แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 48: ประเมินราคาคริสตัล (2)

               “ส-สองแสนห้าหมื่นโครูนาเช็ก!?”

               นักเรียนทุกคนต่างลั่นอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พลางแสดงสีหน้าตาโตด้วยท่าทีตื่นตระหนกหลังจากที่ได้ยินคำตอบของสตานิสลาฟ ทว่าสำหรับยาโรสลาฟนั้นถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจได้เลย

               “ทำไมทีมของเจ้านั่นถึงได้ราคาตั้งหมื่นยูโร ในเมื่อ Aka Manah เป็นปีศาจแรงค์ C เหมือนกับเควสของพวกเราที่ได้รับมาแล้วแท้ ๆ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนี่นา ใช่ไหมทุกคน!?”

               อัลเบิร์ตรีบลุกขึ้นยืนประท้วง ทำให้เหล่าพ่อมดแม่มดวัยเยาว์เริ่มตั้งข้อสังเกตขึ้นมาได้ พร้อมทั้งจับกลุ่มซุบซิบนินทาถึงความไม่ชอบมาพากล คลาร่าและเหล่าผองเพื่อนทีมประกาศิตแห่งมังกรรู้สึกไม่สบายใจที่ได้รับทราบดังนั้น ยาโรสลาฟเห็นท่าไม่ดีจึงยกสองมือหนาขึ้นมาปรบหนึ่งครั้ง เพื่อทำลายบรรยากาศอันแสนวุ่นวายให้พลันเงียบสงบลงทันที

               เพียะ…!

               “ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ”

               นักเรียนจอมเวทฝึกหัดกว่าห้าสิบชีวิตจำต้องยุติการสนทนาลง เมื่อภายในห้องเรียนแห่งนี้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ศาสตราจารย์ผมหยักศกจึงแย้มสรวลมุมปาก พลางหยิบซองสีน้ำตาลขนาดเท่ากระดาษ A4 ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดผนึก แล้วหยิบดึงเอกสารสำคัญจากในซองเพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ พร้อมทั้งเกริ่นคำอธิบายอย่างใจเย็น

               “นี่คือเอกสารสำคัญจากทางกระทรวงเวทมนตร์ ถูกส่งมาเมื่อไม่นานมานี้หลังจากที่ฉันมอบเควสให้กับพวกเธอในช่วงบ่าย เนื่องจากข้อมูลก่อนหน้านี้มีความผิดพลาด โดยได้รับการยืนยันมาว่าระดับความเก่งกาจของ Aka Manah นั้นแท้จริงแล้วคือแรงค์ B+ ไม่ใช่แรงค์ C แต่อย่างใด”

               ด้วยเหตุนี้เหล่าพ่อมดแม่มดในชมรมปราบมารจึงส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง และเริ่มมีทัศนคติไปในทิศทางบวก โดยที่แต่ละคนต่างยอมรับในความสามารถของทีม Order of the Dragon มากขึ้น แม้จะมีความรู้สึกอิจฉาแอบแฝงปนอยู่บ้างก็ตาม

               “ปีศาจแรงค์ B+ เรอะ นี่มันเกินกว่าระดับที่พวกเราจะรับมือไหวเลยนี่นา แบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการพานักเรียนไปเสี่ยงตายเลยน่ะสิ”

               “จะบ้าเหรอ ที่ควรตกใจน่ะคือการที่เจ้าพวกนี้โค่นอสูรระดับนั้นลงได้ต่างหากล่ะ!”

               “ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ถ้าหากคริสตัลก้อนนั้นจะมาจากปีศาจแรงค์ B+ …ช่างเป็นกลุ่มที่โชคดีจริง ๆ”

               “บ… แบบนี้เควสแรงค์ D ที่พวกเราได้รับมาก็ดูกระจอกไปเลยน่ะสิ”

               แต่ถึงกระนั้นแล้วอัลเบิร์ตก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับได้อยู่ดี เขายังคงส่งเสียงทัดทานพร้อมทั้งแสดงสีหน้าท่าทีไม่พอใจออกมาดังนี้

               “ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ แล้วจะให้พวกเราแน่ใจได้ยังไงกันล่ะครับว่าคริสตัลก้อนนั้น คือแกนกลางของปีศาจ Aka Manah จริง ๆ ไม่งั้นพวกผมไม่มีวันยอมรับคำตัดสินโดยเด็ดขาด!”

