แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 45: ความในใจของอิทสึกิและวัตสัน

               โมนิก้า อิทสึกิ วัตสัน และฮิคาริ ต่างยืนชมวิวทิวทัศน์บนทางเดินเท้าริมแม่น้ำวัลตาวา โดยอยู่ห่างจากสะพานชาร์ลส์ไม่ถึงร้อยเมตร หลังจากที่เหล่าหนุ่มสาวทั้งที่คนแวะเยี่ยมชมร้านค้าและสถานที่ต่าง ๆ ในจัตุรัสเมืองเก่ากรุงปรากจนอิ่มหนำใจ ท่ามกลางฝูงชนนักท่องเที่ยวซึ่งกำลังพลุกพล่านไปมาในช่วงเวลาบ่ายสามโมงเย็น

               ฮิคาริหยิบสมาร์ตโฟนกรอบสีม่วงขึ้นมาเช็กดูภาพถ่ายที่ตนได้บันทึกเอาไว้ในวันนี้ ระหว่างนั้นเธอได้เหลือบเห็นโมนิก้าซึ่งยืนอยู่เคียงข้างตนอยู่กำลังทำหน้าเหม่อลอยราวกับอมทุกข์ ทำให้ซามูไรสาวนึกสงสารเห็นใจอีกฝ่าย วัตสัน และอิทสึกิที่เห็นเพื่อนสนิทมีอาการเช่นนั้นเองก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้เช่นเดียวกัน

               ในขณะเดียวกัน เด็กสาวผมยาวสลวยสีขาวแกมม่วงพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ทั้งโมนิก้า อิทสึกิ และวัตสันเอง ต่างก็เป็นเพื่อนสนิทผู้ซึ่งมีความใกล้ชิดกับเลวอนมากที่สุด ตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยความที่เธอรู้สึกสนใจในตัวพ่อมดหนุ่มผู้ใสซื่อและอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ จึงเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศชวนหดหู่

               “นี่ ทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าลูกแกะนั่นใช่ไหม หมอนั่นมีนิสัยแบบนั้นมาตั้งแต่แรกเลยงั้นเหรอ?”

               “นิสัยแบบนั้นที่ท่านฮิคาริว่านี่เป็นแบบไหนหรือขอรับ?” เทพสุนัขหนุ่มเกริ่นสงสัย

               “ก็แบบว่าใจดีมีน้ำใจเกินเหตุ ให้อภัยคนง่าย เห็นใครเดือดร้อนก็รีบยื่นมือเข้าช่วยเหลือทันที จะว่ายังไงดีล่ะ… ฉันรู้สึกได้ว่าหมอนั่นมักจะให้ความสำคัญแก่คนรอบข้าง จนแทบไม่สนใจถึงความต้องการของตนเองเสียด้วยซ้ำไป ก็เลยอยากจะรู้ว่าที่ผ่านมาเลวอนเป็นคนแบบนั้นมาโดยตลอดเลยรึเปล่าก็เท่านั้นเอง”

               ฮิคาริอธิบายถึงเหตุผล พลางหมุนตัวหันหน้าเข้าหาวิวทิวทัศน์อีกฟากฝั่งหนึ่งซึ่งมีแม่น้ำเส้นใหญ่ตัดผ่าน ตามด้วยนำสองแขนวางซ้อนกันบนราวเหล็กกั้น โดยที่สีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลและรู้สึกเป็นห่วงเลวอนอยู่ลึก ๆ

               “แหม ๆ อย่าบอกนะว่าเธอหลงเสน่ห์เลวอนเข้าให้แล้ว?” วัตสันเกริ่นแซวพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง

               “พ-พ-พ… พูดบ้าอะไรของนายเนี่ย ทำไมฉันถึงต้องหลงเสน่ห์หมอนั่นด้วยเล่า!?”

