โมนิก้ายังคงซบอกเลวอนเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไปสักพักจึงสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะค่อย ๆ ผละตัวออกจากบุรุษหนุ่มด้วยสีหน้าท่าทีเขินอาย เมื่อนึกได้ว่าตนเผลอแสดงด้านมุมที่อ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็นเข้าเสียแล้ว พ่อมดวัยเยาว์จึงถือโอกาสนี้ร่ายเวท “Misericordias Domini (พระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า) ” เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้
แขนขวาของโมนิก้าได้รับการฟื้นฟูจนบาดแผลหายสนิท แม้แต่แขนเสื้อที่ฉีกขาดตรงบริเวณดังกล่าวก็ถูกซ่อมแซมคืนสู่สภาพปกติ เสร็จเรียบร้อยแล้วยุวสตรีนักพยากรณ์จึงมอบหลอดน้ำยาฟื้นฟูสมรรถภาพพลังกายและพลังเวท ส่งมอบให้แก่เขาเพื่อเป็นของตอบแทน
ภายหลังจากที่สองหนุ่มสาวดื่มน้ำยาฟื้นฟูเสร็จสิ้น โมนิก้าก็ได้ซักถามเลวอนถึงข้อสงสัยบางอย่าง
“เอ่อ… ว่าแต่คุณเลวอนรู้ได้ยังไงกันคะว่าฉันแอบมาทำภารกิจที่นี่เพียงลำพัง?”
“ตอนที่ผมกำลังฝึกพิเศษอยู่ ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟได้โทรศัพท์ติดต่อเข้ามาน่ะ ก็เลยยกเลิกการฝึกสำหรับวันนี้แล้วรีบออกตามหาโมนิก้าทันที ส่วนออเดรย์ส่งข้อความแจ้งข่าวสารให้พวกวัตสันได้รับทราบเพื่อนัดรวมกลุ่ม แล้วช่วยตามสมทบพวกเราในภายหลัง… แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาช้าเกินไปเสียแล้วสิ”
เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มมุมปากพลางนำคาตานะเก็บใส่ลงในฝักดาบให้เรียบร้อย ในขณะที่เด็กสาวเผยสีหน้าอากัปกิริยาหวั่นสะพรึงต่อความเฉลียวฉลาดของผู้นำหมู่บ้าน เมื่อรู้ว่าความลับที่ตนเองพยายามปกปิดเอาไว้ได้แดงตั้งแต่แรกเริ่ม
“ส… สมกับจอมเวทชั้นพาลาดิน มองความตั้งใจของฉันออกจริง ๆ ด้วย”
“ฮะฮะฮะ อย่าได้ดูถูกศาสตราจารย์เชียว… รออยู่ตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวผมเดินไปหยิบคริสตัลมาให้”
เลวอนขันอาสารีบวิ่งจากไปโดยที่โมนิก้าไม่ทันได้เอ่ยปากเสนอตัว เธอตัดสินใจก้มลงหยิบหมวกแม่มดใบใหญ่ขึ้นมาจากพื้นดินแล้วปัดฝุ่นให้เรียบร้อย เงยหน้าจับจ้องมองดูแผ่นหลังของเขาซึ่งค่อย ๆ ถอยห่างไกลออกไปด้วยความหลงใหล โดยที่ไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่ายได้เลย
“…พี่ชายงั้นเหรอ นี่เราเผลอพูดอะไรออกไปเนี่ย น่าอายชะมัด”