               “จะให้ฉันลองทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอัญมณีก้อนนี้ด้วยเลยดีไหม?”

               สตานิสลาฟหยิบคริสตัลสีเขียวมรกตออกมาจากถุงผ้าของตน โดยชี้ไปยังทิศทางที่เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์เงินและเหล่าสมาชิกทีมแมมมอธกำลังนั่งอยู่ตรงบริเวณท้ายห้อง แล้วจับจ้องมองผ่านวัตถุชิ้นดังกล่าวด้วยสายตาอันคมกริบ จนอีกฝ่ายต่างพากันขนลุกซู่หวาดผวา ก่อนจะเอ่ยปากเล่าสถานการณ์ซึ่งเคยเกิดขึ้นทั้งหมดให้นักเรียนทุกคนได้สดับรับฟังอย่างเยือกเย็น

               “นี่พ่อหนุ่ม เธอชื่ออัลเบิร์ตใช่ไหม? ถ้าหากฉันทำนายไม่ผิด ตอนนั้นเธอน่าจะใช้เวทมนตร์สาปแช่ง ‘คาถาลมหายใจมังกร’ โจมตีใส่สไลม์หวังแผดเผาให้ร่างของมันระเหยกลายเป็นไอ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะมันสามารถฟื้นคืนชีพและสมานตัวกันได้ในระหว่างที่ระเหยขึ้นสู่อากาศ

               แต่ถึงอย่างนั้นเธอยังคงสั่งการให้สมาชิกทุกคนใช้เวทมนตร์ธาตุไฟโจมตีต่อไป จนเสื้อผ้าของเพื่อน ๆ ละลายขาดวิ่นเพราะโดนเมือกสไลม์ ทว่าผู้ที่สามารถปิดฉากการโจมตีได้ด้วยวิธีชาญฉลาด โดยใช้คาถาแช่แข็งแล้วทุบทำลายมันให้ละเอียดเป็นผง ก็คือแม่หนูผมสีชมพูคนนั้นที่ชื่อว่าลินดางั้นสินะ… ฉันพูดถูกใช่ไหม?”

               สมาชิกทีมแมมมอธถึงกับอ้าปากค้าง สิ่งที่สตานิสลาฟอธิบายมานั้นเป็นความจริงทุกประการ ลินดา เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีชมพูนัยน์ตาสีมรกตผู้ซึ่งเคยทักท้วงต่ออัลเบิร์ตเมื่อสักครู่นี้เอง ก็ออกอาการประหม่าปนตื้นตันใจทันทีหลังจากที่ได้รับถ้อยคำชื่นชมดังกล่าว

               เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์เงินหรือไอ้แสบได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง รู้สึกชาไปทั่วทั้งใบหน้าด้วยความอับอาย เมื่อรู้ว่าศัตรูคู่แข่งอย่างเลวอนและพรรคพวกสามารถต่อสู้กับปีศาจแรงค์ B+ จนเอาชนะและรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย เลยทำให้เขาไม่สบอารมณ์และนึกอิจฉาริษยามากยิ่งขึ้น จึงกล่าวร้องขอต่อยาโรสลาฟอย่างร้อนรนใจ

               “ศาสตราจารย์ ครั้งหน้าช่วยมอบภารกิจปราบปีศาจแรงค์ B+ ให้กับพวกเราด้วยเถอะครับ ในเมื่อพวกเลวอนทำสำเร็จ พวกผมเองก็ต้องทำได้เหมือนกัน!”

               “น-นี่นายบ้ารึเปล่าเนี่ย เดี๋ยวก็ได้ตายยกทีมหรอก!”

               ลินดารีบหันไปตวาดใส่อัลเบิร์ตที่นั่งอยู่ทางเบื้องหลังตน แม้แต่เหล่าสมาชิกทีมแมมมอธอีกหกชีวิตเองต่างก็รู้สึกโกรธเคืองต่อการตัดสินใจโดยพลการของเขาเช่นกัน เลวอนจึงหันไปตักเตือนต่อไอ้แสบอย่างไม่รีรอ

               “พวกผมก็แค่โชคดีที่เอาชนะ Aka Manah ได้เท่านั้น อีกอย่างการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพียงเพื่ออยากเอาชนะคนอื่นน่ะมันน่าภาคภูมิใจมากขนาดนั้นเลยเหรอ มันไม่สนุกหรอกนะเวลาที่ต้องต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองตั้งหลายเท่า เมื่อถึงตอนนั้นนายจะยังทนยืนมองดูพวกพ้องบาดเจ็บเจียนตายได้อีกรึไง?”