               ซามูไรสาวเผยท่าทีลนลานพร้อมทั้งแก้มแดงก่ำจนถึงใบหู อิทสึกิจึงสบโอกาสนี้พูดจากลั่นแกล้งเธอโดยไม่รีรอช้า

               “อย่ากังวลไปเลยขอรับ ท่านเลวอนน่ะเขาไม่สนใจผู้หญิงที่ชอบใช้กำลังหรือทำตัวแข็งกระด้างอย่างท่านฮิคาริหรอก”

               “หน็อยแน่ คิดว่าตัวเองเป็นใครกันเจ้าลูกหมา อย่ามาพูดเองเออเองแบบนี้สิยะ!”

               “อ๋อ ๆ ต้องเป็นเลวอนเท่านั้นงั้นสินะ ถึงจะมีสิทธิ์พูดอะไรแบบนั้นกับเธอได้”

               วัตสันเผลอหลุดปากพูดจาแทงใจดำ ในที่สุดฮิคาริก็มิอาจสะกดกลั้นอารมณ์โทสะและความเขินอายเอาได้อีก รีบก้าวเท้ายื่นมือทั้งสองขยุ้มเข้าที่ปากของสองเด็กหนุ่มอย่างจังจนอีกฝ่ายส่งเสียงร้องสั้น ๆ ในลำคอ มิหนำซ้ำยังออกแรงบีบขยุ้มแก้ม ส่งผลให้ใบหน้าของพ่อมดนักปรุงยากับบุรุษเทพสุนัขบิดเบี้ยวชวนตลกขบขันทันที

               “ถ้าหากยังอยากเก็บฟันเอาไว้เคี้ยวข้าวอยู่ล่ะก็ช่วยเลิกพูดจาอะไรโง่ ๆ สักทีเถอะ เข้าใจแล้วใช่ไหมเจ้าพวกบ้า!?”

               ยุวสตรีในชุดเครื่องแบบสีดำนิลส่งสายตาอำมหิตใส่ วัตสันและอิทสึกิรีบผงกศีรษะยอมรับคำเตือนโดยดุษณีทั้งน้ำตาคลอ โมนิก้าซึ่งยืนมองดูท่าทีของทั้งสามคนอย่างเงียบ ๆ จึงเผลอส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ลืมความหม่นหมองภายในใจไปเพียงชั่วขณะหนึ่ง สร้างความประหลาดใจให้แก่เหล่าผองเพื่อนอยู่ไม่น้อย

               “ที่จริงแล้วคุณเลวอนเองก็เคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคุณฮิคาริให้ฉันฟังอยู่บ้าง” เด็กสาวพูดปลอบประโลมพร้อมรอยยิ้ม “แถมเขายังชื่นชมในความสามารถของคุณอีกด้วย ไม่มีทางที่เขาจะนึกรังเกียจผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างคุณหรอกนะคะ”

               “ง-งั้นเหรอ…? ให้ตายสิเจ้าลูกแกะบ้า แอบเอาเรื่องของฉันมานินทาให้คนอื่นฟังจนได้ เห็นทีตอนฝึกสอนดาบครั้งหน้าคงต้องเคี่ยวเข็ญหมอนั่นให้หนักกว่าเดิมแล้วล่ะ”

               ฮิคาริเผยท่าทีเย็นใจพลางคลายมือออกจากใบหน้าของวัตสันและอิทสึกิ ก่อนจะก้าวเท้าถอยหลังกลับไปยังตำแหน่งเดิมทั้งที่แก้มแดงระเรื่อ แม้จะแสดงสีหน้าคิ้วขมวดไม่สบอารมณ์ออกมาบ้าง ทว่าภายในใจนั้นกลับรู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

               “เธอกำลังดีใจอยู่งั้นสินะอิทสึกิ?”

