“เฮือก!?”
เลวอนสะดุ้งตกใจหลังจากหมดสติไปชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ได้มายืนอยู่ในพื้นที่ซึ่งแปลกตาไปเสียแล้ว
เป็นสถานที่สีขาวโพลนแห่งหนึ่ง กว้างขวางและทอดไกลออกไปจนถึงเส้นขอบฟ้า ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเสียจากความว่างเปล่า ทว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อมดหนุ่มได้ย่างกรายเข้ามายังดินแดนนี้ หากนับช่วงเหตุการณ์เมื่อครั้นที่ตนถูกราชันผีดูดเลือดเข้าควบคุมร่างเมื่อสองถึงสามสัปดาห์ก่อน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่วลาดมองเห็นหรือสัมผัสได้ในขณะที่ยึดครองร่างอยู่นั้น เลวอนเองก็จะสามารถรับรู้ถึงการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยเช่นกันในฐานะผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ ทว่าในเวลานี้เขาไม่อาจแย่งชิงร่างกายตนเองกลับคืนมา และทำได้เพียงเปล่งเสียงพึมพำอย่างทุกข์ระทมใจเท่านั้น
“นี่เราโดนยึดร่างอีกแล้วเหรอเนี่ย แถมยังทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นกับโมนิก้าด้วย…!”
“หากไม่ทำเช่นนั้น ชีวิตของเจ้าก็อาจถึงคราวตายเพียงเพราะคำสาปที่ข้าได้รับมาน่ะสิ”
น้ำเสียงนุ่มลึกและดุดันพลันดังแว่วขึ้น เลวอนรีบหันหลังมองดูจึงพบเห็นบุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเทาแกมดำในชุดลำลองสุภาพ ยืนอยู่ห่างจากตนราวห้าเมตร ทั้งเค้าโครงใบหน้าและทรงผมของอีกฝ่ายนั้นช่างละม้ายคล้ายคลึงเหมือนกับเขา ประดุจภาพบนกระจกเงาที่สะท้อนกลับมา โดยแววตาสีน้ำทะเลได้จับจ้องมองมาทางนี้อย่างเยือกเย็น
บุรุษผู้นี้คือ “วลาดที่สามจอมเสียบแห่งวาลาเคีย” หรือราชันผีดูดเลือดนั่นเอง
“รู้ตัวบ้างไหมว่าคุณเกือบทำให้โมนิก้าต้องเสียเลือดตาย ถ้าหากเธอคนนั้นเป็นอะไรไปผมจะไม่มีวันยกโทษให้คุณแน่!
“โง่เขลาเสียจริง ที่ข้ายังไม่ดูดเลือดของเด็กหญิงผู้นั้นจนหมดตัวก็นับว่าเป็นความเมตตาจากข้ามากพอแล้ว ว่าแต่คนอ่อนแออย่างเจ้าน่ะคิดจะทำอะไรข้าได้รึยังไง?” วิญญาณวีรชนเกริ่นยอกย้อนพลางคิ้วขมวด
“อย่างน้อยก็กล้าพอที่จะปลิดชีพตัวเอง เพื่อไม่ให้คุณได้ใช้ร่างของผมไปก่อเรื่องตามอำเภอใจอีก และจะลงมือทำแน่ถ้าหากพวกพ้องของผมได้รับอันตรายจากคุณ”
“โฮ่… ช่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ทั้งที่ในใจส่วนลึกของเจ้ากำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่แท้ ๆ แต่ถึงกระนั้นข้าก็จะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อนแน่ เพราะข้ายังต้องการใช้ประโยชน์จากเจ้าอยู่”
ราชันผีดูดเลือดกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างไม่ยี่หระ หาได้สนใจคำขู่จากคู่สนทนา เลวอนกัดฟันดังกรอดพลางจ้องเขม็งเล็งอีกฝ่าย ก่อนจะซักถามถึงจุดประสงค์ด้วยความฉุนเฉียว
“วลาด เทเปส คุณคิดอยากจะใช้ร่างของผมไปทำเรื่องอะไรกันแน่ ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ช่วงชิงอำนาจจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ หรือว่าโค่นล้มจอมมารไซตอน แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่แทน? …ถึงยังไงก็ตาม เป้าหมายของคุณน่ะไม่มีวันกลายเป็นจริงขึ้นมาได้หรอก”
“ฮึ เรื่องไร้สาระที่เจ้าพล่ามมานั่นไม่เคยมีอยู่ในหัวของข้าเลยสักนิด สิ่งที่ข้าปรารถนาคือการแก้แค้นและการกลับไปยังมาตุภูมิเท่านั้น อีกอย่างตอนนี้ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะมาเถียงกับเจ้า จงยืนมองดูข้าอย่างเงียบ ๆ ต่อไปเสียเถอะ”
วลาดที่สามรีบหันหลังเดินจากไป ไม่ทันไรไปเลวอนก็พลันซักไซ้คำถามข้อสุดท้ายต่อเขา พลางทำท่าเอื้อมมือหมายเหนี่ยวรั้งคู่สนทนาด้วยความร้อนรนใจ
“เดี๋ยวก่อน คุณคงไม่คิดที่จะฆ่าโมนิก้ากับเด็กผู้หญิงคนนั้นหรอกใช่ไหม!?”
“ข้าไม่เคยคิดมุ่งร้ายหมายเอาชีวิตผู้ที่ไม่มีเจตนาจะฆ่าฟัน เว้นเสียแต่มันผู้ใดบังอาจเข้ามาขัดขวางเป้าหมายของข้า ก็จะถือว่ามันผู้นั้นคือศัตรู!”
“ย… อย่านะ!”
เลวอนรีบเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปหาเพื่อห้ามรั้ง ทว่าร่างของเจ้าชายแห่งวาลาเคียกลับอันตรธานหายไปจากที่นี่เสียแล้ว มิได้หันมาสบตามองหรือนึกแยแสต่อเขาเลย โดยทอดทิ้งให้พ่อมดหนุ่มผู้น่าสงสารต้องยืนโดดเดี่ยวตามลำพัง ท่ามกลางความเงียบสงบวังเวงและปราศจากสิ่งอื่นใด
“รีบกลับคืนร่างเร็วเข้าสิ… เร็วเข้า!”
เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันพยายามตั้งสมาธิแย่งชิงร่างตนกลับคืนมา แม้นว่าจะใส่แรงลงไปอีกสักกี่ครั้ง ความตั้งใจของเขาก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากจิตวิญญาณของวลาดที่สามในคราวนี้ไม่ได้อ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“…โธ่เอ๊ย!”
เลวอนกระทืบเท้าขวาใส่พื้นเพื่อระบายอารมณ์โทสะ ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดเข่าลงแล้วนำสองมือหนาขึ้นมากุมจี้สร้อยคอไม้กางเขนสีแวววาว ก้มศีรษะอธิษฐานวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยสีหน้าท่าทางทรมานใจ
“ข้าแด่พระเยโฮวาห์เจ้า ตัวลูกจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่าง ได้โปรดช่วยคุ้มครองโมนิก้าให้รอดพ้นจากภัยอันตรายด้วย ลูกไม่อยากสูญเสียพวกพ้องคนสำคัญเพราะตนอีกต่อไปแล้ว…!”
นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ แม้ว่าความหวังที่เหลืออยู่จะเริ่มมอดดับลง
********************
แหมะแหมะ… ซ่าซ่าซ่า…
หยาดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาหลังจากที่กลุ่มเมฆพลันมืดครึ้มอย่างกะทันหัน ทำให้เลวอน โมนิก้า และสลาติก้าต่างก็เปียกชโลมเยือนยะเยือกไปทั่วเรือนร่าง ท่ามกลางป่าทึบซึ่งอยู่นอกเขตพื้นที่หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน
การต่อสู้ที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นนับจากนี้ ทั้งราชันผีดูดเลือดแห่งวาลาเคีย และสตรีผู้ห้าวหาญผมสีเลือด ยังคงยืนจ้องเขม็งเล็งต่างดูชั้นเชิงของคู่ต่อสู้ใส่กัน ในขณะที่แม่มดสาวร่างเล็กนัยน์ตาสีฟ้ากำลังนอนหายใจรวยรินบนพื้นโดยปราศจากเรี่ยวแรง หนาวสั่นไปทั้งตัวเนื่องด้วยความเย็นจากน้ำฝน อีกทั้งร่างกายยังสูญเสียเลือดไปค่อนข้างมาก
ถึงกระนั้นแล้ว วลาดที่สามในร่างของเลวอนกลับมิได้ให้ความห่วงใยต่อชีวิตของโมนิก้าเลยแม้แต่น้อย สลาติก้าเองก็นึกแต่จะหาทางแย่งชิงคริสตัลสีน้ำเงินจากศัตรูเสียให้ได้
“ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเจ้ากับไซตอน หลังจากที่เจ้าพวกเด็ก ๆ โค่นล้มปีศาจ Aka Manah ลงสำเร็จแล้วเดินทางออกจากบ้านร้างแห่งนั้นไป… หรือว่าพวกเจ้าสองคนคิดอยากจะนำเอาอัญมณีเหล่านั้นไปทำอะไรกันแน่?”
บุรุษหนุ่มผมสีเทาแกมดำเกริ่นซักถามด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็น สลาติก้าตาเบิกโพลงพลางประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะแสดงอากัปกิริยามั่นคงกลบเกลื่อน แล้วจึงปฏิเสธบ่ายเบี่ยงกลับคืนไป
“สัมผัสถึงตัวตนของพวกเราได้ด้วย…? สมแล้วที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบในตำนานที่มีพลังเทียบเท่าจอมเวทชั้นพาลาดิน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามคุณอยู่ดี”
“ช่างเล่นลิ้นเก่งเสียจริง หารู้ไม่ว่าเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับใครอยู่”
“สภาพของคุณที่เอาแต่พึ่งพาร่างสถิตของคนอื่นในตอนนี้ แถมก่อนหน้านั้นยังพ่ายแพ้ให้กับท่านพ่อจนกลายมาเป็นผีดูดเลือดอย่างน่าสมเพช ถึงจะมีดีแค่จิตสังหารรุนแรงแต่ก็ไม่อาจกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเมื่อครั้งก่อนได้อยู่ดี… ถ้าไม่อยากให้ร่างสถิตของคุณพลอยได้รับอันตรายไปด้วยล่ะก็ ได้โปรดช่วยส่งคืนคริสตัลมาให้ฉันเถอะ”
สลาติก้าพูดจาเหน็บแนมหมายจะแทงใจดำอีกฝ่าย ทว่าวลาดที่สามกลับส่งเสียงหัวเราะเยาะพลางยั่วยุใส่เธอ
“ฮะฮะฮะ! เป็นแค่สามัญชนแท้ ๆ บังอาจมาออกคำสั่งกับข้างั้นเรอะ ถ้าหากว่าเจ้ามีฝีมือมากพอสมคำโอ้อวด ก็รีบเข้ามาแย่งชิงไปจากข้าเลยสิ!”
“อย่ามาหยามกันนะ!!”
