โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.374 – ตรานายพล?
ฉินเฟิงกวาดพลังสมาธิออกไปอย่างรวดเร็ว เขาต้องการรู้จำนวนคน
เจ้าตัวพบว่า หลังจากที่เอ่ยเตือนไปเมื่อวานนี้ ผลกลายเป็นมีราวๆ 4 – 5 ยังคงตัดสินใจจากไป ผู้ใช้พลังเลเวล D ในโรงแรมทั้งหมด ปัจจุบันเหลืออยู่82คน
ขณะนี้ บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา
ไม่นานนัก จากทิศทางประตูหน้าห้องประชุม ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
ชายคนนี้ยังดูหนุ่มมาก ทั้งยังหล่อเหลา อายุ 35 ปีสำหรับผู้ใช้พลังยังถือว่าอยู่ในช่วงหนุ่มสาว
รูปลักษณ์ของเขาดูเด็กกว่าอายุราวๆ 7 ปี เหมือน มีท่าทีโอ่อ่า ตัวสูง ทั้งยังไม่คิดระงับแรงกดดันจากกายตน ส่งผลให้ผู้คนรู้สึกตึงเครียด
—เกาหยูคัง ผู้ใช้อบิลิตี้โลหะ เลเวล C3
เขาก้าวขึ้นไปบนเวทีเบื้องหน้า ก้มลงมองฝูงชน พลังสมาธิอันทรงอำนาจกดลงมาจนผู้คนรู้สึกราวกับถูกตรึงด้วยสายตาคู่หนึ่งตลอดเวลา
ฉินเฟิงเริ่มขมวดคิ้ว ทว่าสีหน้าของเขายังคงเงียบสงบ ไม่คิดเอ่ยคำใด
ยังไงก็ตาม การที่เกาหยูคังทำเช่นนี้ เหมือนว่าจะไม่ต้องการให้คนอื่นพูดอะไรอยู่แล้ว
ผู้ใช้พลังเบื้องล่าง เริ่มเกิดความกังวลใจ
“ข่าวก่อนหน้านี้ ฉันได้ยินมาแล้ว ปัญหาดังกล่าว ทางพันธมิตรมนุษยชาติให้ความสำคัญยิ่ง อาชญากรที่พวกคุณจับได้ จะถูกสอบปากคำ เพื่อทวงถามความยุติธรรมให้แก่พวกคุณ!”
ฉินเฟิงและคนอื่นๆยังคงหุบปากเงียบ เกาหยูคังเอง เห็นได้ชัดว่าไม่คิดให้พวกเขาออกความเห็นใดๆ
“ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งเดียวที่ต้องทำตอนนี้ก็คือเร่งระงับการสูญเสียให้เร็วที่สุด และเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเลวร้ายที่สุดที่กำลังตามมา”
“ปราการชาตง จะต้องถูกบูรณะ! การสร้างมันขึ้นใหม่ คือสิ่งสำคัญที่สุด”
ถึงจุดนี้ เกาหยูคังเบนสายตามามองฉินเฟิงอย่างตั้งใจ หน้าผากของฉินเฟิงย่นเข้าหากัน รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังจะถูกโยนลงบนบ่าตน
เกาหยูคัง กล่าวต่อว่า “เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนกำลังคนในปัจจุบัน ทุกท่านอาจต้องได้กลับไปยังแนวหน้าอีกครั้ง ใครที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือบางคนที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากยีนกลายพันธุ์ ทางพันธมิตรมนุษยชาติ ต้องการให้คุณออกมายืนหยัด และร่วมสู้ไปด้วยกัน!”
“เนื่องจากมีผู้คนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก พันธมิตรมนุษยชาติจะส่งหน่วยแพทย์เลเวล D 10 คนมาช่วยเหลือ เพื่อช่วยรักษาพวกคุณ ส่วนระยะเวลารักษา แน่นอน ว่าจนกว่าสถานที่ใหม่ของปราการชาตงจะตั้งขึ้น”
“และตอนนี้ ฉันขอประกาศเรื่องต่อไป”
ว่าจบ เกาหยูคังก็หยิบตราบางอย่างออกมา มันคือตราพิเศษของพันธมิตรมนุษย์ และไม่ใช่ระดับต่ำ อย่างน้อยก็เป็นตราเลเวล D
–นี่คือตรานายพลเลเวล D ที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านี้ มันคือสิ่งที่ประดับอยู่บนหน้าอกของหูเหลียง
ตรานี้มีเป็นทรงวงกลม มีขนาดใหญ่กว่าตราผู้ใช้พลังเลเวล D เป็นที่รู้กันว่า บุคคลใดที่ได้สวมใส่มัน จะสามารถเป็นตัวแทนของพันธมิตรมนุษยชาติ และเป็นผู้นำในช่วงเวลาสำคัญได้
“ผู้น้อย ในฐานะผู้การรัฐเขตสี่ทะเลเหนือ ขอมอบอำนาจแก่ฉินเฟิง ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายพลสูงสุดของปราการชาตงแห่งใหม่!”