               “กำลังดีใจอยู่นั่นแหละขอรับท่านวัตสัน”

               วัตสันและอิทสึกิจับกลุ่มซุบซิบในระยะเผาขน แล้วหันหน้าส่งสายตามองฮิคาริด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม สตรีจอมดาบเวทพลันจ้องเขม็งกลับคืนไปทันที ทำเอาสองบุรุษหนุ่มถึงกับสะดุ้งตกใจกลัวโดยที่ใบหน้าซีดเผือดพร้อมผุดเม็ดเหงื่อ ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะไม่พูดจากลั่นแกล้งใส่เธออีก

               โมนิก้าเริ่มตอบข้อสงสัยของฮิคาริ พลางทอดสายตามองไปยังเมืองอีกฟากฝั่งหนึ่งอย่างเหม่อลอย

               “คุณเลวอนเขาเป็นคนแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะค่ะ เดิมทีเขาไม่ใช่คนของหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานตั้งแต่กำเนิด ด้วยเชื้อชาติและภาษาที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังป่วยด้วยโรคประจำตัวจากคำสาปร้ายของวลาดที่สาม สิ่งนั้นเลยทำให้ตัวเองรู้สึกโดดเดี่ยวมาโดยตลอด และคิดว่าคงไม่มีใครกล้าเป็นเพื่อนกับเขาแน่

               หลังจากที่พวกเราได้รู้จักกับคุณเลวอน เขาก็เริ่มเกิดความรู้สึกไม่อยากจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป เดิมทีคุณอาเลออนกับคุณน้าเยวา… พ่อแม่ของคุณเลวอนเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว ก็เลยได้รับอิทธิพลมาจากนิสัยดังกล่าว เขามักให้ความสำคัญและเอาใจใส่ต่อคนรอบข้างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าหรือเพิ่งพบกันครั้งแรกก็ตาม

               แต่เพราะด้วยนิสัยที่ใจดีมากเกินไปจนไม่สนใจตัวเองนี่แหละค่ะ เลยกลายเป็นข้อเสียร้ายแรงอย่างหนึ่ง”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้าได้หันมาแย้มสรวลจาง ๆ หลังจากพูดจบ ฮิคาริเผยสีหน้าตาโตเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ พลางนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เธอได้พบเจอกับเลวอนเป็นครั้งแรกขึ้นมา ก่อนจะผงกศีรษะแล้วกล่าวเห็นพ้อง

               “อืม… คำพูดสุดท้ายนี่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ขนาดตอนอุบัติเหตุในครั้งนั้นฉันเผลอเอาสันดาบฟาดใส่กลางอกเจ้าลูกแกะแบบไม่ยั้งมือ หมอนั่นก็ยังไม่คิดที่จะโกรธเคืองใส่ฉันเลยทั้งที่ตัวเองเจ็บเจียนตาย แถมยังนำทางพาฉันไปพบศาสตราจารย์ยาโรสลาฟที่ปราสาทสีขาว เลี้ยงมื้อเที่ยงเป็นการไถ่โทษ แล้วยังพาแวะชมสถานที่ต่าง ๆ ภายในหมู่บ้านอย่างเต็มใจอีกต่างหาก… จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกผิดไม่หายเลย อย่างน้อยก็ช่วยดุด่าฉันสักคำหน่อยสิยะตาบ้าเอ๊ย”

               น้ำเสียงของฮิคาริเริ่มแผ่วเบาลง สีหน้าและอากัปกิริยาของเธอแสดงให้เห็นถึงมุมอันแสนอ่อนโยนออกมา อิทสิกิ และวัตสันที่เพิ่งเคยเห็นท่าทีดังกล่าวเป็นครั้งแรกถึงกับตะลึงพรึงเพริดทันที ทั้งที่ในยามปกติแล้วเธอมักจะแสดงภาพลักษณ์เย่อหยิ่ง สง่างาม และมีความเป็นผู้นำสูงอยู่เสมอ