เด็กสาวนัยน์ตาสีอำพันแผดเสียงเดือดดาล ไม่อาจอดทนต่อถ้อยคำดูหมิ่นของคู่สนทนาได้อีกต่อไป รีบพุ่งเข้าโจมตีใส่ฉับพลันด้วยท่าชกหมัดขวาตรงตามแบบฉบับวิชามวยแปดปรมัตถ์ทันที ทั้งที่เธอและคู่ต่อสู้ยืนอยู่ห่างกันราวสิบเมตร
บุรุษแห่งวาลาเคียยืนตั้งรับเบี่ยงสะบัดการโจมตีจากสลาติก้า นำฝ่ามือซ้ายขึ้นมาปัดป้องสลับกับมือขวาโดยหมุนวนตามเข็มนาฬิกา พลิกคว่ำมือขวาลงไปคว้าลำแขนยุวสตรี แล้วกำหมัดซ้ายทุบเข้าใส่ตรงบริเวณดังกล่าวด้วยวิชามวยปันจักสีลีต ก่อนจะซัดใส่กำปั้นขวาสวนไปยังลิ้นปี่อีกฝ่าย พร้อมทั้งกระแทกเท้าขวาไปด้านหน้าบิดลำตัวเพื่อส่งพละกำลังทั้งหมดไปยังศัตรู
โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคนิค “ลำนำสัประยุทธ์” ให้เสียเวลา
——เปรี้ยง!!
แม่มดยอดนักสู้ผมสีแดงฉานส่งเสียงร้องแทบกระอักเลือด ร่างของเธอลอยเหนือพื้นกระเด็นไปไกลก่อนที่แผ่นหลังจะกระแทกลงกับพื้นเข้าเต็มรัก ยกมือกุมอกนอนดิ้นทุรนทุรายไปมาอย่างเจ็บปวด พลางเอ่ยน้ำเสียงประหลาดใจออกมา
“แค่กแค่ก… ก-การเคลื่อนไหวมัน รวดเร็วเกินไป…!”
“ให้ตายสิเจ้าเด็กหนุ่มนี่ เรียนรู้ท่าสังหารมือเปล่ามาจากผองเพื่อนแท้ ๆ แต่กลับใจอ่อนไม่ยอมหยิบมาใช้ จะโง่เขลาเบาปัญญาไปถึงไหนกัน… แต่เอาเถอะ ยิ่งเจ้าเรียนรู้วิชามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ข้าพลอยได้รับอานิสงส์จากเจ้ามากขึ้นเท่านั้น”
วลาดจอมเสียบบ่นพึมพำพลางชักมือกลับมาอยู่ในท่ายืนตามปกติ สลาติก้ากัดฟันสะกดกลั้นทนความเจ็บปวดเอาไว้ พยายามประคองตัวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีโซเซเนื่องจากโดนซัดเข้าที่จุดตาย สภาพร่างกายในตอนนี้ไม่พร้อมที่จะต่อสู้หรือวัดฝีมือศัตรูด้วยวิชามวยแปดปรมัตถ์ได้อีก เว้นเสียแต่ต้องประชันกันด้วยเวทมนตร์คาถาเท่านั้น
“โฮ่… ยังลุกขึ้นมาได้อีกเรอะ นึกว่าจะเก่งแค่ปากเสียอีก” ราชันผีดูดเลือดพูดจาเย้ยหยัน
“…คุณเป็นคนที่มีบุคลิกนิสัยน่ารังเกียจสุด ๆ เท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยล่ะ”
ยุวสตรีผู้ห้าวหาญยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบเลือดตรงบริเวณคางและริมฝีปาก หยิบอัญมณีชิ้นเล็กสีชาดออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วกำมันเอาไว้ในอุ้งมือบางเตรียมประจันหน้ากับศัตรูอีกครั้ง ในขณะที่วลาดยังคงโต้ตอบคารมต่อไป
“สามหาวเสียจริง แต่ข้าจะถือว่านั่นเป็นคำชมจากสามัญชนอย่างเจ้าก็แล้วกัน”
“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย!!”
สิ้นน้ำเสียงแข็งกร้าว สลาติก้าจึงพลันร่ายคาถาในใจเนรมิตอาวุธประจำกาย หรือปืน Barrett M107A1 สีทรายขึ้นมา ตามด้วยเปลวเพลิงอันบริสุทธิ์ลุกโชนขึ้นรอบตัวท่ามกลางสายฝน ก่อนจะหยิบเครื่องมือสังหารประทับบ่าเล็งปากกระบอกปืนชี้ไปยังศัตรู แล้วลั่นไกยิงใส่เกิดเสียงสนั่นดังกึกก้องทันที
ปัง!!
