แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 55: เผด็จศึกพยัคฆ์ขาว (2)

               ทันใดนั้นเอง สัตว์ดุร้ายร่างใหญ่ลำตัวยาวกว่าสองเมตร ได้พุ่งพรวดออกจากพุ่มไม้เข้าจู่โจมอย่างกะทันหัน เสือโคร่งไซบีเรียสีขาวได้อ้าปากแยกเขี้ยวหมายจะกัดซอกคอโมนิก้า ดูเหมือนว่าคาถาเปลวไฟนั้นจะใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว

               “ว้าย!?”

               จอมเวทหญิงร่างเพรียวรีบโยกตัวไปทางฝั่งซ้ายเพื่อหลบการโจมตี คมเขี้ยวเล็บของพยัคฆ์ขาวได้เฉือนปลายเส้นผมฝั่งขวาขาดอย่างน่าหวาดเสียว แต่นั่นก็ทำให้เธอรอดพ้นจากความตายได้แบบชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด

               สี่เท้าของเสือโคร่งแตะลงพื้นสไลด์ตัวไปตามแรงเฉื่อย เสียดสีกับผืนดินและกลุ่มใบไม้แห้งเกิดเสียงดังครืดจนฝุ่นควันฟุ้งกระจาย โมนิก้าผู้ไม่ยอมให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไปมากกว่านี้ รีบหันไปตวัดไม้กายสิทธิ์เพื่อร่ายคาถาโจมตีใส่ทันที

               “Claudo lapis! (แท่นศิลาจองจำ) ”

               เพียงไม่กี่อึดใจ ผืนดินที่พยัคฆ์ขาวกำลังเหยียบย่ำอยู่ได้แปรเปลี่ยนสภาพ กลายเป็นรูปทรงแท่งเสาสี่เหลี่ยมหลายต้นขึ้นมาตรึงร่างของมันเอาไว้ไม่ให้ขยับเคลื่อน ราชันแห่งสัตว์ป่าในตอนนี้จึงทำได้แค่ส่งเสียงคำรามพลางส่ายศีรษะไปมาเท่านั้น

               โมนิก้าสไลด์เท้าถอยหลังออกจากเป้าหมายราวสิบเมตร ยื่นแขนซ้ายไปข้างหน้าในลักษณะหงายมือขึ้น คลายปลายนิ้วเรียวบางทั้งห้าออกจนเผยให้เห็นอัญมณีขนาดเท่าก้อนกรวดหกชิ้น โดยมีทั้งสีเหลืองอำพัน ฟ้าคราม เขียวมรกต แดงโกเมน ขาวงาช้าง และดำนิล ส่องประกายแวววับ

               จากนั้นจึงเกริ่นน้ำเสียงหนักแน่นฉะฉานเพื่ออัญเชิญเหล่าทวยเทพดังนี้

               “ข้าแด่ผู้พิทักษ์แห่งวิญญาณธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืด ขอถวายเครื่องบรรณาการเหล่านี้เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์พิชิตศัตรูให้ศิโรราบสิ้น”

               รอบตัวยุวสตรีเริ่มส่องสว่างตามด้วยสายลมโบกพัด คริสตัลหลากสีค่อย ๆ ลอยขึ้นจากมือเล็กบาง จัดเรียงตำแหน่งในลักษณะคล้ายรูปหกเหลี่ยมแนวตั้ง ขีดเส้นลำแสงสีรุ้งให้บรรจบมุมกันจนกลายเป็นรูปดาวหกแฉก โดยมีวงแหวนเวทจารึกอักษรภาษาละตินล้อมรอบอย่างสวยสดงดงามและอลังการ

               เมื่อกระบวนการอัญเชิญเสร็จสิ้น โมนิก้าจึงตวัดไม้กายสิทธิ์ชี้ไปยังศัตรูเบื้องหน้าผ่านวงแหวนมนตรา พลางเปล่งเสียงดุดันร่ายคาถาเปิดฉากโจมตีทันที

               “Elementa disploda! (สรรพธาตุสาดแสง) ”