               คุณฮิคาริเองก็แอบสนใจคุณเลวอนอยู่เหมือนกันงั้นสินะคะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่รู้สึกตัวก็เถอะ เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งรีบพูดออกไปดีกว่า เดี๋ยวจะโดนโกรธเสียเปล่า… ให้ตายสิ ความใจดีของคุณเลวอนเนี่ยช่างสร้างปัญหาให้กับผู้หญิงเสียจริง ๆ”

               โมนิก้านึกครึ้มภายในใจ พลางหลบสายตามองไปทางอื่นเล็กน้อยด้วยสีหน้าคิ้วขมวด

               “เหตุการณ์ในครั้งนั้น ท่านฮิคาริเกือบได้กลายเป็นฆาตกรไปแล้วนะขอรับรู้ตัวบ้างไหม?” อิทสึกิเกริ่นทักท้วง

               “ถึงจะช้าไปหน่อยแต่ต้องขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า ถ้าหากเลวอนตายไปตอนนั้น ฉันจะไม่มีวันยกโทษให้เธอเด็ดขาด”

               วัตสันเผยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง ผิดไปจากบุคลิกมาดทะเล้นอย่างสิ้นเชิง เมื่อคนที่เป็นถึงเพื่อนสนิทของเลวอนย้ำเตือนเช่นนั้น ฮิคาริจึงพลันหลบสายตาไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่าย พร้อมทั้งกล่าวสำนึกผิดต่อเพื่อน ๆ ทุกคนด้วยความขื่นขม

               “ข… ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดแก้ตัวทั้งนั้น”

               “พูดแรงเกินไปแล้วนะคะวัตสัน ก็ตอนนั้นคุณฮิคาริเธอไม่รู้นี่นาว่าคุณเลวอนกำลังป่วย เพราะงั้นขอให้ทุกคนเลิกแล้วต่อกันเถอะนะคะ”

               โมนิก้ารีบหันไปตำหนิ ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองฉุกคิดขึ้นมาได้และพลอยรู้สึกผิดตามไปด้วย วัตสันจึงต้องฝังกลบความบาดหมางที่เคยเกิดขึ้น แล้วกล่าวปลอบประโลมต่อฮิคาริอย่างใจเย็น

               “ขอโทษที ทางนี้เองก็พูดจาจริงจังเกินไปหน่อย… แต่แทนที่จะกล่าวคำขอโทษ พวกเราน่ะอยากจะให้เธอช่วยดูแลและเป็นเพื่อนที่ดีต่อเลวอนมากกว่านะ”

               ฮิคาริเงยศีรษะขึ้นมา พบเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มที่แสดงถึงความอบอุ่นจริงใจของโมนิก้า อิทสึกิ และวัตสันโดยปราศจากความเสแสร้ง เธอจึงตอบรับคำขอจากพวกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               “อืม ฉันสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อเลวอน ขอเอาชื่อเสียงของตระกูลฮาชิสึเมะเป็นเดิมพัน”

               “นักดาบที่ดีเขาไม่หันอาวุธเข้าทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้หรอกนะขอรับ… แต่เอาเถอะ ตอนนั้นข้าเองก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะงั้นท่านฮิคาริควรให้อภัยตัวเองได้แล้วนะขอรับ” เทพสุนัขหนุ่มกล่าวแซวปิดท้าย

               “รู้แล้วล่ะย่ะ เลิกตอกย้ำฉันสักทีเถอะน่า…!” ฮิคาริทำหน้ามุ่ยใส่อิทสึกิ ก่อนจะวกกลับเข้าสู่บทสนทนาหลักตามปกติ “จะว่าไปแล้วพวกนายสามคนน่ะเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าลูกแกะได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อหมอนั่นแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลยนี่นา”

               “จุดเริ่มต้นทั้งหมดเป็นเพราะคุณอิทสึกินี่แหละค่ะ ลองถามเจ้าตัวดูสิคะ” โมนิก้าผายมือไปที่อิทสึกิ

               “ท… ท่านโมนิก้า ทำไมถึงต้องเป็นข้าก่อนล่ะขอรับ!?”