——ฉัวะ!
เสี้ยววินาทีนั้นเอง วลาดที่สามได้ตั้งท่าจับด้ามคาตานะในลักษณะหงายคมชี้ฟ้า แล้วรีบชักมันออกมาจากฝักด้วยวิชาดาบอิไอโด ตัดกระสุนเวทมนตร์ขนาด .50 BMG ขาดสะบั้นเป็นสองส่วนจนเกิดประกายไฟ สร้างความประหลาดใจให้แก่แม่มดสาวเป็นยิ่งนัก
ยุวสตรีครึ่งอสูรยังไม่ถอดใจยอมแพ้ตอนนี้ เธอร่ายคาถาให้ร่างของตนอันตรธานหายไปจากสายตาเพียงชั่วขณะ ก่อนจะปรากฏตัวจากทางด้านหลังศัตรูแบบฉับพลันเพื่อลอบโจมตีชายฉกรรจ์
—–เคร้ง!!
วลาดรีบหันตัวไปทางขวาพร้อมทั้งสะบัดเหวี่ยงคมดาบใส่เพื่อสวนกลับการรุกราน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร ปากกระบอกปืนของไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านวัตถุของสลาติก้าถูกแยกส่วนออกจากกัน ราวกับมีดที่ตัดก้อนเค้กอย่างง่ายดาย ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ลั่นไกยิงใส่กลางแผ่นหลัง
และด้วยพลังโจมตีอันรุนแรงนี้เอง ส่งผลทำให้ร่างของแม่มดสาวกระเด็นถอยหลังทั้งยืนปลิวไปไกลหลายสิบเมตร
สลาติก้าแปรเปลี่ยนสภาพอาวุธที่เสียหาย กลายเป็นปืนกลมือ Brügger & Thomet MP9 ด้วยศิลานักปราชญ์สีเลือด แล้วเหนี่ยวไกรัวกระสุนใส่แบบไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลง แวมไพร์หนุ่มรูปงามรีบยกคาตานะให้ปลายคมดาบชี้ไปยังเบื้องหน้า รังสรรค์แท่นศิลาขนาดใหญ่ความหนาสองเมตรผุดขึ้นมาจากผืนดินอย่างน่าอัศจรรย์ ป้องกันการทะลุทะลวงของเหล่าลูกตะกั่ว โดยมิได้ขยับปากร่ายคาถาหรือเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาแม้แต่สักพยางค์เดียว
“ยังหรอกน่า!”
บุตรีแห่งปีศาจเพลิงพลันปรากฏตัวจากทางเบื้องหลังของราชันผีดูดเลือด ชกหมัดซ้ายเล็งไปยังกระดูกสันหลังต้นคอหมายจะพรากชีวิตศัตรูด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว ทว่าพ่อมดหนุ่มกลับรู้สึกตัวเสียก่อน เขารีบเอี้ยวตัวหลบไปทางขวามือแล้วหันตัวเข้าหาคู่ต่อสู้ กำปั้นเล็กบางที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟของเธอนั้นจึงปะทะเข้ากับแท่นศิลาซึ่งตั้งอยู่ ทำลายสิ่งปลูกสร้างจนแหลกสลายกลายเป็นเศษซากเพียงชั่วพริบตา
ถัดมาสลาติก้าสะบัดปืนกลมือเล็งไปยังลำตัวของวลาด แล้วกดลั่นไกในระยะประชิด ทว่ากลับไร้ผลเนื่องจากอีกฝ่ายใช้มือซ้ายปัดเบี่ยงลำกล้องปืนออกไปทางด้านข้างชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด กระสุนได้แฉลบสีข้างจนเสื้อเชิ้ตแขนยาวเกิดรอยขาด พร้อมทั้งมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
บุรุษจอมดาบเวทเปิดฉากโต้ตอบกลับคืนโดยใช้ปลายคมดาบพุ่งเข้าใส่ลำตัวของแม่มดสาว ทันทีที่ศัสตราวุธสัมผัสถึงเป้าหมาย ร่างของเธอก็ได้แปรสภาพเป็นเปลวเพลิงพร้อมทั้งอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา มิอาจทำอันตรายใด ๆ ได้เลยสักนิด
“…!!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายแห่งวาลาเคียรู้สึกตะลึงพรึงเพริดต่อความสามารถของสลาติก้า ระหว่างนั้นเองมีดวงไฟสีชาดลูกหนึ่งปรากฏอยู่เหนือศีรษะตนซึ่งลอยสูงห่างจากพื้นราวสามเมตร ก่อนจะเปลี่ยนคืนรูปร่างกลายเป็นเด็กสาวดังเดิม แล้วเล็งปากกระบอกปืน Brügger & Thomet MP9 เตรียมเหนี่ยวไกยิงใส่เขาโดยปราศจากการส่งเสียงเตือน
ต๊อก ๆๆๆๆ !