               “ว่าไงนะ คิดว่าตัวเองเก่งมาจากไหนกันถึงได้พูดจาอวดดี!?”

               อัลเบิร์ตคิ้วขมวดพลางส่งเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟจำต้องรับหน้าที่ยุติความบาดหมางอีกครั้งโดยนำมือตบลงบนโต๊ะเสียงดังปังสองถึงสามครั้ง พร้อมทั้งสีหน้าจริงจังออกมาจนเหล่าบรรดาพ่อมดแม่มดฝึกหัดพากันสะดุ้งโหยงหวั่นสะพรึง เพราะไม่เคยได้พบเห็นครูผู้สอนแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้มาก่อน

               “ทุกคนพอได้แล้ว” ถัดมาจอมขมังเวทในชุดครุยจึงกล่าวให้ข้อคิดแก่เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์เงิน “ก็อย่างที่เลวอนพูดมานั่นแหละ ดังนั้นอย่าได้ฝืนทำอะไรที่มันเกินตัวจะดีกว่า เพราะถ้าหากถึงคราวที่พวกพ้องต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือตายจากไป เมื่อถึงตอนนั้นเธอจะแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดนี้ไหวรึเปล่า… ถ้าทำไม่ได้ก็ช่วยสงบสติอารมณ์แล้วนั่งลงเก้าอี้เถอะ”

               “…เข้าใจแล้วครับ”

               อัลเบิร์ตตอบกลับ ก่อนจะส่งเสียงเดาะลิ้นไม่พอใจปิดท้ายแล้วรีบทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เลวอนหันหน้ากลับไปยังสองบุรุษผู้อาวุโสตามเดิมโดยเผยท่าทีประหม่าเกรงกลัว ยาโรสลาฟจึงเผยแย้มสรวลมุมปากเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล พร้อมทั้งเกริ่นคำแนะนำอย่างใจเย็น

               “พวกเธอเองก็เหมือนกัน คราวหน้าเวลาพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า เป็นไปได้ควรยกเลิกภารกิจ แล้วรีบส่งมอบให้มืออาชีพหรือเหล่าจอมเวทระดับสูงลงมือจัดการแทนจะดีกว่า… ที่จริงแล้วความผิดพลาดส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสะเพร่าของทางนี้ด้วยเช่นกัน ที่ดันส่งพวกเธอไปเผชิญหน้ากับตัวอันตรายแบบนั้น… ต้องขอโทษด้วยนะ”

               “ไม่เป็นไรครับศาสตราจารย์ เพราะในสถานการณ์ตอนนั้นเองพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ นอกจากต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น”

               เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันก้มหน้าสลดเล็กน้อย ขณะเดียวกันสตานิสลาฟได้กล่าวคำชมเชยต่อเขาเพื่อให้กำลังใจ

               “ว่าแต่เธอเก่งมากเลยนะพ่อหนุ่ม ที่สามารถโค่นล้ม Aka Manah ได้ทั้งที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าจะลุยเดี่ยวปราบปีศาจแรงค์ D ได้แบบสบาย ๆ”

               “ที่ผมทำแบบนั้นได้ ก็เพราะมีพวกพ้องคอยให้ความช่วยเหลือต่างหากล่ะครับ”

               เลวอนพูดถ่อมตน ก่อนจะหันหน้าไปยังพวกอาเธอเรียซึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้เลคเชอร์สองแถวหน้าสุด พร้อมทั้งแย้มสรวลอย่างอบอุ่นส่งมอบให้ เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรเองก็ได้ส่งยิ้มตอบกลับมาด้วยความดีใจ เมื่อรู้ว่าเขายังคงคิดถึงพวกพ้องอยู่เสมอ ไม่ได้มีนิสัยชอบนำเอาความดีความชอบเข้าใส่ตนเองแต่เพียงผู้เดียว