“ขอมอบอำนาจแก่ไป๋หลี ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายพลปราการชาตงแห่งใหม่!”
“สุดท้าย ขอมอบตำแหน่งผู้ว่าการชาตง ให้แก่ผู้ใช้พลังเลเวล E –เกาฉิง!”
สองคนได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพล ส่วนตำแหน่งผู้ว่าการเมืองที่รองลงมา เป็นหลานชายของญาติห่างๆของเกาหยูคัง
ฉินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลย ว่าเกาหยูคังจะแต่งตังตนเองเป็นนายพล
ต้องรู้นะว่า ในสถานที่ดั่งปราการชาตง กำปั้นของใครใหญ่กว่า คนนั้นก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ตำแหน่งนายพลในแนวหน้า เหนือยิ่งกว่าผู้ว่าการแน่นอน
อีกอย่าง มันก็จริงที่ทุกคน หากผ่านการทดสอบจากโถงรับรองผู้ใช้พลังแล้ว ก็จะถูกนับว่าเป็นสมาชิกของพันธมิตรมนุษย์ ได้รับตราสัญลักษณ์ประจำตน ทว่าการได้รับตรานายพล มันเท่ากับการได้เป็นเจ้าหน้าที่ของพันธมิตรมนุษยชาติ
ระหว่างสมาชิกกับเจ้าหน้าที่ แตกต่างกันแค่ไหนน่ะหรือ?
ยกตัวอย่างเช่น ฉินเฟิงที่เป็นเพียงผู้ว่าการสถานชุมชนเฟิงหลี ถ้าจะให้เทียบกันตรงๆ อาจมีสถานะทางการเป็นแค่เมล็ดงาเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวเข้าสู่พื้นที่ส่วนกลาง
ทว่าตำแหน่งนายพลของชาตงไม่เพียงทำได้ แต่ยังมีมีอีกผลประโยชน์ใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพที่ทางพันธมิตรมนุษย์ต้องจัดสรรมาให้ หรือสี่เมืองทะเลเหนือที่ต้องมอบเสบียงสงครามให้แก่ฉินเฟิงทุกปี!
ไม่งั้นหูเหลียงที่อารมณ์ร้าย ใจร้อน และไม่อดทนจะยอมรับตำแหน่งนายพลแห่งชาตงหรือ? ทำไมเขาต้องดำรงตำแหน่งที่น่ารำคาญเช่นนี้ด้วย?
นั่นมันก็เพราะเงินไง ถูกไหม?
“นายพลฉิน รองนายพลไป๋ ได้โปรดขึ้นมารับการแต่งตั้งบนเวทีด้วย” เกาหยูคังกล่าวขัดจังหวะความคิดฉินเฟิง
ไป๋หลีมองไปทางฉินเฟิงด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าจะก้าวขึ้นไปดีหรือไม่ เธอเลือกที่จะรอคำตอบจากฉินเฟิง
ฉินเฟิงผุดลุกขึ้น
ข้อเสนอนี้ จริงๆแล้วมันก็ไม่เลวเหมือนกัน!
แน่นอน เขาไม่แค่รับตำแหน่งเฉยๆ ในสมองฉินเฟิงยังบังเกิดความคิดขึ้นอีกมากมาย
เมื่อฉินเฟิงยืน ไป๋หลีก็ยืนตาม ทั้งสองก้าวขึ้นเวทีไปพร้อมกัน
เกาหยูคังมอบตรานายพลให้แก่ฉินเฟิงและไป๋หลี
“พันธมิตรโปรดปรานในความแข็งแกร่งของคุณทั้งสอง ดังนั้นฉันหวังว่าคุณจะปฏิบัติหน้าที่ตามความคาดหวังของผู้คน รักษาบรรทัดฐานของทะเลทรายทะเลเหนือให้ดี มนุษยชาติจะต้องคงอยู่ต่อไป และเราจำเป็นต้องปกป้องมัน!”
ในความคิดของฉินเฟิง เกาหยูคังกำลังสวม ‘หมวกใบใหญ่’ ให้แก่เขา
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรมนุษยชาติจำต้องใช้คำขวัญอันสูงส่งนี้ ยกย่องให้แก่คนที่ได้รับตำแหน่ง นั่นเพราะจะมีสักกี่คนกันเชียว ที่ยินดีประจำการอยู่ในสนามรบ?
“ผมจะไม่ทรยศต่อความไว้วางใจของกลุ่มพันธมิตร และขอบคุณผู้การรัฐที่ให้การสนับสนุน!”