               “ก็เพราะท่าทางนายมันดูซื่อบื้อพอ ๆ กับเจ้าลูกแกะเลยนี่นา เลยคิดว่าหมอนั่นน่าจะติดนิสัยมาจากนายด้วยรึเปล่า… รีบเล่าออกมาซะ”

               ฮิคาริชำเลืองหางตามอง แม้แต่โมนิก้าและวัตสันเองยังต้องหันมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่เป็นแรงกดดัน อิทสึกิจึงถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนได้สดับรับฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

               “เมื่อห้าปีก่อนในสมัยที่ข้ายังมีอายุแค่สิบสองขวบ ตอนนั้นยังอ่อนแอไร้ซึ่งความสามารถ และมักจะถูกพวกอัลเบิร์ตรุมรังแกอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งข้าได้วิ่งหนีเจ้าพวกนั้นและพยายามหาที่หลบซ่อน โดยพบบ้านของครอบครัวทาวิเทียน ตอนแรกข้าคิดว่าที่นั่นคงน่าไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ด้วยความเงียบสงบวังเวงข้าเลยถือวิสาสะเปิดประตูรั้วเข้าไป…

               ระหว่างนั้นข้าได้พบเห็นท่านเลวอนกำลังเดินทำกายภาพบำบัดอยู่ในสวนหน้าบ้าน จึงตกใจและกล่าวขอโทษก่อนจะวิ่งออกจากที่นั่นเพื่อหาที่หลบซ่อนตัวใหม่ แต่ไม่ทันไรพวกอัลเบิร์ตก็รีบบุกเข้ามาข้างในแล้วกลั่นแกล้งทำร้ายข้า ท่านเลวอนในตอนนั้นสุขภาพยังไม่แข็งแรงพอและเพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นานกลับพุ่งเข้ามาช่วยเหลือเผ่าครึ่งสัตว์อย่างข้า ทำให้ท่านผู้นั้นพลอยโดนเจ้าพวกเด็กเกเรนั่นรุมรังแกไปด้วยจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ขอรับ

               โชคดีที่พ่อแม่ของท่านเลวอนมาพบเห็นจึงตวาดไล่พวกอัลเบิร์ตไป และด้วยความกล้าหาญของท่านผู้นั้นจึงกลายเป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้ข้าต้องหันมาฝึกฝนวิชาดาบกับศิลปะการต่อสู้จากท่านพ่อ เพื่อที่สักวันหนึ่งข้าจะได้ปกป้องท่านเลวอนจากพวกอันธพาลเหล่านั้น

               สำหรับข้าแล้วท่านเลวอนถือเป็นเพื่อนสนิทคนที่สามนับจากท่านวัตสันและท่านโมนิก้า เพราะท่านผู้นั้นไม่เคยรังเกียจคนอย่างข้าเลยแม้จะมีความแตกต่างเรื่องชาติพันธุ์หรือศาสนาก็ตาม ข้าจึงคิดอยากจะตอบแทนไมตรีจิตต่อท่านเลวอนโดยการชักชวนสองท่านนี้มาเป็นครูฝึกสอนเวทมนตร์ที่บ้านยังไงล่ะขอรับ”

               ประโยคสุดท้ายอิทสึกิได้ผายมือไปยังวัตสันและโมนิก้า โดยที่ตนฉีกยิ้มอย่างเหนียมอาย ฮิคาริจึงสบโอกาสนี้เกริ่นแซวใส่เทพสุนัขหนุ่มอย่างไม่รีรอช้า

               “มิน่าล่ะถึงได้ชอบทำตัวมุทะลุเหมือนกันทั้งคู่ ที่แท้ก็มีคนบ้าสองคนมาพบปะเจอกันนี่เอง”

               “พวกข้าไม่ใช่คนบ้านะขอรับ!”