               สัญลักษณ์เวทมนตร์ตรงเบื้องหน้าส่องสว่างเจิดจ้าเพียงชั่วขณะ ก่อนจะปลดปล่อยลำแสงหลากสีพุ่งเข้าใส่พยัคฆ์ขาวซึ่งถูกพันธนาการอย่างรวดเร็ว เสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วพงไพรตามด้วยคลื่นอากาศอัดกระแทก และเนื่องจากความรุนแรงของคาถาบทนี้ จึงส่งผลทำให้เด็กสาวหูอื้อเพียงชั่วขณะ ส่วนเสือโคร่งตัวนั้นก็ได้แผดเสียงร้องเจ็บปวดชวนเวทนา

               หลังจากที่แสงสว่างเริ่มจางลง อัญมณีทั้งหกชิ้นก็ได้พลันแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นราวกับเครื่องสังเวย

               “Hastam in iustitia! (หอกแห่งการพิพากษา) ”

               โมนิก้าจำต้องระงับความสงสารเมตตาต่อศัตรู เพราะเดิมทีตนเป็นคนรักสัตว์อยู่แล้ว เธอไม่รีรอรีบขยับปากร่ายคาถาขั้นสูงเตรียมเผด็จศึก อัญเชิญลำแสงรูปหอกเล่มยักษ์สีขาวสลับเงินแวววาวให้ปรากฏอยู่เหนือศีรษะ แล้วปล่อยให้มันพุ่งเโจมตีซัดใส่ร่างราชันแห่งสัตว์ป่าด้วยความเร็วเหนือเสียง

               ——เปรี้ยง!!

               เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยแสงสว่างวูบวาบสีขาวโพลน จนกระทั่งเริ่มจางลงและกลับคืนสู่ความเงียบสงบตามปกติ เหลือเพียงกลุ่มควันซึ่งยังคงฟุ้งกระจายไปทั่ว คอยบดบังทัศนวิสัยจนยากต่อการมองเห็นเป้าหมาย ในขณะที่เศษใบไม้บนผืนแผ่นดินภายในรัศมีห้าเมตรล้วนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน และพื้นดินส่วนนั้นเองก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

               โมนิก้ายังคงมีท่าทีปกติแม้ว่าจะร่ายคาถาขั้นสูงติดต่อกันถึงสองสามบท เพราะเดิมทีเธอมีความสามารถในการดูดซับพลังเวทตามธรรมชาติได้ดีกว่าคนอื่น จังหวะเดียวกันเธอได้ทอดสายตาจับจ้องไปยังพื้นที่เบื้องหน้า ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันที่ค่อย ๆ จางหายไปจนเริ่มปรากฏผลลัพธ์ชัดเจน

               เสือโคร่งไซบีเรียสีขาวนอนแน่นิ่งในหลุมแอ่งซึ่งเกิดจากแรงกระแทกอันมหาศาล ทั่วร่างมีแผลไฟไหม้ส่งกลิ่นเหม็นฉุน ทว่าการต่อสู้นั้นยังไม่จบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ เมื่อโมนิก้าสังเกตเห็นว่าจ้าวแห่งสัตว์ป่าเริ่มฟื้นฟูสภาพตนเอง เพื่อสมานบาดแผลจนกลับมาแข็งแรงตามปกติ สร้างความประหลาดใจให้แก่เธอเป็นยิ่งนัก

               “!! …อ-อะไรกัน โกหกใช่ไหมเนี่ย?”

               เด็กสาวเผยสีหน้าหวั่นวิตก เธอรีบตั้งท่าชี้ไม้กายสิทธิ์ไปยังเป้าหมายอีกครั้ง พลางล้วงมือซ้ายหยิบอัญมณีขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายเพื่อเตรียมร่ายมนตรา วินาทีนั้นพยัคฆ์ขาวพลันเบิกเนตรเผยนัยน์ตาสีฟ้า โดยมีออร่าแสงสีครามปกคลุมทั่วร่าง ก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าหาเธอแบบฉับพลัน

               “โฮกกกกก!!”

