โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.296 – ศิลาควบคุมเขตแดน
ดวงตาของฉินเฟิงสาดประกายสดใส
“เทคนิคลับเหิงหลง –จงระเบิดออก!”
ฉินเฟิงเปิดใช้งานเทคนิคลับอย่างกระทันหัน พละกำลังกายของเขาทะยานสูงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ปัง! เกิดเสียงดังกึกก้องภายในห้องศิลา ทุกคนที่เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย สะดุ้งตื่นขึ้นทันใด
จากนั้น สายตาของพวกเขาก็เลื่อนมองไปยังร่างของฉินเฟิง ที่กำลังหายเข้าไปในประตูศิลาที่ 6
ทั้งหมดที่กำลังง่วงเหงาพลันได้สติ อ้าปากค้างมองไปยังประตูศิลาบานสุดท้ายที่ปิดลงอย่างโง่งม
…
‘อยากจะรู้จริงๆ ว่าขั้นหกมันจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เพราะตอนนี้ หลังจากที่ได้เรียนรู้เทคนิคขั้นต่างๆมา ฉันยังรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป’ ฉินเฟิงคิด
แม้การฝึกฝนเทคนิคลับเหิงหลง จนบรรลุถึงขีดสุด จะช่วยให้มนุษย์สามารถต่อกรกับสัตว์ร้ายเลเวล A ได้ แต่เงื่อนไขเริ่มต้นของการฝึกฝนกลับไม่สูงเท่าไหร่นัก
อย่างเช่น ในขั้นแรก เงื่อนไขของมันต้องการแค่เลเวล F เท่านั้น
ขั้นสองต้องการความแข็งแกร่งทางกายภาพเทียบเท่ากับทหารสัตว์ร้ายเลเวล F3
ขั้นสามต้องการความแข็งแกร่งทางกายภาพเทียบเท่ากับนายพลสัตว์ร้ายเลเวล F6 ซึ่งโจวฮ่าวสามารถเรียนรู้ได้ถึงขั้นนี้
ที่กล่าวมาถือว่าเป็นอันฉริยะอันดับหนึ่งในสุสานเทพสงครามแล้ว
แต่เงื่อนไขหลังจากนี้ เป็นธรรมดาที่จะสูงขึ้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ มีเงื่อนไขคือทหารสัตว์ร้ายเลเวล E5 , นายพลสัตว์ร้ายเลเวล E8 สุดท้ายประตูศิลาหกมีเงื่อนไขถึงนายพลสัตว์ร้ายเลเวล D5 !
อย่างไรก็ตาม ในความรู้สึกของฉินเฟิง เขาคิดว่าหากทั้งหมดที่มีคือเท่านี้ เทคนิคลับเหิงหลง ก็ดูจะอ่อนแอไปหน่อย
ฉินเฟิงเริ่มเดินไปข้างหน้า ผ่านไปสัก 10 เมตร วิสัยทัศน์ของเขาพลันสว่างวาบ
เบื้องหน้าเขา มิใช่แสงสลัวเบื้องหลังประตูศิลาอีกต่อไป
หากแต่เป็นอีกห้องศิลาหนึ่งที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า!
รอบห้องศิลาฝังไว้ด้วยมุกราตรี เปรียบดั่งดวงไฟ คอยให้แสงสว่างแก่ที่นี่
โดยมีโต๊ะหมู่บูชาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งอยู่เบื้องหน้าฉินเฟิง ด้านหลังโต๊ะมีรูปปั้นหยกสลัก ดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง สังเกตดีๆจะพบว่าเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างกำยำ
—เป็นเทพสงคราม!