เกาหยูคังพยักหน้าพอใจ
อันที่จริงเกาหยูคังคิดโยนขี้ เขาไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการใดๆของสี่เมืองทะเลเหนือ เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่ บางทีอีกสัก 30 – 40 ปีก็อาจพอเป็นไปได้ แต่ถึงเวลานั้น ด้วยพรสวรรค์ของเขา ตนจะไม่กลายเป็นผู้ใช้พลังเลเวล B หรือ A แล้วหรอกหรือ? สถานที่แห่งนี้ยังนับว่าเป็นสิ่งใดอีก?
ด้วยเหตุนี้ เกาหยูคังจึงโยนเรื่องสี่เมืองทะเลเหนือทิ้งไปโดยสมบูรณ์
จากนั้น เกาหยูคังก็แต่งตั้งเกาฉิงเป็นผู้ว่าการชาตง และงานประชุมก็จบลง
กว่า 82 ผู้ใช้พลังเลเวล D พอได้ข้อสรุป พวกเขาก็ผ่อนคลายลง
“การติดตามฉินเฟิงอาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะขายพวกเรา”
“ฉันหลงคิดว่าตัวเองจะถูกพันธมิตรมนุษยชาติจับไปวิจัยซะแล้ว กลัวแทบแย่!”
“ตอนนี้ ได้เท่านี้ก็พอแล้วที่จะต่อลมหายใจ แต่ดูเหมือนเขาจะส่งแพทย์อีกกว่า 10 คนมาเพื่อคอยสังเกตการณ์เรา”
“ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเถอะ ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะรักษาหายได้ก็ได้”
โดยรวมแล้ว สำหรับคนเหล่านี้การตัดสินใจของเกาหยูคัง เป็นที่น่าพอใจยิ่ง!
ขณะเดียวกัน หลังจบการประชุม เกาหยูคังได้จัดการประชุมเล็กๆขึ้น
กระทั่งเวลานี้ แรงกดดันของเกาหยูคังก็ยังคงเต็มเปี่ยม ถัดจากเขาเป็นเกาฉิง ตรงกันข้ามเป็นไป๋หลีที่นั่งข้างๆฉินเฟิง แต่เมื่อเทียบกันรวมๆแล้วเหมือนแรงกดดันจากฝั่งเกาหยูคังจะด้อยกว่าเล็กน้อย
เกาหยูคังถอดสายคล้องคอบนชุดต่อสู้ ยกบุหรี่ขึ้นจุดอย่างไม่ลังเลและกล่าว “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามาพูดถึงเรื่องชาตงกันดีกว่า แน่นอนฉันรู้ ว่าการฝากสิ่งเหล่านี้ไว้ มันเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้แก่คุณ ยังไงก็ตามปราการแห่งนี้มีน้ำคอยหล่อเลี้ยง คุณสามารถขอเสบียงทางทหารได้จากกลุ่มพันธมิตรมนุษย์ได้ตลอดเวลา ทั้งยังมีสี่เมืองทะเลเหนือคอยช่วยแก้ปัญหาเรื่องเงิน มอบเงินสนับสนุนให้ปีละ 30,000 ล้านเหรียญ”
30,000 ล้านเหรียญต่อปี!
นั่นเท่ากับใช้เวลาแค่สามปีในการแลกเปลี่ยนกับแก่นอบิลิตี้จักรพรรดิสัตว์ร้าย!
หูเหลียงคอยรับหน้าที่ก่อนหน้านี้ ได้รับเงินมหาศาล แต่ช่างน่าสงสาร ที่กลับจบชีวิตลง!
“แล้วทางเราจำเป็นต้องจ่ายภาษีของปราการชาตงรึเปล่า?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม
อย่างสถานชุมชนเฟิงหลี ในความเป็นจริง ต้องมอบรายได้จำนวนหนึ่งให้แก่เมืองเฉิงหยางในทุกๆปี แต่มันเป็นจำนวนเงินคงที่ เพราะเฟิงหลีในปัจจุบัน เป็นดั่งขนฟินักซ์ที่ลอยล่องอยู่เหนือผิวน้ำ มีอิสระเสรี ถ้าไม่มีกฏเกณฑ์ พวกเขาไม่จ่ายก็ได้
เกาหยูคังหัวเราะ “เป็นโชคดีของชาตงที่ไม่ต้องจ่ายมัน!”
ฉินเฟิงพยักหน้า และกล่าวตามตรง “ถ้าอย่างนั้นผมต้องการถือหุ้นทั้งหมดของปราการชาตง ต้องการกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ ส่วนเรื่องเงินประจำปี 30,000 ล้านนั่นไม่จำเป็น จะบริหารให้ได้กำไรหรือขาดทุนผมจะเป็นคนจัดการเอง!”
เกาหยูคังชะงักงัน เกิดความประหลาดใจขึ้นทันใด
ไอ้ปราการชาตงที่มีโอกาสถูกทำลายได้ตลอดเวลา มันน่าลงทุนขนาดนั้นเลยหรือ?