               ยาโรสลาฟภาคภูมิใจในตัวเหล่าบรรดาลูกศิษย์คนโปรดอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้แสดงอาการออกนอกหน้ามากนัก และเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้เขาจึงพาทุกคนกลับเข้าสู่ประเด็นหลักสำคัญต่อไป เพื่อประเมินราคาคริสตัลแต่ละชิ้นให้สำเร็จลุล่วง โดยหันไปทักท้วงต่อบุรุษนักเล่นแร่แปรธาตุอย่างไม่รีรอ

               “ว่าแต่เงินตั้งหนึ่งหมื่นยูโรเนี่ยคุณพอจะมีจ่ายให้กับพวกเด็ก ๆ บ้างรึเปล่า ถ้าไม่พอล่ะก็ให้ผมจ่ายแทนก่อนไหม?”

               “ฮะฮะฮะ ไม่เป็นไรหรอกครับแค่นี้เอง เก็บเงินนั่นเอาไว้เลี้ยงเบียร์ผมยามดึกดีกว่านะ”

               ยาโรสลาฟพูดติดตลก จากนั้นหยิบธนบัตรมูลค่าห้าร้อยยูโรจำนวนยี่สิบใบจากกระเป๋าสะพายไหล่ขึ้นมา แล้วส่งมอบให้กับเลวอนด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง

               “รับไปสิพ่อหนุ่ม”

               “ขอบคุณมากครับ”

               เลวอนรับเงินรางวัลจากสตานิสลาฟ ก่อนจะหันหลังวกกลับไปสมทบกับพวกโมนิก้าเพื่อมอบกระเป๋าสะพายพาดไหล่ส่งคืนออเดรย์ แล้วทำการแจกจ่ายธนบัตรแก่สมาชิกทีมคนละหนึ่งพันยูโร ระหว่างนั้นเองจิ้งจอกสาวผู้ร่าเริงก็ได้ส่ายหางกระดิกหูพลางเกริ่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

               “หุหุ คนละสองหมื่นห้าพันโครูนาเช็กสินะ รู้สึกเหมือนกลายเป็นคนรวยขึ้นมาทันทีเลยล่ะ~”

               “เก็บอาการหน่อย ๆ” อาเธอเรียหันไปทักท้วงด้วยรอยยิ้มเจื่อน ในขณะที่เธอเองก็เอื้อมมือรับเงินจากเลวอนเช่นกัน

               “เอ่อ ขอโทษที่ตั้งคำถามละลาบละล้วงนะครับ ว่าแต่ศาสตราจารย์สตานิสลาฟนี่ได้เงินจำนวนขนาดนี้มาจากไหนกัน? หนึ่งหมื่นยูโรนี่ถือว่าไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะครับ”

               วัตสันชูมือขวาขึ้นซักถามทั้งที่ในมือยังคงกำธนบัตรเอาไว้ ยาโรสลาฟส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะให้คำตอบ

               “แหม นึกว่าจะไม่มีใครสงสัยแล้วเสียอีก สตานิสลาฟเขาเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่ะ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือลงทุนไปกับการเล่นหุ้นนั่นแหละ… แน่นอนว่าฉันเองก็แอบเล่นอยู่เหมือนกัน ฮะฮะฮะ”

               “อย่าชี้ช่องทางหลงผิดให้พวกเด็ก ๆ ทำตามสิครับศาสตราจารย์”

               พ่อมดนักเล่นแร่แปรธาตุแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย บุรุษจอมขมังเวทจอมทะเล้นจึงหลุดขำออกมาอย่างชอบใจ

               ยังเหลืออีกสามทีมที่สตานิสลาฟต้องประเมินราคาคริสตัล และจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เหล่านักเรียนจอมเวทฝึกหัด ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นอัญมณีจากปีศาจแรงค์ D โดยใช้เวลาทำหน้าที่ไม่นานนักจนกระทั่งเสร็จสิ้น จากนั้นยาโรสลาฟกล่าวคำชมเชยต่อบรรพาลูกศิษย์ที่ปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง ก่อนจะปล่อยให้สมาชิกทุกคนในชมรมปราบมารแยกย้ายเดินทางกลับบ้าน

 

               ********************

 