วินาทีต่อมา เสียงที่ถูกเก็บเอาไว้โดยกำลังภายในก็ถูกปลดปล่อยออกมา
“จงโค้งศีรษะสามครั้ง เคารพบูชาข้าในฐานะอาจารย์ แล้วรับสืดทอดมรดกของข้าไป! นี่คือผลลัพธ์ที่ข้าใช้เวลาทั้งชีวิตทุ่มเทรังสรรค์มันขึ้นมา ขอให้สืบสานและพัฒนามันต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าว่าจะยินยอมรับมันหรือไม่ ข้าไม่อาจบังคับ … ”
คำกล่าวของเทพสงครามยังคงถูกถ่ายทอดออกมาเรื่อยๆ ขณะที่แนวสายตาของฉินเฟิง ตกลงบนกล่องศิลาใจกลางแท่นบูชา
ภายในกล่องศิลา คาดว่าอาจจะเป็นอุปกรณ์รูนมิติของเทพสงคราม!
“มีเทคนิคลับบางอย่างติดตั้งไว้บนกล่องศิลา มันจะถูกปล่อยออกมาทันทีหลังจากที่โดนสัมผัส” จู่ๆไป๋หลีก็เอ่ยขึ้น
ฉินเฟิงพอได้ฟังก็ขมวดคิ้ว
“และมีอีกครึ่งเทคนิคลับอยู่บนเสื่อ แต่ถ้าเลือกแตะต้องมันแล้ว จะไม่สามารถเปิดใช้งานรูนมิติบนกล่องได้อีก แต่ถ้าคุณรำคาน … ฉันจะลบรูนมิติบนกล่องให้เอง” ไป๋หลีกล่าว
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ต้องการเอาเปรียบผู้อื่น และอีกอย่างการคำนับอาวุโสก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เขาได้รับผลประโยชน์มากมายจากสุสานเทพสงคราม ดังนั้นกราบไหว้บรรพชนผู้ก่อตั้งมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
ฉินเฟิงคุกเข่าและก้มหน้าลงกราบกราน ก่อนจะผุดลุกขึ้นไปยังกล่องศิลา เขาเปิดมันออก และพบว่าภายในมีสร้อยคอวางอยู่
โดยบนสร้อยคอ แขวนไว้ด้วยหินสีเทาเงินขนาดเท่าไข่ห่าน ยามเปิดกล่องแสงอันงดงามของมันก็สะท้อนออกมา
“นี่มันศิลาควบคุมเขตแดน!”
ฉินเฟิงอดอุทานออกมาไม่ได้
เพราะสิ่งนี้ สามารถใช้ควบคุมอาณาเขตภายในสุสานเทพสงครามได้โดยตรง!
ฉินเฟิงลองจับศิลา เพียงครู่ เขารู้สึกราวกับได้เบิกเนตรเทพสงคราม สามารถมองเห็นทุกหนแห่งภายในตัวสุสานได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ในส่วนของโซนหัวมังกร ยังเหลือกว่าอีก 4,000 คนกำลังฝึกฝนอยู่ ทางฝั่งแท่นบูชาดอกบัวพิสุทธิ์ มีอยู่มากกว่า 500 คน แต่ทั้งหมดกำลังหลงทางและติดอยู่ในภาพลวงตา
ขณะที่ในห้องลับศิลา สถานที่สำหรับใช้ฝึกฝนเทคนิคลับเหิงหลง ปัจจุบันมีคนอยู่มากกว่า 40 คน
และในจำนวนนั้น มีโจวฮ่าวที่เพิ่งสามารถเปิดประตูสองเข้าไปได้
“จงมาหาฉัน!”
พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกกระตุ้น ตัวโจวฮ่าวในห้องศิลาสองหายวับไปในอย่างกระทันหัน
โจวฮ่าวไม่รู้เรื่องเลยว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น เขารู้สึกแค่เพียงดวงตาของตนพร่าเลือน เมื่อวิสัยทัศน์กลับมาอีกที ก็มีโถงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว ทั้งยังมีอักขระขนาดใหญ่สลักเอาไว้
วิหารเทพสงคราม
โจวฮ่าวอ้าปากตาค้าง อึ้งไปสักพักก่อนแสดงออกถึงความปิติ
“ไม่จริงน่า เป็นเพราะคุณสมบัติของฉันมันไม่ธรรมดาใช่รึเปล่า เทพสงครามเลยต้องตา ตัดสินใจที่จะถ่ายทอดสุดยอดกระบวนท่าให้ เลยพาฉันมาที่วิหารเทพสงคราม”
ฉินเฟิงที่ยืนฟังจินตนาการสุดลึกล้ำอยู่เบื้องหลังเกือบพูดไม่ออก
“หยุดละเมอได้แล้ว!”