               อิทสึกิรีบโต้แย้งด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ วัตสันและโมนิก้าแอบส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ

               “เอาเถอะ ก็ถือได้ว่าเป็นการพบกันครั้งแรกที่น่าประทับใจจริง ๆ นั่นแหละ… แล้วทางนั้นล่ะว่ายังไงบ้าง”

               ฮิคาริชี้นิ้วไปที่วัตสัน พ่อมดหนุ่มนักปรุงยามาดทะเล้นจึงเริ่มสาธยายพลางทำท่ากอดอกเชิดใบหน้าอย่างภาคภูมิใจ

               “แหม ตอนแรกฉันกับเลวอนยังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้นหรอก… จนกระทั่งมีช่วงเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจในตัวหมอนั่นขึ้นมาน่ะ”

               “อะไรกัน เจ้าลูกแกะเข้ามาปักธงจนนายตกหลุมรักหมอนั่นงั้นเหรอ?”

               “ยัยบ้าไม่ใช่แบบนั้นเฟ้ย!”

               วัตสันรีบปฏิเสธอย่างลนลานหลังจากที่ฮิคาริยิงมุกใส่ โมนิก้ายกมือปิดปากพยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์ ในขณะที่อิทสึกิลั่นเสียงหัวเราะออกมาแบบไม่ไว้หน้าเพื่อนสนิท จากนั้นพ่อมดหนุ่มผมสั้นสีส้มจึงส่งเสียงกระแอมเพื่อให้ทุกคนอยู่ในความสงบ แล้วกล่าวระลึกถึงความหลังอีกครั้ง

               “เรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเรารับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนการใช้เวทมนตร์คาถา และศาสตร์ความรู้เบื้องต้นวิชาต่าง ๆ ให้กับเลวอนที่พักฟื้นอยู่ภายในบ้านมาได้สักพักหนึ่ง ตอนนั้นหมอนั่นซักถามถึงความเชี่ยวชาญของพวกเรา โมนิก้าเลยตอบไปว่าเธอถนัดเรื่องการใช้คาถานอกตำราเรียนและการพยากรณ์ ส่วนฉันเกิดนึกลังเลใจที่จะไม่ตอบคำถามนั้นไป

               เดิมทีครอบครัวของฉันเป็นนักปรุงยารักษาโรค โดยสืบทอดวิชาต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แน่นอนว่าพวกเราตั้งใจทำเพื่อแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่กำลังเจ็บป่วยโดยไม่แสวงหาผลกำไร เพราะพืชพรรณสมุนไพรทั่วไปที่ใช้หาได้ตามป่านอกหมู่บ้าน เพราะแบบนั้นก็เลยถูกชาวบ้านให้ความคาดหวังอยู่บ่อยครั้ง ถึงขั้นรบเร้าขอให้พวกเราช่วยปรุงยาที่ทำให้ตัวเองยังคงความเป็นหนุ่มสาว หรือกลายเป็นอมตะไปเลยก็มี

               ที่แย่สุดที่ก็คือ มีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งได้ขอยารักษาอาการป่วยไปจากฉันโดยอ้างว่ายายที่บ้านไม่สบาย ฉันก็เลยมอบให้ด้วยความสงสาร แต่เจ้านั่นกลับนำไปขายต่อในตลาดมืดเพื่อเอากำไรเข้ากระเป๋าตังค์ตัวเองและเคลมว่าตนเป็นผู้คิดค้นสูตรขึ้นมา… พอมารู้ทีหลังว่าตัวเองโดนหลอกใช้ก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแค้นใจสุด ๆ ไปเลย

               สุดท้ายฉันก็เลยคิดอยากจะลองใจโดยตอบคำถามของเลวอนไป บอกว่าตัวเองมีความสามารถในการปรุงยารักษาคน แต่หมอนั่นกลับพูดจาแค่ชื่นชมและให้กำลังใจเท่านั้น ไม่เคยปริปากรบเร้าขอร้องให้ฉันทำยาเพื่อรักษาอาการตัวเองเลยสักครั้ง ทั้งที่กำลังต่อสู้และเผชิญหน้ากับโรคแห่งคำสาปปริศนาที่อยู่ในตัวแท้ ๆ