แม่มดสาวร่างเพรียวบางเกริ่นพึมพำ พลางรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งแก้มราวกับโดนไฟสุม เธอยกหมวกขึ้นมาบังใบหน้าเหลือเพียงแค่ดวงตากับสันจมูกเท่านั้นเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย แต่ถึงกระนั้นตัวเธอกลับพึงพอใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จนเผลอหลุดรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา แม้ว่าจะเพิ่งผ่านพ้นวินาทีเฉียดตายเมื่อไม่นานมานี้เองก็ตาม
ทางด้านพ่อมดหนุ่ม เมื่อมุ่งหน้าไปได้ราวยี่สิบเมตร จึงพบเจอกับอัญมณีสีน้ำเงินขนาดเท่ากำปั้นตกอยู่บนผืนแผ่นดินท่ามกลางเหล่าเศษซากใบไม้ซึ่งแห้งผาก เขาย่อเข่าก้มลงหยิบขึ้นมาอย่างไม่รีรอ ก่อนจะวกกลับไปหาโมนิก้าอีกครั้งเพื่อส่งมอบให้แก่เธอพร้อมทั้งกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
“รับไปสิ”
เด็กสาวนำหมวกแม่มดสวมเข้าที่ศีรษะก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเข้ากุมมือหนาสากของเด็กหนุ่มซึ่งถือคริสตัลเอาไว้อย่างแผ่วเบา แล้วเอ่ยถ้อยคำอันแสนละมุนด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
“คริสตัลชิ้นนี้ควรตกเป็นของคนที่สามารถโค่นล้มศัตรูลงได้ คุณเลวอนช่วยเก็บมันเอาไว้เถอะค่ะ”
“โมนิก้า…”
เลวอนออกอาการเหนียมอายเล็กน้อย โดยต่างฝ่ายต่างยืนสบสายตากันพร้อมทั้งแก้มแดงระเรื่อ เขาและเธอเปรียบได้เหมือนดั่งคู่รักที่เชื่อมโยงจิตใจเข้าหากัน จนไม่อาจสาธยายถึงความรู้สึกอันอบอุ่นผ่านทางคำพูดได้อย่างชัดเจน
แซ่กแซ่กแซ่ก…
เสียงฝีเท้าที่กระทบกับเหล่าใบไม้แห้งบนพื้นดินดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่ง ทั้งสองชายหญิงต่างสะดุ้งโหยงรีบหันไปมองยังจุดดังกล่าวทันที พบว่ามีเด็กสาววัยรุ่นเจ้าของเรือนผมสีแดงฉานรายหนึ่งในชุดเครื่องแบบสีดำนิลหรือ “สลาติก้า ซาวาดสก้า” กำลังวิ่งตรงมาทางนี้อย่างร้อนรนใจพลางส่งเสียงเหนื่อยหอบ
“คุณคือ…?” โมนิก้าเอ่ยซักถามต่อบุคคลปริศนาด้วยความฉงน
“ค… คริสตัลชิ้นนั้น ใช่แกนกลางของพยัคฆ์ขาวรึเปล่า?”
สลาติก้าไม่ได้ให้ความสนใจต่อคำถามเมื่อสักครู่นี้ ก่อนจะชะลอฝีเท้ายืนห่างจากคู่สนทนาราวหกเมตร อีกทั้งยังจับจ้องมองอัญมณีสีน้ำเงินซึ่งอยู่ในมือของเลวอนด้วยสีหน้าท่าทีวิตกกังวล บุรุษจอมดาบเวทจึงตัดสินใจมอบคำตอบแก่เธอ
“ใช่ครับ คุณเองก็เดินทางมาที่นี่เพื่อทำเควสเหมือนกันงั้นสินะครับ?”
“!? ม-ไม่จริง…”
สลาติก้ารู้สึกเจ็บสะเทือนใจราวกับโดนคำพูดทิ่มแทงใส่ เธอช็อกและแน่นิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มกัดฟันดังกรอดพลางกำหมัดทั้งสองเอาไว้แน่นด้วยความเคืองแค้น เมื่อรู้ว่าตนเองได้สูญเสียสัตว์เลี้ยงคลายเหงาซึ่งเปรียบเสมือนดั่งครอบครัวคนสำคัญไปแล้ว แม้ใครจะมองว่ามันเป็นเครื่องมือสังหารผู้คนก็ตาม
“พยัคฆ์ขาว ขอโทษด้วยนะที่ฉันเข้ามาช่วยชีวิตแกช้าเกินไป…”
“หรือว่า…!?”