โจวฮ่าวหันกลับมา และพบว่าเป็นฉินเฟิง
“อ่าว ฉินเฟิงนายมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่านายก็ถูกเลือกโดยเทพสงครามเหมือนกัน?”
ฉินเฟิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ถูกเลือกโดยเทพสงครามบ้าอะไร? ฉันนี่แหละเป็นคนพานายมาที่นี่เอง!”
ว่าจบ ฉินเฟิงก็ยื่นศิลาควบคุมในมือตนออกไป และเริ่มอธิบายการทำงานของมัน
“หมายความว่านายได้กลายเป็นผู้สืบทอดของเทพสงครามแล้วสิ? งั้นเขตแดนแห่งนี้จะเป็นยังไงต่อไป?” โจวฮ่าวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คำตอบสำหรับข้อแรกคือใช่ ส่วนคำถามต่อมาก็คือ พวกเราสามารถใช้มันปลูกดอกบัวพิสุทธิ์ได้ในอนาคต แบบนี้จะได้รายรับต่อปีเป็นจำนวนเงินมหาศาล อีกทั้งในสุสานเทพสงครามเอง ก็ยังมีอีกหลายอย่างมากกว่าที่นายคิด”
วิหารเทพสงครามไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเฉยๆ แต่มันคือสถานที่รวบรวมหลายสิ่งเกี่ยวกับผู้ใช้วรยุทธโบราณเข้าด้วยกัน ดังเช่น ศาลาที่ใช้เก็บรวบรวมกระบวนท่าวรยุทธ , ห้องฝึกฝน , ห้องสมบัติ ฯลฯ
แต่ในห้องสมบัติไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร ภายในมันมีแต่ของเกี่ยวกับเลเวล E ซึ่งฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องใช้งานมัน เกรงว่าสมบัติในระดับที่สูงขึ้นไปทั้งหมดล้วนถูกขายไปแล้วโดยเทพสงครามเพื่อนำทุนมาสร้างเขตแดนลับแห่งนี้!
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขตแดนลับคืออาณาเขตที่สร้างขึ้นจากวัสดุมิติ และวัสดุมิติมีราคาแพงมาก
อย่างไรก็ตาม ศาลาวรยุทธ และห้องฝึกยุทธยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์
“หืม หลังจากที่ลองตรวจสอบดู รู้สึกว่าพวกเราน่าจะไล่คนในสุสานออกไปให้หมด อย่างในด่านแรก มีไม่น้อยเลยที่พยายามเก็บเกี่ยวเลือดมังกร ระดับสองก็พยายามฉกฉวยเมล็ดบัว ไล่พวกเขาออกให้หมดดีไหม แล้วทุกอย่างจะได้ตกเป็นของพวกเรา” โจวฮ่าวกล่าวด้วยความตื่นเต้น
ฉินเฟิงขบคิดและกล่าว “เอาไว้อีกหลายชั่วโมงค่อยลงมีทำ เทเลพอร์ตทุกคนออกไปในตอน 6 โมงเช้า เวลานั้นถึงจะมีบางคนสงสัย แต่สุดท้ายก็จะพากันคิดไปว่าสุสานเทพสงครามเปิดขึ้นแค่วันเดียว ”
“อื้อหือ แผนการโคตรร้ายกาจ งั้นระหว่างนี้พวกเราก็ดื่มดำไปกับสมบัติที่ได้มาอย่างเงียบๆกันเหอะ และพอถึงเวลา 6 โมงเช้าก็ค่อยออกไปพร้อมๆกับทุกคน แบบนี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าฉันกับนายใช้ศิลาควบคุมเขตแดนของเทพสงคราม”
มุมปากของฉินเฟิงยกสูงขึ้น นั่นคือสิ่งที่เขาคิดเช่นกัน
พวกที่พยายามต่อสู้เพื่อรับมรดกเทพสงครามช่างน่าสงสารนัก เพราะยังไงซะ ในชีวิตก่อน พวกเขาสามารถฝึกฝนที่นี่ได้เป็นระยะเวลานานถึง 1 เดือน รอจนครบกำหนดจึงถูกศิลาควบคุมบังคับออกไป
แต่ในชีวิตนี้ ทั้งหมดกลับถูกขับไล่ออกไปโดยแผนการของฉินเฟิง!
