิหนำซ้ำผู้ชายคนนี้ยังให้เกียรติคนที่มีนิสัยพูดจาโผงผางอย่างฉัน ถึงขนาดยอมเสี่ยงชีวิตเอาตัวเข้ามาขวางการโจมตีจาก Aka Manah เพื่อปกป้องฉัน โดยไม่สนว่าตัวเองอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสตามไปด้วย ช่างเป็นคนที่กล้าหาญบ้าบิ่นเสียจริง

               มิหนำซ้ำคนคนนี้ยังมีความแตกต่างไปจากเหล่าบรรดาหนุ่ม ๆ ที่ฉันเคยพบเจอมาอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่เดิมทีตัวเราไม่ได้มีความสนใจอะไรในตัวผู้ชายเลยแม้แต่น้อย พวกเขาชอบทำตัวน่าขยะแขยง ใช้สายตาจ้องแทะโลมเรือนร่างหวังจะทำมิดีมิร้ายอยู่ตลอดเวลา แต่ในกรณีของรุ่นพี่เลวอนแล้ว ด้วยความที่มีนิสัยสุภาพอ่อนโยน ให้เกียรติต่อเพศตรงข้าม มีความมุมานะไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น จึงทำให้ฉันรู้สึกสนใจในตัวเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

               ในท้ายที่สุดแล้วกำแพงหัวใจที่ฉันสร้างขึ้นมาก็ได้พังทลายลง

               ถ้าหากไม่ได้รุ่นพี่เลวอนร่ายคาถา Retardo (คาถาทำให้เชื่องช้า) ล่ะก็ ทั้งฉันและเขาคงไม่ได้มาลงเอยในสภาพแบบนี้เป็นแน่ ต้องขอขอบคุณตารางการฝึกพิเศษจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟเหลือเกิน ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งขึ้นในหลาย ๆ ความหมาย ถึงแม้เดิมทีเขาจะเป็นคนที่มีไหวพริบและช่างสังเกตอยู่แล้วก็ตาม

               ครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักกับรุ่นพี่เลวอน บอกตามตรงว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรในตัวเขาเลยสักนิด คิดว่าน่าจะเป็นผู้ชายจอมกะล่อนไม่ต่างจากรุ่นพี่วัตสัน ทว่าหลังจากที่ได้ลองพูดคุยกับเขาดูแล้ว ทัศนคติของฉันที่มีต่ออีกฝ่ายก็เริ่มเปลี่ยนไป

               ฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมโมนิก้าถึงได้หลงรักเขามากขนาดนี้

               และตอนนี้ฉันเองก็เริ่มหลงเสน่ห์ในตัวเขาแล้วเช่นเดียวกัน

               ความรู้สึกของฉันที่มีให้ต่อรุ่นพี่เลวอนคงไม่มากมายถึงขนาดนี้แน่ ๆ ถ้าหากตอนนั้นเขาไม่ได้เข้ามาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเรา แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้นั่นไม่ใช่ครั้งแรก ถ้าหากนับเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เข้าไปด้วย วันนั้นรุ่นพี่เลวอนได้เข้ามาช่วยเหลือฉันให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของมิโนทอร์ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าตัวจริงของเด็กสาวปริศนาที่เขากำลังปกป้องอยู่เป็นใคร

               ใช่แล้ว ฉันคือบุตรีแห่งไซตอน ลูกสาวของจอมมารปีศาจผู้ซึ่งเป็นศัตรูกับมนุษยชาตินี่เอง ถึงกระนั้นแล้วตั้งแต่เกิดมาฉันก็ยังไม่เคยได้พบเห็นใบหน้าของคนเป็นพ่อเลยสักครั้ง แม้แต่รูปถ่ายหรือรูปวาดที่บ่งบอกถึงรูปพรรณสัณฐานของเขาก็ไม่ได้มีหลงเหลืออยู่เลยสักใบ

               ฉันในตอนนี้แทบไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่คอยเลี้ยงดู โชคดีที่ได้ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟคอยอุปถัมภ์ค้ำชูตั้งแต่ยังแบเบาะราวกับเป็นหลานปู่แท้ ๆ อีกทั้งยังบอกถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของฉันให้ทราบด้วย ครั้นจะประกาศความลับให้ชาวบ้านทุกคนรู้ก็มีแต่จะสร้างความแตกตื่นเสียมากกว่า เนื่องจากไซตอนยังมีชีวิตอยู่แม้จะมีข่าวลือเรื่องที่ว่าสภาพร่างกายของเขากำลังอ่อนแอลงก็ตาม

               แต่ถึงกระนั้นแล้วจอมมารก็ยังเป็นบุคคลที่น่ากลัวอยู่วันยังค่ำ ด้วยเหตุนี้ความลับของฉันจึงต้องถูกเก็บเข้ากรุต่อไป