เลวอนและโมนิก้ารีบก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อยพร้อมตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ทั้งคู่รู้ได้โดยทันทีว่าอีกฝ่ายคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ดีเด็กสาวผมสีชาดยังคงท่าทีสุขุมใจเย็น และพยายามสะกดอารมณ์ร้อนเอาไว้ให้มั่นคง ตามด้วยยื่นแขนแบมือขวาออกไปหมายจะทวงสิ่งของบางอย่าง
“ในเมื่อพวกคุณสองคนโค่นล้มมันไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ถ้างั้นได้โปรดช่วยส่งคริสตัลให้ฉันด้วย… ถือเสียว่าเป็นคำขอร้องจากฉันก็แล้วกัน”
“ขอปฏิเสธ ถ้าหากพวกเราคืนสิ่งนี้ให้คุณ สักวันหนึ่งคุณจะต้องนำเอามันไปใช้ในทางที่ผิดอีกแน่ ๆ แค่นี้ก็มีผู้บริสุทธิ์ล้มตายไปมากพอแล้ว เพราะงั้นยอมมอบตัวเสียเถอะค่ะ!”
โมนิก้าตอบอย่างเด็ดขาด ในขณะที่เลวอนนำเอาอัญมณีสุกสกาวเก็บใส่ลงในกระเป๋าสะพาย คราวนี้สลาติก้าเริ่มเผยสีหน้าคิ้วขมวดจ้องเขม็งเล็ง พร้อมทั้งเน้นย้ำด้วยท่าทีและน้ำเสียงอันแข็งกร้าวต่ออีกฝ่าย
“ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรดช่วยส่งมันมาให้ฉันด้วย ของสิ่งนั้นสำคัญต่อฉันมากจริง ๆ”
“ไม่รู้หรอกนะว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร แต่พวกเราคงคืนสิ่งนี้ให้คุณไม่ได้-”
——ปึ้ง!
ไม่ทันที่บุรุษจอมดาบเวทจะกล่าวทัดทานจบประโยค แม่มดสาวครึ่งปีศาจก็พลันระเบิดความแค้นออกมา โดยการพุ่งเข้าประชิดตัวด้วยหมัดขวาเหวี่ยงซัดใส่เขาด้วยกระบวนท่ามวยจีนไท่เก๊ก พร้อมทั้งกู่ร้องลั่นบันดาลโทสะ
“ก็บอกว่าส่งมันมาให้ฉันยังไงเล่า!”
“อึ้ก!?”
เลวอนรีบยกสองแขนขึ้นปัดป้องการจู่โจม ด้วยท่ามวยจีนหวิงชุนอย่างทันท่วงทีตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากอาเธอเรีย ทว่าด้วยความว่องไวสุดเหลือเชื่อของสลาติก้ากลับทำให้เขาต้องตกตะลึง
“คุณเลวอน!” โมนิก้าพลันส่งเสียงร้องด้วยความเป็นห่วง
“ความหวังสุดท้ายของฉัน…! เอาคืนมา เอาของของฉันคืนมาเดี๋ยวนี้!”
เด็กสาวนัยน์ตาสีอำพันยังคงเรียกร้องทวงของสำคัญ พร้อมทั้งขยับเคลื่อนไหวโจมตีใส่ไม่ยั้ง โดยนำเอาศิลปะการต่อสู้วิชาไท่เก๊กและแปดปรมัตถ์ซึ่งเธอถนัด ออกมาร่ายรำกระบวนท่าต่อเนื่อง บุรุษหนุ่มจึงโต้ตอบกลับคืนด้วยวิชามวยดังกล่าวโดยอัตโนมัติ จนต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกรับแบบสมน้ำสมเนื้อ
ไม่ว่าจะเป็นศอก ฝ่ามือ กำปั้น หัวเข่า เท้า หรือลูกเตะ เลวอนและสลาติก้าต่างก็ปัดป้องหลบการจู่โจมเอาไว้ได้แทบทั้งหมด จนสองหนุ่มสาวเริ่มรู้สึกประหลาดใจ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าคู่ต่อสู้ของตนจะสามารถใช้ศิลปะวิทยายุทธ์จีนแบบเดียวกันเข้าโรมรัน และมีน้อยคนนักที่จะชำนาญช่ำชองเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามเลวอนแอบตระหนักรู้ดีว่า ตนเองยังคงอ่อนด้อยในแง่ของประสบการณ์และระยะเวลาในการฝึกฝน ด้วยเหตุนี้เขาจึงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากโมนิก้าที่กำลังยืนอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกอยู่ เพื่อมองหาช่องว่างคอยสวนกลับการโจมตี
“โมนิก้า ช่วยร่ายเวทตัดกำลังศัตรูให้ที!”