               “Maxime reflexum! (สะท้อนกลับขั้นสูงสุด) ”

               โมนิก้าร่ายคาถาป้องกันหมายจะสะท้อนการโจมตีกลับคืนไป ทว่าด้วยพละกำลังของสัตว์ดุร้ายที่มีมากกว่าตน ทำให้เกิดแรงปะทะใส่กันราวกับอสนีบาต หลังจากที่เสือโคร่งไซบีเรียซัดเข้ากับวงแหวนเวทรูปดาวหกแฉกสีฟ้า เกราะคุ้มภัยก็ได้แตกสลายกระจายเป็นเศษซากทันที

               ——เพล้ง! ตู้ม!!

               “โฮกกก!!/ว้าย!!?”

               พยัคฆ์ขาวพ่ายแพ้ต่อแรงสะท้อนซึ่งตีกลับคืนมาหลายเท่าตัว แม่มดสาวรูปร่างเพรียวบางเองก็ไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของสัตว์ป่ากระหายเลือดได้พร้อมรับแรงอัดกระแทกที่พุ่งเข้าใส่ จนร่างของทั้งสองฝ่ายพลันกระเด็นถอยหลังไปคนละทิศทางราวยี่สิบเมตร

               แผ่นหลังของโมนิก้าปะทะเข้ากับพุ่มไม้สูงประมาณเหนือหัวเข่า สิ่งกีดขวางดังกล่าวช่วยลดแรงกระแทกลงไปได้บ้าง แต่นั่นก็ทำให้ตนต้องหงายหลังตีลังกาครึ่งตลบ อยู่ในท่านอนคว่ำลงกับพื้นด้วยสภาพที่ดูไม่ค่อยจืดสักเท่าไหร่นัก ส่วนเสือโคร่งตัวนั้นได้ลับสายตาหายไปในป่าทึบท่ามกลางความมืดสลัว โดยที่ไม่อาจทราบถึงชะตากรรมของมันได้

               เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าออกอาการเวียนหัวเล็กน้อยเนื่องจากเห็นภาพกลับตาลปัตรเพียงชั่ววูบ ก่อนจะนำสองมือบางดันพื้นพยุงร่างอยู่ในท่านั่งชันเข่าซ้าย เมื่อก้มศีรษะมองดูอีกทีก็พบว่าไม้กายสิทธิ์คู่ใจได้หักคามือเป็นสองท่อนเสียแล้ว

               “อึ๊ก…! ขอโทษนะคะพี่ชาย หนูทำมันหักจนได้”

               โมนิก้าเผยสีหน้าคิ้วขมวด เธอนึกโกรธแค้นตัวเองที่เผลอทำอุปกรณ์สื่อนำพังแม้ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นของขวัญที่มิคาอิลเคยซื้อให้เมื่อตอนสมัยประถมปลาย ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ยุวสตรีตัวน้อยไม่อาจมีเวลาพอที่จะมานั่งสำนึกผิดมากนัก จึงนำแท่งไม้สองท่อนนั้นเก็บใส่ลงในกระเป๋าสะพายอย่างไม่รีรอช้า

               ขณะเดียวกัน โมนิก้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นเน่าโชยมาซึ่งไม่คุ้นจมูกจนเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เธอตัดสินใจหันหลังไปมองดูแล้วพบว่า ร่างอันไร้วิญญาณของสามพ่อมดทหารชายฉกรรจ์นั้นกำลังนอนแผ่หลาอยู่ห่างจากตนราวห้าเมตร แต่ละศพมีบาดแผลจากการโดนกรงเล็บขีดข่วน มิหนำซ้ำที่กลางหน้าอกของพวกเขามีรูค่อนข้างใหญ่ เนื่องจากถูกควักหัวใจออกมาด้วย

               “——อื๊มมม อื๊มมมมมม!!”