               หลังจากเหตุการณ์ตอนที่รุ่นพี่เลวอนต่อสู้กับมิโนทอร์ ฉันคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะรู้สึกตัวแล้วล่ะว่าตัวจริงของฉันเป็นใคร เพราะจุดเด่นของบุตรีแห่งไซตอนนั้นคือมีกลิ่นกายที่หอมเหมือนผลไม้ทับทิม แม้ว่ารุ่นพี่ฮิคาริ โมนิก้า และซิสเตอร์เวสน่า จะมีกลิ่นตัวที่คล้ายคลึงกันก็ตาม

               แต่รุ่นพี่เลวอนเลือกที่จะปิดบังความลับเอาไว้ มิหนำซ้ำยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อให้สถานะของฉันยังคงปลอดภัย อีกทั้งยังรักษาน้ำใจฉันด้วย ช่างเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนและใจดีไม่เข้าเรื่องเสียจริง… แต่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจเขาที่เป็นแบบนี้หรอกนะ

               นอกจากตัวตนที่แท้จริงของฉันแล้ว ยังมีความลับอีกหนึ่งอย่างที่ยังคงปิดเงียบเอาไว้อยู่ ถ้าหากรุ่นพี่รู้เข้า เมื่อถึงเวลานั้นเขายังคงจะรู้สึกดีต่อฉันเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มาบ้างรึเปล่า ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับใครเลยก็ตาม แต่นั่นก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฉันกลายมาเป็นคนที่มีนิสัยพูดจาโผงผาง และไม่คิดอยากจะโกหกใครอีกต่อไปแล้วด้วย

               เพราะฉันเคยทำให้เพื่อนสนิทคนหนึ่งต้องกลายมาเป็นศัตรูจนถึงทุกวันนี้ เพียงเพราะคำโกหกและการปิดบังความจริง โดยที่เรื่องราวทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นในวันนั้นล้วนเป็นความผิดของฉันทั้งสิ้น

               ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเด็ดขาด แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีความกล้าพอที่จะสารภาพความลับนี้ออกไป สุดท้ายจึงทำได้แค่เพียงจ้องมองใบหน้าของพ่อมดหนุ่มที่นอนหนุนตักตนด้วยความสลดใจเท่านั้น

               ผู้ชายที่ใสซื่อไร้เดียงสา สุภาพเรียบร้อย มีความมุมานะอย่างแรงกล้า เอาใจใส่ผองเพื่อนและคนรอบข้างจนบางครั้งก็ลืมให้ความสำคัญแก่ตนเอง คนแบบนี้ฉันคงปล่อยให้เขาออกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอกตามลำพังไม่ได้เด็ดขาด ฉันจำเป็นจะต้องอยู่เคียงข้างรุ่นพี่เลวอนต่อไปจนกว่าวันสุดท้ายมาถึง ตอบแทนเรื่องที่อีกฝ่ายเคยช่วยชีวิตเราเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา

               บางครั้งฉันก็แอบคิดขึ้นมาได้ว่า มันคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักเท่าไหร่นัก ถ้าหากฉันเผลอตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ขึ้นมา แม้อาจจะต้องรู้สึกผิดต่อโมนิก้าไปบ้าง แต่ฉันก็อยากจะทำตามเสียงของหัวใจตนเองดูบ้าง

               รุ่นพี่เลวอน…

               คุณเลวอน…

               เลฟ…

               ฉันอยากจะเรียกชื่อเล่นของเขาดูสักครั้ง ถ้าหากอีกฝ่ายไม่คิดถือสาเอาความอะไร ที่สำคัญอายุของเราสองคนก็ไม่ได้ห่างกันมากเสียด้วยซ้ำ ต่างกันเพียงแค่เดือนเกิดเท่านั้นเอง

               “มีอะไรเหรอสเตฟก้า?”

               รุ่นพี่เลวอนลืมตาเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา ฉันจึงส่งยิ้มบาง ๆ พร้อมทั้งให้คำตอบกลับไปเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง โดยการพูดจาแซวใส่เขาตามปกติ

               “เปล่าค่ะไม่มีอะไร ฉันแค่แอบคิดในใจว่ารุ่นพี่เลวอนเป็นผู้ชายที่ลามกสุด ๆ ก็เท่านั้นเอง ไม่นึกเลยว่าผู้ชายที่มีบุคลิกสุภาพเรียบร้อยอย่างคุณจะกล้าลงมือทำอะไรกับฉันแบบนั้นได้”

               “โธ่เอ๊ย… ใช่สิผมมันเป็นผู้ชายร้ายกาจนี่นา”

               รุ่นพี่เลวอนคิ้วขมวดพลางแก้มใส่เล็กน้อยราวกับเด็กสาวผู้มีนิสัยแง่งอน… แย่ล่ะสิ ดูเหมือนเราจะใช้คำพูดคำจาแรงเกินไปรึเปล่านะ ทั้งที่ทางนี้ไม่ได้มีเจตนาจะถากถางเขาเลยสักนิด

               ถึงกระนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้ใช้คำพูดรุนแรงโต้ตอบกลับคืนมาเลย ด้วยเหตุนี้ฉันจึงรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น โดยกล่าวคำขอโทษเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความขุ่นมัวภายในใจ

               “ขอโทษค่ะ ฉันทำให้รุ่นพี่โกรธรึเปล่า?”