“ร-รับทราบค่ะ!”
แม่มดสาวร่างอรชรขานรับคำสั่ง ก่อนจะสะบัดนิ้วชี้ขวาซึ่งสวมแหวนกายสิทธิ์เพื่อร่ายคาถา เนรมิตเวทมนตร์โจมตีใส่วีรสตรีผู้ห้าวหาญอย่างไม่รีรอช้า
“Sonantis tonitrui! (อัสนีวายุ) ”
เกิดแสงสายฟ้าสีขาวสว่างวูบวาบ พร้อมด้วยสายลมถูกปลดปล่อยออกมาจากปลายนิ้วชี้ พุ่งกระทบเข้าหาเป้าหมายอย่างจังภายในเสี้ยววินาที ทว่าช่างน่าเสียดายที่การโจมตีไร้ผล เมื่อเปลวเพลิงปริศนาพลันลุกโชนขึ้นรอบตัวของสลาติก้าหมุนเกลียวประดุจดั่งวังวน คอยปัดเป่าคาถาการของโมนิก้าให้อันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เลวอนรีบถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างเอาไว้ เนื่องจากสัมผัสได้ถึงอันตรายจากเวทมนตร์เพลิงอันบริสุทธิ์ ส่วนเด็กสาวยอดนักสู้ก็ได้ยืนแน่นิ่งเกริ่นน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับผู้มีชัย
“เปล่าประโยชน์ สู้กันแบบสองรุมหนึ่งคิดว่าจะจะเอาชนะฉันได้งั้นเรอะ?”
“ก-โกหกน่า ใช้เวทมนตร์ได้โดยไม่ขยับปากร่ายคาถาเนี่ยนะ!”
โมนิก้าประหลาดใจ เพราะสิ่งที่สลาติก้าแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นนั้น ถือเป็นความสามารถขั้นสูงซึ่งมีน้อยคนนักจะทำได้ ขณะเดียวกันบุรุษหนุ่มรูปงามกลับนึกลังเลใจขึ้นมาว่า ตนควรใช้คาถาโบราณขั้นสูงจัดการกับอีกฝ่าย หรือควรถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไปจนกว่าวัตสันและพรรคพวกจะตามมาสมทบ
เพราะถ้าหากตัดสินใจผิดพลาด นั่นอาจทำให้เขาถึงแก่ความตายได้
“Ամպրոպ! [Amprop (อสนีบาตพิฆาต) ] ”
——เปรี๊ยะเปรี๊ยะ!
เลวอนเลือกที่จะต่อสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย แม้ว่าสภาพร่างกายถึงขีดจำกัดแล้วก็ตาม โดยการร่ายเวทมนตร์สายฟ้าแล้วดูดกลืนเข้าร่างเพื่อใช้เทคนิค “Cantus Bellax (ลำนำสัประยุทธ์) ” หมายจะจู่โจมใส่ศัตรูด้วยความเร็วสูงสุด ในระหว่างนั้นเอง บุตรีแห่งเพลิงบรรลัยกัลป์ก็ได้ขยับตั้งท่าเตรียมรับมือ ต่างฝ่ายต่างจับจ้องอ่านการเคลื่อนไหวอย่างไม่ละสายตา
ในท้ายที่สุด บุรุษแห่งสายฟ้าได้ตัดสินใจรุดหน้าเปิดฉาก ซัดใส่สตรีผู้ห้าวหาญด้วยวิชามวยจีนทันที
ด้วยความรวดเร็วประดุจดังอสนีบาต ส่งผลทำให้สลาติก้าไม่อาจปัดป้องการรุกคืบเอาไว้ได้ทั้งหมด และโดนโจมตีเข้าบางจุด เธอจึงสวนกลับด้วยการร่ายเวทเปลวไฟไว้ที่สองกำปั้นแล้วชกหมัดใส่เลวอน หวังจะเผาผลาญร่างและจิตวิญญาณของเขาในคราเดียว ทว่าพ่อมดหนุ่มกลับโยกหลบซ้ายขวาได้อย่างฉิวเฉียด
โมนิก้าไม่สามารถร่ายเวทโจมตีสนับสนุน หรือคอยให้ความช่วยเหลือเลวอนได้ เนื่องจากไม่อาจไล่ตามความเร็วเหนือมนุษย์ของสองยอดนักสู้ได้ทัน หากลงมือผิดพลาดเผลอเสกคาถาไปโดนพวกเดียวกันเสียเองก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เธอจึงทำได้แค่เพียงยืนให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ และคอยหาช่องว่างเล่นงานศัตรูตอนทีเผลอเท่านั้น
——ตึกตัก!