แน่นอน ยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนคือโจวฮ่าว
ทั้งสองเดินเข้าไปในวิหารเทพสงคราม อันดับแรกมุ่งไปยังศาลาวรยุทธ เพราะฉินเฟิงต้องการล่วงรู้เทคนิคลับเหิงหลงขั้นที่หกว่ามันเป็นอย่างไร
ภายในศาลา ตำแหน่งที่โดดเด่นและดูสำคัญมากที่สุด ถูกจัดวางไว้ด้วยคัมภีร์สามม้วน
อันได้แก่ เทคนิคลับเหิงหลง , เทคนิคต่อสู้เหิงหลง และเทคนิคก้าวมังกร
กวาดตามองม้วนคัมภีร์ในศาลาแห่งนี้ ฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเขาจะขาดแคลนกระบวนท่าวรยุทธอีกต่อไป พวกมันจะถูกนำไปให้บรรดาคนสนิทเรียนรู้ ช่วยแผ่ขยายอิทธิพลให้แก่ตน
แม้อีกสองม้วนคัมภีร์จะน่าสนใจ แต่ฉินเฟิงยังคงเลือกเปิดม้วนเทคนิคเหิงหลงก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากเปิดมัน เขาพบว่าสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในเล่มนี้ แตกต่างจากเทคนิคในประตูแรกที่เคยเรียนอย่างสิ้นสิ้นเชิง
“ตาแก่เทพสงครามนี่เจ้าเล่ห์ไม่เลวเลย เทคนิคฝึกยุทธนี้จำเป็นต้องอาบเลือดมังกรในการฝึกฝน มิฉะนั้นจะสามารถเรียนรู้ได้เพียงผิวเผิน ประสิทธิภาพจะถดถอยลงเป็นอย่างมาก” โจวฮ่าวกล่าว
“อืม แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะมีคนภายนอกมากมายได้เรียนรู้เทคนิคเหิงหลงไป ซึ่งตรงส่วนที่ว่ามีไว้สำหรับสาวกหน้าใหม่เท่านั้น สาวกหน้าใหม่สามารถเรียนรู้ได้เพียงผิวเผิน มีเฉพาะสาวกหลัก อย่างพวกเราถึงจะได้เรียนรู้เทคนิคที่แท้จริง”
“งั้นตอนนี้ฉันก็เป็นสาวกหลักแล้วสิ? แต่นายมาก่อน งั้นนายก็กลายเป็นศิษย์พี่ฉันใช่ไหม?” โจวฮ่าวยิ้ม
ฉินเฟิงหัวเราะ “มาก่อนแล้วไง สุดท้ายอิงตามวันเกิด นายแก่กว่าฉันหนึ่งเดือน ฉันเลยกะจะเรียกนายว่าพี่ แต่ตอนนี้พวกเราเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันแล้ว ฟังดูย้อนแย้งดีจริงไหม”
โจวฮ่าวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสับสน ตัดสินใจปฏิเสธโดยตรง “ชักจะงงแล้วโว้ย งั้นก็ช่างมันเถอะ!”