               “ไม่โกรธหรอก ก็แค่อยากจะแกล้งสเตฟก้าคืนน่ะ”

               คราวนี้รุ่นพี่เลวอนเป็นฝ่ายเผยรอยยิ้มจางให้เห็นบ้าง สิ่งที่เขาพูดและแสดงท่าทางออกมานั้นปราศจากความเสแสร้งโดยสิ้นเชิง ด้วยความที่อีกฝ่ายมีบุคลิกนิสัยใจดีอยู่แล้ว ฉันจึงพูดหยอกล้อเขาต่อไปพอหอมปากหอมคอ

               “แต่เมื่อครู่นี้ดูเหมือนรุ่นพี่กำลังโกรธฉันอยู่จริง ๆ นะคะ”

               “แค่รู้สึกแอบน้อยใจเฉย ๆ ก็เพราะโดนทุกคนพูดจากลั่นแกล้งบ่อยนี่แหละ ผมถึงได้กลายมาเป็นผู้ชายแบบนี้ยังไงล่ะ”

               “คงเป็นเพราะรุ่นพี่น่ารักน่าแกล้งเหมือนเจ้าลูกแกะยังไงล่ะคะ”

               ฉันกล่าวออกไปแบบนั้น รุ่นพี่เลวอนก็ถึงกับแก้มแดงระเรื่อพลางหลบสายตามองไปทางอื่น อีกทั้งยังแสดงสีหน้ายิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างเหนียมอาย เห็นแล้วก็ช่างดูน่ารักน่าหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก

               “ได้ยินแบบนี้ผมควรจะดีใจไหมนะ แต่รอบนี้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกชมเลยแฮะ”

               “ก็ชมนั่นแหละค่ะ ปกติแล้วฉันไม่ชอบพูดจาเยินยอผู้ชายหรอกนะคะ”

               ฉันส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ปิดท้าย จากนั้นความเงียบสงบก็เริ่มกลับมาเยือนอีกครั้งโดยทิ้งช่วงบทสนทนาเป็นเวลาพักหนึ่ง ในขณะที่เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนยังคงนอนพักผ่อนหนุนตักฉันต่อไป เพื่อฟื้นฟูพลังเวทและพละกำลังให้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มร้อย

               ในสถานการณ์เช่นนี้ฉันควรจะบรรยายความรู้สึกบางอย่างออกไปให้รุ่นพี่เลวอนได้รับฟัง เพราะโอกาสที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองนั้นมีน้อยมาก ฉันจึงตัดสินใจเปิดเผยถ้อยคำบางสิ่งที่อยู่ภายในส่วนลึกออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

               “รุ่นพี่เลวอน”

               “หืม?”

               “สักวันหนึ่งฉันบอกความลับอะไรบางอย่างให้รุ่นพี่ฟังเอง จนกว่าจะถึงตอนนั้นรบกวนช่วยอดทนรอต่อไปอีกสักหน่อยจะได้ไหมคะ…?”

               แม้จะเป็นประโยคที่ฟังดูคลุมเครือและเต็มไปด้วยปริศนา แต่เชื่อได้เลยว่ายังไงเสียรุ่นพี่เลวอนก็คงต้องรู้อยู่แล้วว่าฉันกำลังหมายถึงเรื่องอะไร อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาล่วงรู้อยู่ ณ ตอนนี้ยังถือเป็นความลับแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

               “เข้าใจแล้ว ผมจะอดทนรอจนกว่าสเตฟก้าจะพร้อม เพราะงั้นอย่าได้กังวลไปเลยนะ” รุ่นพี่เลวอนหันมาสบสายตามองฉันโดยตรงพร้อมทั้งแย้มสรวลอย่างอบอุ่น

               “…ขอบคุณมากนะคะ”

               ฉันเผยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มจางโดยที่สองแก้มรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย ก่อนจะส่งมอบความรู้สึกโดยการนำมือขวาลูบสางเรือนผมสีขาวอันบริสุทธิ์ของเขา พร้อมนำมืออีกข้างวางประทับลงบนกลางอกร่างสูงโปร่งอย่างอ่อนโยน จนสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นหัวใจ

               รุ่นพี่เลวอนได้นำมือขวาที่วางประสานอยู่บนหน้าท้องตน เลื่อนขึ้นมาสัมผัสกับมือบางของฉันเพื่อตอบรับความรู้สึกนี้พร้อมด้วยรอยยิ้มละมุนละไม จากนั้นเด็กหนุ่มจึงปิดเปลือกตาลงเพื่อพักผ่อนอีกครั้ง

               หัวใจของฉันไม่อาจต้านทานผู้ชายคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

               ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ เห็นทีฉันคงต้องทำตามแรงปรารถนาของตนเองเสียแล้วสิ

               หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจผู้หญิงฉันนะคะ… เลฟ

Options

not work with dark mode
Reset