“อึ้ก!?”
เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบตรงบริเวณหน้าอกอีกครั้ง ทำให้เสียจังหวะการเคลื่อนไหวพลางชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เด็กสาวนัยน์ตาสีอำพันเร่งสบโอกาสนี้เข้าประชิดตัว สไลด์เท้าขวาย่ำลงกระแทกพื้นพร้อมย่อเข่าทั้งสองเล็กน้อย เหวี่ยงศอกขวายกขึ้นทิ่มแทงใส่กลางลิ้นปี่ของคู่ต่อสู้ใส่เต็มรัก ตามแบบฉบับวิชามวยแปดปรมัตถ์เป็นการปิดท้าย
พลั่ก!!
ร่างของเลวอนกระเด็นถอยหลังราวสิบห้าเมตรก่อนที่แผ่นหลังจะกระแทกลงกับพื้นดิน ความเจ็บปวดที่เขาได้รับพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างพร้อมทั้งสูญสิ้นพลังเวทสายฟ้า สะเทือนถึงข้างในหัวใจซึ่งมีเขี้ยวของวลาดที่สามทิ่มแทงอยู่ เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นกุมกลางอกเผยสีหน้าคิ้วขมวด ส่งเสียงร้องนอนดิ้นพล่านอย่างทุรนทุรายราวกับจะขาดใจตายตรงนี้เสียให้ได้
“อั๊ก… อ๊ากกกกกกก!!”
ร่างกายและจิตใจของเลวอนร้อนรุ่มราวกับถูกไฟนรกแผดเผา เนื่องด้วยเวทมนตร์เพลิงของสลาติก้า โมนิก้าถึงกับออกอาการตื่นตระหนกพลางเผยสีหน้าหวั่นวิตก รีบวิ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มพร้อมทั้งทรุดเข่านั่งลงใกล้ ๆ นำสองมือบางยกประคองร่างอีกฝ่ายให้อยู่ในอ้อมแขนตน พร้อมส่งเสียงเรียกร้องออกมาทั้งน้ำตา
“คุณเลวอน ทำใจดี ๆ เอาไว้นะคะ!”
“เอาล่ะ คราวนี้จะส่งมันมาให้ฉันได้แล้วหรือยัง?”
สตรีผมสีชาดเริ่มก้าวเท้าเข้าหาอย่างสุขุม เปลวเพลิงซึ่งลุกโชนรอบตัวเธอในตอนนี้ได้มอดดับลงกลับคืนสู่สภาพปกติ โมนิก้ารีบเงยหน้าจ้องเขม็งใส่อีกฝ่ายพร้อมทั้งแผดเสียงตะโกนอย่างโกรธแค้น ทั้งที่หยาดน้ำตากำลังไหลอาบนองแก้ม
“อย่าเข้ามานะ ฉันจะไม่ยอมให้คุณทำอะไรเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว!”
“ถ้าเขายอมทำตามคำขอฉันตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องมาเจ็บเจียนตายแบบนี้หรอก”
สลาติก้ากล่าวยอกย้อน โดยยังคงก้าวเท้าเดินเข้ามาจนกระทั่งถึงห้าเมตรสุดท้าย แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้ารีบสะบัดวาดนิ้วชี้ร่ายคาถาจู่โจมใส่อีกฝ่ายด้วยความบันดาลโทสะ โดยที่ไม่สนใจเลยว่าตัวเองอาจต้องได้รับภัยอันตรายจากศัตรู
“Pluvia maledictionis! (พิรุณแห่งคำสาปแช่ง) ”
“Confinium (คาถาพันธนาการ) ”
ไม่ทันที่โมนิก้าจะปลดปล่อยพลังเวท ยุวสตรีผมสีโลหิตก็พลันยกมือซ้ายซึ่งสวมแหวนกายสิทธิ์สีทองชี้นิ้วมายังตัวเธอ ทำให้ร่างกายหยุดชะงักไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้เสมือนดั่งรูปปั้นหิน สร้างความประหลาดใจให้แก่สาวน้อยผู้บอบบางยิ่งนัก
“!? …อะไรกัน ร่างกายขยับตัวไม่ได้!?”