               เลวอน และสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร ได้รวมตัวกันตรงบริเวณนอกปราสาทสีขาว เพื่อสนทนาพูดคุยกันเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับค่ำคืนนี้ ก่อนโบกมือกล่าวอำลาแล้วแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตน เหลือแค่เพียงเลวอน สเตฟาเนีย โมนิก้า และวัตสันเท่านั้นที่ยังอยู่

               ขณะเดียวกันพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาพลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปพูดคุยกับโมนิก้าด้วยท่าทีร้อนรนใจ

               “ขอโทษทีนะโมนิก้า พอดีฉัน สเตฟาเนีย และเลวอนมีเรื่องที่ต้องพูดคุยด้วยนิดหน่อย เกี่ยวกับเรื่องการเรียนการสอนวิชาปรุงยาสำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะงั้นเธอล่วงหน้ากลับไปก่อนได้เลย เดี๋ยวทางนี้จะรีบตามไปสมทบทีหลัง”

               โมนิก้าแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วทุกครั้งหลังเลิกเรียน เธอและวัตสันมักจะเดินทางกลับบ้านด้วยกันเสมอ ทว่าเด็กสาวกลับไม่คิดที่จะซักไซ้ถามไถ่อะไรเนื่องจากพอเข้าใจเหตุผลอยู่บ้าง จึงแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนตอบรับคำขออย่างว่าง่าย

               “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นเอาไว้เจอกันใหม่นะคะ… ราตรีสวัสดิ์ค่ะทุกคน”

               “ฝันดีนะ/ราตรีสวัสดิ์ค่ะ/Good night”

               เลวอน สเตฟาเนีย และวัตสัน กล่าวอำลาโดยที่ภายในใจนึกเป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่าย โมนิก้าโบกมือให้เล็กน้อยก่อนจะวิ่งจากทั้งสามคนไปอย่างรวดเร็วจนค่อย ๆ ลับสายตา ท่ามกลางความมืดสลัวในยามค่ำคืนแม้จะมีแสงไฟจากหมู่บ้านคอยส่องสว่างอยู่ก็ตาม

               “เฮ้อ… ช่างเป็นวันที่ครบรสหลากหลายอารมณ์เสียจริง” วัตสันบ่นพึมพำพลางทำสีหน้าอมทุกข์

               “จริงสิ พรุ่งนี้ผมมีฝึกพิเศษกับวัตสันและสเตฟาเนียในคาบวิชาปรุงยานี่นา ว่าแต่ทั้งสองคนมีเรื่องสำคัญอะไรรึเปล่า?”

               เลวอนข้อสงสัย สเตฟาเนียส่ายหน้าปฏิเสธไปมาเล็กน้อยแล้วให้คำตอบเขาดังนี้

               “พรุ่งนี้การฝึกยังคงเป็นรูปแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ… และดูเหมือนว่าคนที่มีเรื่องสำคัญอยากจะพูดคุยกับพวกเราด้วยคงมีแค่รุ่นพี่วัตสันเท่านั้น ไม่งั้นคงไม่บอกให้โมนิก้าเดินทางกลับบ้านไปก่อนแบบนี้หรอก”

               “ยังฉลาดหลักแหลมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเธอเนี่ย ถ้างั้นฉันขอเปิดเจ้านี่ให้ฟังเลยก็แล้วกัน”

               วัตสันกล่าวประชดสั้น ๆ จากนั้นหยิบสมาร์ตโฟนสีน้ำเงินที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ขึ้นมา แล้วกดปุ่มเล่นไฟล์เสียงซึ่งบันทึกบทสนทนาเอาไว้ในช่วงเวลาบ่ายวันนี้ ให้พ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทกับแม่มดสาวจ้าวเสน่ห์ได้สดับรับฟัง

               ——ปิ๊บ

               “เป็นอะไรไปน่ะ ฉันเห็นเธอทำสีหน้าแบบนั้นมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ถ้าหากมีเรื่องไม่สบายใจล่ะก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”

               เสียงของฮิคาริดังขึ้นจากมือถือ เลวอนจึงรีบซักถามเพื่อนสนิทอย่างแปลกใจทันที

               “วัตสัน นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ ทำไมถึงได้…?”