               มีช่วงหนึ่งที่พวกเราเคยซื้อน้ำผลไม้ไปเยี่ยมเลวอนอยู่บ่อยครั้ง โดยแอบนำเอายารักษาโรคผสมลงไปในนั้นด้วย ก่อนหน้านี้ฉันได้ทำการทดสอบกับร่างกายตัวเองมาหลายครั้งจนยืนยันได้ว่าปลอดภัย แล้วให้หมอนั่นดื่มเป็นประจำ แต่อาการกลับไม่ทุเลาลงเลย… ฉันตั้งใจจะปิดเงียบไว้เป็นความลับ แต่โมนิก้าดันเล่าความจริงให้เลวอนฟังตอนที่ฉันไม่อยู่ซะงั้น

               ‘ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์ทำเพื่อผม แต่ได้โปรดอย่าฝืนตัวเองอีกต่อไปเลย ผมเองก็ไม่อยากให้นายต้องลำบากใจด้วย ถึงยาของนายจะรักษาอาการป่วยของผมไม่ได้ แต่สำหรับผมการได้มีเพื่อนดี ๆ อย่างวัตสันกับโมนิก้าคอยพร่ำสอนวิชาความรู้ต่อไปแบบนี้ ก็ถือเป็นยาวิเศษชั้นเลิศแล้วล่ะ’

               หมอนั่นเคยบอกกับฉันหลังจากที่ได้รู้ความจริง และด้วยคำพูดในตอนนั้นเองฉันถึงต้องพยายามศึกษาเรื่องการปรุงยาต่อไป เพื่อให้เลวอนหายป่วยจากอาการป่วยโดยเร็ว ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอหรือต้องถูกปฏิเสธก็ตาม… ฉันน่ะไม่อยากเห็นคนบ้าอย่างหมอนั่นต้องตายเปล่าหรือใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวหรอกนะ”

               โมนิก้าและอิทสึกิเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยหลังจากสดับรับฟังถึงเรื่องราวของวัตสัน ในขณะที่ผู้เล่านั้นทอดสายตามองไปยังแม่น้ำวัลตาวาด้วยสีหน้าแน่วแน่ ทำให้ฮิคาริถึงกับต้องยอมนับถือในหัวใจอันแรงกล้าของเขาพร้อมทั้งกล่าวชื่นชม

               “โชคดีจังนะที่นายได้เจ้าลูกแกะเป็นเพื่อน เห็นท่าทางไม่เต็มบาทแบบนี้แต่นายเองก็เป็นคนดีใช้ได้เหมือนกันนี่นา”

               “อ๊ะ นี่เธอชมฉันงั้นเหรอ ตายล่ะสงสัยวันนี้คงต้องมีหิมะตกลงมาหนักแน่ ๆ ฮะฮะฮะ!”

               วัตสันออกอาการกระดี๊กระด๊าดีใจ ฮิคาริจึงถอนหายใจเหนื่อยหน่ายพร้อมทั้งกล่าวพึมพำสั้น ๆ

               “เฮ้อ… เผลอหลุดปากชมเจ้าหมอนี่จนได้ ไม่คิดเลยว่าจะบ้ายอถึงขนาดนี้”

               “คราวนี้ก็เหลือแค่ท่านโมนิก้าแล้วนะขอรับ”

               อิทสึกิผายมือไปยังโมนิก้า วัตสันและฮิคาริต่างหันมาจ้องมองเธอด้วยความสนใจ แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถึงกับแก้มแดงแจ๋รีบส่ายหน้าปฏิเสธตอบปัดบ่ายเบี่ยงทันที

               “อ-เอ๊ะ ไม่เล่าไม่ได้เหรอคะ!?”

Options

not work with dark mode
Reset