“รบกวนช่วยอยู่นิ่ง ๆ สักพักเถอะ”
สลาติก้าย่อตัวนั่งชันเข่าเข้าใกล้เลวอน ซึ่งกำลังนอนเกร็งร่างยกมือขึ้นกุมกลางอกอย่างทุกข์ทรมาน โดยที่เธอไม่ได้ให้ความสนใจไยดีต่อโมนิก้าเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงกล่าวชื่นชมต่อพ่อมดหนุ่มรูปงามอย่างสัตย์จริงด้วยสีหน้าน้ำเสียงราบเรียบ ผิดจากตอนที่ตนได้เผยอารมณ์แค้นออกมาเมื่อช่วงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“คุณเลวอนงั้นสินะ บอกตามตรงฉันรู้สึกประทับใจคุณมาก ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอคนที่ใช้วิทยายุทธ์จีนเหมือนกัน ถึงแม้การเคลื่อนไหวจะยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควรก็ตาม… ฉันยังไม่อยากลงมือฆ่าคุณตอนนี้ เพราะงั้นขอรับคริสตัลไปล่ะ”
“ค-คุณเลวอน…!”
โมนิก้าไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าอีกแล้ว นอกเสียจากส่งเสียงพึมพำหรือชำเลืองสายตามองเลวอนด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น และปล่อยให้สลาติก้าเริ่มนำมือล้วงกระเป๋าสะพายบ่าเพื่อหยิบคริสตัลสีน้ำเงินออกมาตามอำเภอใจ
——ง่ำ!
ทันใดนั้นเลวอนได้เงยตัวขึ้นมาด้วยกิริยาท่าทีสงบเสงี่ยม โดยปราศจากความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น เขาโน้มใบหน้าเข้ากัดซอกคอฝั่งซ้ายของโมนิก้า แล้วใช้ฟันเขี้ยวอันแหลมคมขบใส่เพื่อดื่มด่ำเลือดอย่างหิวกระหาย ส่งผลทำให้เธอส่งเสียงกรีดร้องลั่นตาเบิกโพลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“อะ อ๊าย~!?”
สลาติก้าสะดุ้งโหยงรีบลุกขึ้นถอยหลังตั้งหลัก ทิ้งระยะห่างออกจากสองหนุ่มสาวอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้คว้าอัญมณีติดมือกลับมาด้วย ณ เวลานี้มีเพียงแค่ความรู้สึกตะลึงพรึงเพริดชวนสยดสยองเท่านั้น ในขณะที่บุรุษหนุ่มรูปงามยังคงโลมเลียเลือดของโมนิก้าหลายอึก ราวกับจะพรากวิญญาณอีกฝ่ายให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น
เด็กสาวร่างเล็กนัยน์ตาสีฟ้าเริ่มเผยท่าทีอ่อนแรงพลางส่งเสียงอื้ออึงใกล้สิ้นสติ ถ้าหากตัวเขายังไม่หยุดความตั้งใจไปมากกว่านี้ เธออาจจะต้องถึงคราวช็อกตายเพราะเสียเลือดฉับพลันเป็นแน่แท้
บุรุษจอมดาบเวทได้ผละริมฝีปากออกจากต้นคอฝั่งซ้ายของโมนิก้า ปล่อยให้เธอทรุดตัวนอนลงบนพื้นในสภาพที่อ่อนระทวย หายใจรวยริน และอาบโชกไปด้วยเหงื่อ แม้ว่าเขาจะทำการคลายคาถาพันธนาการให้แล้วก็ตาม ถัดมาเลวอนลุกขึ้นยืนอย่างท่าทีเยือกเย็นพร้อมทั้งปลดปล่อยจิตสังหารข่มใส่ จนสลาติก้าสั่นเทาด้วยความยำเกรงชนิดที่เย็นยะเยือกไปถึงสุดขั้วหัวใจ
“จ… จิตมุ่งร้ายรุนแรงไม่ต่างจากท่านพ่อเลย”
นอกเหนือจากจอมมารไซตอนแล้ว เลวอนถือเป็นคนแรกที่ทำให้สลาติก้าหลุดสีหน้าหวาดกลัวออกมา