               เด็กสาวรีบยกสองมือขึ้นมาปิดปากแน่นสะกดกลั้นเสียงกรีดร้อง เพื่อไม่ให้พยัคฆ์ขาวรู้สึกตัวหรือรับทราบถึงตำแหน่ง พลางขยับถอยร่นจนแผ่นหลังแนบชิดกับพุ่มไม้ ดูเหมือนเธอจะยังพอมีไหวพริบในการเอาตัวรอดอยู่บ้าง ถึงแม้สีหน้าในตอนนี้จะแสดงออกถึงความหวาดกลัวสุดขีด หลังจากที่ได้เห็นภาพชวนสะเทือนขวัญแล้วก็ตาม

               “โฮกกกก!”

               เสียงคำรามของสัตว์ดังแว่วมาแต่ไกลจากทางเบื้องหลัง โมนิก้าสะดุ้งตกใจเล็กน้อยพลางหลับตาปี๋ทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะรีบส่ายศีรษะไปมาเพื่อสลัดภาพแห่งความทรงจำอันแสนหดหู่เมื่อสักครู่นี้ ออกไปให้พ้นจากหัวสมองโดยเร็ว

               แม่มดสาวผู้โดดเดี่ยวพยายามครุ่นคิดหาทางรับมือกับศัตรูอย่างใจเย็น หลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้วตนจึงลุกขึ้นยืนกลับหลังหัน ลืมตาขึ้นพร้อมทั้งกระโดดข้ามพุ่มไม้มุ่งตรงไปข้างหน้าประมาณห้าถึงหกก้าว ก่อนจะนำสองมือบางปาดน้ำตาให้เรียบร้อย จากนั้นหยิบลูกแก้วพยากรณ์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายบ่าขึ้นมาถือด้วยมือซ้าย อยู่ในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ประจัญบาน

               พยัคฆ์ขาวเริ่มปรากฏกายให้เห็นจากพื้นที่อันมืดสลัวด้วยระยะทางประมาณยี่สิบเมตร พร้อมทั้งแผดเสียงคำรามจ้องเขม็งมาทางนี้ โมนิก้าหวั่นสะพรึงกลัวสั่นสู้เล็กน้อยแต่ยังคงความสุขุมเอาไว้ เธอยื่นอุปกรณ์สื่อนำในอุ้งมือซ้ายไปข้างหน้า แล้วทอดสายตามองดูสัตว์ดุร้ายผ่านวัตถุทรงกลมสีใส จากนั้นขยับปากเปล่งเสียงร่ายคาถาออกมาอย่างแผ่วเบา

               “Analyzima (คาถาวิเคราะห์) ”

               ลูกแก้วพยากรณ์พลันส่องสว่างแสงสีขาวขึ้นมา โดยใช้เวลาในการตรวจสอบไม่นานนัก แสดงให้เห็นภาพของเสือโคร่งไซบีเรียในอีกรูปแบบหนึ่ง ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยออร่าสีโทนมืดแลดูขุ่นมัว ยกเว้นตรงกลางภายในอกเท่านั้นที่เปล่งประกายสีน้ำเงินแวววับราวกับคริสตัลซึ่งเป็นแกนกลางสำคัญของมัน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีพลังเวทกักเก็บเอาไว้ในประมาณที่มากมายมหาศาลพอสมควร

               “…คงต้องควักแกนกลางออกมาจากร่างให้ได้งั้นสินะคะ”

               แม่มดสาวกล่าวพึมพำ และนั่นถือเป็นหนทางเดียวที่จะกำราบราชันแห่งสัตว์ป่าให้ศิโรราบลงได้ ครั้นหลบซ่อนตัวหรือวิ่งหนีไปก็คงถูกอีกฝ่ายตามไล่ล่าไม่ยอมปล่อยอยู่ดี เพราะตนเองได้ย่างกรายเข้ามาภายในพื้นที่ป่าทึบลึกจนเกินไป อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลจากเขตของหมู่บ้านพอสมควร สุดท้ายมีแต่ต้องสู้จนตัวตายเท่านั้น

               “โฮกกกกกก!”

               เสือโคร่งไซบีเรียสีขาวเร่งฝีเท้ามุ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายโมนิก้า ยุวสตรีผู้เด็ดเดี่ยวไม่รีรอช้าพลันสะบัดมือขวาที่สวมใส่แหวนกายสิทธิ์ยังนิ้วชี้ พร้อมเปล่งวาจาร่ายคาถาโจมตีใส่แบบฉับพลัน

               “Terra spinam! (หนามแห่งพสุธา) ”

               ——ครึ่กกกก สวบสวบสวบ!!