มนุษย์ส่วนใหญ่มักมีจุดบอดอยู่เหนือศีรษะเนื่องจากเป็นมุมอับสายตา นี่เป็นเหตุผลที่สลาติก้าเลือกใช้วิธีนี้ลอบโจมตี โชคร้ายที่วลาดกลับอ่านแผนการขาดเสียก่อน เขาสามารถหลบกลุ่มกระสุนซึ่งอยู่เหนือเวหาได้แบบทันควัน ด้วยการสไลด์เท้าถอยหลังออกห่างจากระยะหวังผลอย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน!?”
คราวนี้ฝ่ายที่ตื่นตระหนกตกใจกลับเป็นสลาติก้าเสียเอง ในขณะที่กำลังร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง เธอรีบหมุนตัวบนอากาศหันปากกระบอกปืนเล็งเข้าหาศัตรูหวังโจมตีใส่ซ้ำ เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำทะเลตัดสินใจปิดฉากการต่อสู้โดยร่ายคาถาในใจ บรรจุพลังเวทธาตุน้ำแข็ง อสนีบาต และวายุใส่ลงในศัสตราวุธ จนดาบคาตานะสีทองอร่ามเปลี่ยนโฉมเป็นสีขาวสลับฟ้าส่องสว่างวาบ แล้วจึงฟาดฟันใส่ลำตัวของแม่มดสาวอย่างไร้ความปรานี
——ฉัวะ เปรี้ยง!!
ยุวสตรียอดนักสู้กระเด็นถอยหลังลอยเหนือพื้นและถูกปลิวไปไกลราวสิบเมตร ทั่วทั้งร่างถูกกระแสไฟฟ้าช็อต ปรากฏบาดแผลฉกรรจ์เป็นรอยแนวทแยงตั้งแต่ไหล่ซ้ายจนถึงเอวฝั่งขวาลงมาโดยมีไอน้ำแข็งจับ ก่อนที่แผ่นหลังจะกระแทกเข้ากับพื้นเต็มรัก ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนนอนบิดตัวดิ้นพล่านไปมาราวกับปวดแสบปวดร้อน ท่ามกลางสายฝนซึ่งตกลงมาต่อเนื่อง
“กรี๊ดดดด!!”
สลาติก้าซึ่งเป็นลูกครึ่งปีศาจไฟนั้นแพ้เวทมนตร์ธาตุน้ำบริสุทธิ์อย่างรุนแรง และด้วยเหตุนี้พลังแห่งเปลวเพลิงที่ลุกโชนทั่วร่างจึงมอดดับสนิทลง อย่างไรก็ตามแม้สภาพร่างกายจะบอบช้ำแสนสาหัสเพียงใด แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อาจตัดใจยอมรามือไปจากคริสตัลสีน้ำเงินที่ตกอยู่ในน้ำมือของเลวอนอยู่ดี