ปลายเส้นผมของบุรุษหนุ่มกลายเป็นสีเทาเข้มจนเกือบดำสนิท นัยน์ตาถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้าน้ำทะเล ภายใต้ใบหน้าคิ้วขมวดเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและความอาฆาตแค้น ราวกับถูกสลับสับเปลี่ยนบุคลิกให้กลายเป็นอีกคนหนึ่ง แตกต่างไปจากเลวอนผู้แสนสุภาพคนเดิมอย่างสิ้นเชิง
บัดนี้ราชาผีดูดเลือดฉายา “จอมเสียบแห่งโรมาเนีย” ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“หึหึหึ เลือดของเด็กสาวมันช่างหอมหวานเหมือนอย่างที่ข้าคิดเอาไว้ไม่มีผิด”
วลาดที่สามแสยะยิ้ม พลางยกมือขวาขึ้นมาปาดคราบเลือดซึ่งเปรอะเปื้อนตรงมุมปาก แล้วแลบปลายลิ้นโลมเลียนิ้วมือเพื่อลิ้มรสชาติให้หมดสิ้นหยาดหยดสุดท้าย ทางด้านแม่มดสาวผมสีชาดพยายามตั้งสติเพื่อไม่ให้ความกลัวเข้าครอบงำตน ก่อนจะรีบเกริ่นซักถามเขาด้วยสีหน้าน้ำเสียงตื่นตระหนก
“จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมากัดคอดูดเลือดพวกเดียวกันเองแบบนี้… นี่คุณเป็นตัวอะไรกันแน่!?”
“ช่างโง่เขลาสมกับเป็นสามัญชนเสียจริง จอมมารไซตอนมันไม่เคยเล่าเรื่องตำนานผีดูดเลือดให้เจ้าเลยหรือยังไง ทั้งที่ข้าเป็นศัตรูหนามยอกอกมันแท้ ๆ”
สิ้นเสียงคำตอบจากเจ้าชายแห่งวาลาเคียในร่างของบุรุษหนุ่มรูปงาม โมนิก้าซึ่งนอนหายใจหอบด้วยความเหนื่อยล้าก็ได้เปล่งเสียงแผ่วเบา พลางจับจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความหวั่นสะพรึง ทั้งที่อีกใจหนึ่งกลับนึกเป็นห่วงคนรักของตน ต่อให้ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเธอในตอนนี้จะไม่ใช่บุคลิกของเลวอนแล้วก็ตาม
“ม… ไม่จริง อย่าบอกนะว่าคุณคือ…”
“…วลาดที่สาม!”
สลาติก้าเรียกขานนามของศัตรูด้วยอาการสั่นสู้ ครั้นจะถอยกลับไปโดยไร้ซึ่งคริสตัลสีน้ำเงิน ก็อาจถูกจอมมารไซตอนพูดสบถดูแคลนหรือโดนลงทัณฑ์เป็นแน่ เว้นเสียแต่ต้องต่อสู้กับพ่อมดหนุ่มผู้กระหายเลือดจนกว่าจะมีใครสักคนตายกันไปข้าง และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยให้เธอหนีหลุดพ้นจากห้วงนรกแห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
เด็กหนุ่มผมสีเทาแกมดำเผยรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง พลางยกมือขวาใช้นิ้วโป้งหักโคนนิ้วชี้เกิดเสียงดังกรอบโดยปราศจากความเจ็บปวด สภาพของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากได้ลิ้มรสเลือดของโมนิก้าอย่างสาสมใจ ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงดุดันประกาศศักดาต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรงกลัว
“แล้วเจ้าจะเสียใจที่บังอาจมาทำร้ายร่างสถิติของข้า แต่จงรู้สึกเป็นเกียรติเสียเถอะ เพราะข้าผู้นี้จะเป็นคู่ต่อสู้คอยเล่นสนุกกับความไร้ซึ่งพลังของเจ้าเอง นังสามัญชน!”