               ผืนแผ่นดินที่พยัคฆ์ขาวเหยียบย่ำอยู่ กลับกลายเป็นกลุ่มหนามแหลมคมหลายสิบต้น ผุดขึ้นมาเสียบทะลุร่างของสัตว์ร้ายจากด้านล่างจนมิอาจขยับตัวเคลื่อนไหว วินาทีนั้นเองเป้าหมายก็ได้พลันอันตรธานหายไป เหลือไว้แค่เพียงละอองแสงสีฟ้าระยิบระยับ ราวกับว่ามันใช้เวทมนตร์คาถาก็ไม่ปาน

               “อ-เอ๊ะ!?”

               โมนิก้าตาโตด้วยความประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ทั้งที่มันเป็นเพียงแค่สัตว์เดรัจฉานทั่วไป ทว่าไม่ทันที่เธอจะตั้งสมาธิเพื่อจดจ่อกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เสือโคร่งไซบีเรียขนาดใหญ่ได้พลันปรากฏกายอยู่ทางเบื้องขวาพุ่งเข้ามาตะปบใส่ตนดังฉัวะเสียแล้ว

               “อ๊าย!?”

               โมนิก้ายกแขนขวาขึ้นมาป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ ทำให้เสื้อเชิ้ตตรงบริเวณดังกล่าวขาดวิ่น พร้อมทั้งบาดแผลจากกรงเล็บเสือจนมีเลือดไหลซิบออกมา ก่อนจะเสียหลักล้มตัวลงไปนั่งกับพื้น และแผ่นหลังได้กระแทกชนเข้ากับต้นไม้อย่างจัง

               พยัคฆ์ขาวอาศัยจังหวะดังกล่าวแยกเขี้ยวพุ่งเข้าจู่โจมหมายจะปลิดชีพ เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าซึ่งกำลังจนตรอกจำต้องรีบยกลูกแก้ววิเศษในมือซ้ายขึ้นมา เปล่งเสียงร่ายคาถาโต้ตอบกลับไปแบบทันควัน แม้ว่าสภาพร่างกายเธอในตอนนี้จะไม่อาจลุกขึ้นต่อสู้ได้อย่างสุดกำลังแล้วก็ตาม

               “Septem murum lux! (เจ็ดกำแพงศักดิ์สิทธิ์) ”

               รอบ ๆ ตัวของโมนิก้าพลันปรากฏลำแสงสีขาวคล้ายแผ่นกระจกสีใสคอยปกคลุม ตั้งเรียงซ้อนกันเจ็ดชั้นในลักษณะรูปโดมครึ่งทรงกลม ซึ่งแต่ละบานมีระยะรัศมีห่างกันหนึ่งเมตร บาเรียดังกล่าวได้กระแทกใส่ร่างของพยัคฆ์ขาวจนกระเด็นถอยหลังออกไป โดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถย่างกรายหรือพุ่งทะลวงเข้ามา ทำให้เธอพอจะซื้อเวลาเอาตัวรอดได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

               ——ซูมมมมม ปึ้ง!!

               ราชันแห่งสัตว์ป่ายืนแผดเสียงคำราม พร้อมปลดปล่อยคลื่นพลังเวทสีฟ้าลูกใหญ่ ซัดใส่เกราะคุ้มภัยหวังจะทำลายให้สิ้นซาก แรงกดดันที่แผ่ซ่านเข้ามาได้สร้างความประหลาดใจและความหวั่นสะพรึงกลัวให้แก่แม่มดสาวอีกครั้ง จนเธอน้ำตาคลอพลางตัวสั่นเทา ไม่เคยนึกมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าสักวันหนึ่งตนจะต้องพบเจอกับจุดจบเฉกเช่นนี้

               เปรี๊ยะ…!