               “ฉันแอบบันทึกการสนทนาเอาไว้ตอนที่พวกนายสองคนไม่อยู่น่ะ ลองฟังประโยคต่อจากนี้ไปดูสิ”

               บุรุษหนุ่มนักปรุงยาอธิบายเหตุผลไปสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีต่อมาคำตอบของโมนิก้าก็ได้รับการเปิดเผย

               “ฉันแค่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยค่ะ ตั้งแต่ตอนที่คุณเลวอนกับสเตฟก้าต่อสู้กับปีศาจ Aka Manah จนโค่นล้มได้สำเร็จก็ทำให้ฉันแอบรู้สึกน้อยใจขึ้นมา เหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เพื่อน ๆ เลย… ตอนนี้ฉันยังคงครุ่นคิดอยู่เสมอว่าถ้าหากตัวเองแข็งแกร่งเหมือนสเตฟก้า เหมือนพวกคุณฮิคาริบ้างล่ะก็ บางทีฉันคงมีสิทธิ์ได้ร่วมต่อสู้ในแนวหน้าและอยู่เคียงข้างคุณเลวอนได้อย่างเต็มภาคภูมิ

               หลังจากที่คุณเลวอนฝึกซ้อมพิเศษมาได้สองสัปดาห์ ความสามารถของเขาก็เริ่มก้าวกระโดดจนไล่ตามหลังฉันทัน… ไม่สิ บางทีอาจจะแซงนำหน้าฉันไปแล้วก็ได้ ทุกครั้งที่มองแผ่นหลังนั่นจากที่ไกล ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนถูกทิ้งเอาไว้ให้อยู่ด้านหลังเพียงลำพังทั้งที่ฉันเคยเป็นฝ่ายปกป้องเขามาโดยตลอด แล้วยิ่งมารู้ว่าคุณเลวอนกับสเตฟก้ามีอะไรกันเพื่อฟื้นฟูพลังเวทให้กลับคืนมา อีกทั้งยังมีความสนิทสนมมากกว่าครั้งก่อน ๆ ก็ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบพูดไม่ออก…

               ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่พวกเขาสองคนได้ทำลงไปนั้นเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ แต่ฉันก็ไม่อาจทำใจยอมรับมันได้อยู่ดี ฉันในตอนนี้มันอ่อนแอและไม่มีอะไรโดดเด่นพอที่จะสู้คนอื่น ทั้งที่ไม่ควรนึกอิจฉาริษยาต่อเพื่อนสนิทตัวเอง หรือใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลแล้วแท้ ๆ

               อะไรกัน โตจนป่านนี้แล้วทำไมฉันถึงต้องร้องไห้ออกมาด้วย น่าอายที่สุดเลย… ขอโทษด้วยนะคะคุณฮิคาริ ทุกคน…”

               ——ปิ๊บ

               วัตสันกดปุ่มหยุดเล่นไฟล์เสียงแล้วนำสมาร์ตโฟนเก็บใส่ลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตามเดิม หลังจากสดับรับฟังถ้อยคำภายในใจของโมนิก้าแล้ว เลวอนถึงกับคิ้วขมวดกำหมัดแน่นด้วยความโศกศัลย์ ส่วนสเตฟาเนียก้มหน้าสลดพลางนึกกล่าวโทษตนเอง โดยคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของเธอที่ฉวยโอกาสพรากสิ่งสำคัญไปจากเพื่อนสนิท จนทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บช้ำ

               “นึกแล้วเชียว เป็นความผิดของฉันจริง ๆ ด้วย…” แม่มดสาวผมสีส้มเผยน้ำเสียงสั่นเครือ

               “ไม่นะสเตฟก้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะผมคือตัวต้นเหตุต่างหาก!”

               บุรุษหนุ่มผู้แสนสุภาพรีบออกตัวแบกรับตราบาปทั้งหมด เพื่อไม่ให้เธอต้องรู้สึกเกลียดชังตัวเองไปมากกว่านี้ ในขณะที่วัตสันได้ย้ำเตือนต่อสหายหนุ่มคนสนิทอีกครั้งด้วยท่าทีจริงจัง

               “เลวอน รู้แล้วใช่ไหมว่าโมนิก้าต้องการอะไรจากนาย ขืนไม่รีบสะสางปัญหาเรื่องนี้ให้ดีล่ะก็ มีหวังจิตใจของยัยนั่นคงต้องแหลกสลายเข้าสักวันนึงแน่”