               ลูกแก้ววิเศษเริ่มเกิดรอยร้าวทีละนิด เนื่องจากไม่สามารถทนรับพลังอันมหาศาลของโมนิก้าเอาไว้ได้นาน อีกทั้งยังต้องคอยทำหน้าที่ต่อต้านคลื่นทำลายล้างจากเสือโคร่งไซบีเรียที่อยู่ตรงเบื้องหน้าตนด้วย จึงทำให้เกิดแรงบีบอัดอย่างที่เห็น

               ระหว่างนั้นเองเด็กสาวได้นึกในใจ โดยที่อากัปกิริยาท่าทีของเธอค่อย ๆ สงบลง และทำใจยอมรับผลลัพธ์ในสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้นได้แล้ว ก่อนจะก้มใบหน้าลงเล็กน้อยพลางเผยรอยยิ้มอันเศร้าสลด

               คิดถูกแล้วจริง ๆ ที่เราไม่พาคุณเลวอนกับสเตฟก้ามาร่วมทำภารกิจในครั้งนี้ เจ้านี่แข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้คนทั่วไปจะรับมือไหว… แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องทนเห็นพวกพ้องได้รับบาดเจ็บเพราะมันล่ะนะ

               คุณเลวอน ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันก่อเรื่องตามอำเภอใจ แต่ถ้าหากฉันตายไปโดยที่ไม่ลากศัตรูลงนรกตามไปด้วยล่ะก็ สักวันหนึ่งคุณอาจต้องได้รับอันตรายเพราะมันอย่างแน่นอน

               ถึงแม้จะโล่งใจที่ฉันปกป้องชีวิตคุณเลวอนเอาไว้ได้ แต่ลึก ๆ แล้วก็แอบเสียใจอยู่เหมือนกันค่ะ… ก็เพราะว่าฉันน่ะยังไม่ได้สารภาพความรู้สึกที่แท้จริงออกไปเลย เรื่องที่ฉันแอบคิดยังไงกับคุณ…

               ——เพล้ง!!

               กำแพงเวทชั้นที่หนึ่งถึงคราวแตกสลาย ในขณะที่พยัคฆ์ขาวร่างใหญ่ยังคงปลดปล่อยคลื่นออร่าอันทรงพลังคอยปะทะใส่บาเรียอย่างต่อเนื่อง โมนิก้าก็ได้ตัดสินใจลงมือกระทำการครั้งใหญ่ นำเอาเลือดจากบาดแผลบนแขนขวาให้หลั่งไหลรินอาบเข้ากับแหวนกายสิทธิ์ที่ตนสวมใส่ยังนิ้วชี้ ก่อนจะเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบเพื่อกล่าวอัญเชิญทวยเทพดังนี้

               “อันตัวข้ามิอาจหาความดีได้อีกต่อไป เลือดจำต้องล้างด้วยเลือด เพลิงแค้นจงนำหนทางไปสู่เหตุการณ์โศกนาฏกรรม ข้าขอสาบานว่าจะถวายโลหิตพร้อมทั้งดวงวิญญาณนี้ มอบให้แก่เทพเจ้าแห่งนรกฮาเดสจนสิ้นหยาดหยดสุดท้าย เพื่อลากศัตรูลงสู่ห้วงอเวจีร่วมกัน”

               ——เปรี๊ยะเปรี๊ยะ เพล้ง!!

               “โฮกกกกกก!!”

               ทั้งลูกแก้วพยากรณ์ และกำแพงศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่อีกหกชั้นได้พังทลายลงเป็นเสี่ยง ๆ หักล้างคลื่นจิตสังหารของศัตรูให้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น เสือโคร่งไซบีเรียจึงฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าหาเหยื่อเพื่อเผด็จศึก ส่วนโมนิก้าพลันสะบัดนิ้วร่ายคาถาต้องห้ามออกมา โดยที่สายตาจับจ้องมองไปยังเป้าหมายอย่างห้าวหาญ และเตรียมใจพร้อมที่จะยอมสังเวยตัวเองได้ทุกเมื่อ

               “Maledixit sanguis! (คำสาปแช่งโลหิต) ”

Options

not work with dark mode
Reset