               “อา… ผมพอจะรู้สึกตัวตั้งแต่หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจโค่นล้มปีศาจ Aka Manah แล้วล่ะ เพราะงั้นเลยตั้งใจจะมาขอคำปรึกษาจากเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดโมนิก้ามากที่สุด อย่างวัตสันและสเตฟก้ายังไงล่ะ… แต่นายดันชิงเปิดคลิปเสียงนั่นซะก่อน”

               “ก็ยังดีที่นายมองสีหน้าของยัยเปี๊ยกนั่นออก แต่ขืนจับกลุ่มปรึกษากันตรงนี้เกรงว่าคงไม่สะดวกสักเท่าไหร่ คงต้องเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จคาบฝึกพิเศษวิชาปรุงยาแทน… คืนนี้พวกนายสองคนลองคิดหาหนทางแก้ไขกันไปพลาง ๆ ก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”

               “เข้าใจแล้วค่ะ” สเตฟาเนียผงกศีรษะเห็นพ้อง “ฉันกับรุ่นพี่เลวอนจะลองคิดหาหนทางดูก่อน เพราะปัญหาของโมนิก้าเองก็คือปัญหาของพวกเราเหมือนกัน”

               วัตสันได้ยินดังนั้นจึงเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียดลง พร้อมทั้งเกริ่นคำพูดปิดท้ายสำหรับบทสนทนาในค่ำคืนนี้

               “พอรู้ว่าพวกนายยังนึกเป็นห่วงยัยเปี๊ยกนั่นอยู่ก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย… ถ้างั้นฉันไปล่ะ ไว้เจอกันใหม่พรุ่งนี้”

               “ไว้เจอกันใหม่/ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

               เลวอน และสเตฟาเนียกล่าวคำอำลา ก่อนที่วัตสันจะหันหลังเดินจากทั้งคู่ไปพลางโบกมือให้ ทว่าเมื่อย่างเท้าไปเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็พลันหยุดชะงักราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วเกริ่นน้ำเสียงแผ่วเบาอีกครั้งทั้งที่ยังคงยืนหันหลังต่ออีกฝ่าย

               “นี่เลวอน ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่านายรู้สึกยังไงกับโมนิก้า แต่ยัยนั่นน่ะรักนายมากเสียยิ่งกว่าชีวิตของตัวเองเลยล่ะ เพราะงั้นอย่าไปทำให้เธอร้องไห้เสียใจสิ”

               “ผมรู้อยู่แล้วล่ะ”

               บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนตอบรับด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก แต่ไว้แฝงซึ่งความหนักแน่น สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความมุ่งมั่นพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาโดยตรง วัตสันจึงยกชูนิ้วโป้งให้เป็นการปิดท้าย แล้วก้าวเท้าเดินจากที่นี่ไปจนค่อย ๆ ลับสายตาท่ามกลางความมืดสลัวในยามพลบค่ำ

               เลวอนก้มหน้ามองต่ำลงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ สเตฟาเนียซึ่งยืนอยู่เคียงข้างเขาเห็นดังนั้นจึงแอบนึกเป็นห่วง ทำท่าเอื้อมแขนขวาออกไปหมายจะสัมผัสมือของเขาเพื่อปลอบประโลม แต่เธอก็ต้องหยุดชะงักเอาไว้เพียงแค่นี้ก่อนจะค่อย ๆ ลดแขนลงตามเดิม โดยที่สายตายังคงจับจ้องอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล

               “กลับกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันเดินส่งรุ่นพี่เลวอนถึงบ้านเอง”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มทำได้แค่เพียงเกริ่นชักชวนสั้น ๆ พ่อมดวัยเยาว์ผงกศีรษะตอบรับเธอด้วยรอยยิ้มอันเศร้าสร้อยคล้ายคนที่กำลังฝืนความรู้สึกของตนเอง จากนั้นสองวัยรุ่นชายหญิงก็ได้ก้าวเท้าออกเดินทางจากพื้นที่นอกปราสาทสีขาวแห่งนี้เพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพัก ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งประดับประดาไปด้วยดาวดวงนับแสนล้านดวง

               ภายในใจของทั้งคู่ไม่อาจหยุดนึกเป็นห่วงโมนิก้าได้เลยแม้เพียงวินาทีเดียว

Options

not work with dark mode
Reset