3/5
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.427 – กวงเว่ยเอาชีวิตรอด
“ผายลมเถอะ ฉันจะไม่กลับไปเด็ดขาด ที่หลงฉวนก็เหมือนกัน โลกใบนี้กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีที่ให้พวกเราอยู่”
“นั่นสิ ปล่อยให้กวงเว่ยมันตายไปเถอะ ถ้าไม่เพราะหัวหน้าช่วยลดทอนกองทัพกริมจนน้อยลงกว่าครึ่ง พวกเขาจะชนะสงครามหรือ?”
“ใช่ ปล่อยให้มันถูกฆ่าตายไปเลยดีกว่า!”
…
ภายในสถานชุมชนที่ 3 กวงเว่ยมิได้ตกตายลงภายใต้คำสาปแช่งของผู้คน
แต่กระนั้น ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าผู้ใช้พลังเลเวล B ที่รั้งประจำการอยู่ จะกลายเป็นหนามยอกอกในสายตาของเผ่ากริม!
ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้านี้มีซากกองทัพกริม 200 – 300 ตัวหลบหนีไป และเมื่อพวกมันสามารถเรียกกองทัพใหญ่มาได้อีกครั้ง เป็นธรรมดาที่จะคิดแก้แค้น!
“ฆ่าเขา! เป็นเขาที่สังหารพี่น้องของพวกเราไปมากมาย!”
“ใช่ นั่นแหละเขา ฆ่า!”
“ทำลายหมู่บ้านนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง! พวกเราต้องการเพียงทรัพยากร ไม่จำเป็นต้องมีทาสไร้ประโยชน์เหล่านี้!”
เผ่ากริมมีนิสัยดุร้าย ดังนั้นเมื่อเริ่มสงคราม ฉากนองเลือดก็ปรากฏขึ้น
ผู้คนที่ยังรั้งอยู่เบื้องหลังไม่มีกำลังมากพอจะต่อต้าน ทั้งหมดเริ่มถูกสังหารหมู่
เหลือเพียงกวงเว่ยที่ยังพอมีฝีมือ แต่เวลานี้เขาอยู่ในสภาพกึ่งสู้กึ่งถอย
“รีบหนี! ถอนกำลัง ทุกคนถอย!”
กวงเว่ยร้องคำราม
“นายพลกวง โปรดพาฉันไปด้วย ขอร้องล่ะ พาฉันหนีออกไปจากที่นี่ที!” หลี่จื่อซานที่สูญเสียขาทั้งสองข้างกรีดร้องสยองขวัญ
เดิมกวงเว่ยคิดจะช่วยหลี่จื่อซาน แล้วอาศัยอบิลิตี้ลมของเธอ ช่วยพาหลบหนีไป
แต่ในจังหวะนั้นเอง แสงไสวพลันปะทุลงมาจากเมืองลอยฟ้า
และความไวของมัน รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
เร็วชนิดต่อให้หลี่จื่อซานครอบครองอบิลิตี้ลม ก็ยังไม่ทันเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง
ปุ—
แสงไสวจางหายไป พร้อมกับใบหน้าอันงดงามของหลี่จื่อซาน ที่ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวในอากาศ
หนึ่งในผู้มีอนาคตสดใส เลเวล A อันทรงพลังที่ฉินเฟิงรู้จัก สุดท้ายต้องจบชีวิตลงที่นี่อย่างไม่คาดฝัน!
กวงเว่ยตกใจจนเผลอปล่อยมือ ทั้งเนื้อทั้งตัวหลั่งไปด้วยเหงื่อเย็น
ขณะเดียวกัน เป็นเล่ยหยิงที่หลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย
เพราะเขามีเขตแดนลับเป็นของตัวเอง จึงอาศัยตัวเชื่อมมิติ เชื่อมต่อกับพิกัดมิติแล้วหนีออกไปทันทีที่เห็นเมืองลอยฟ้า
อันที่จริง หลังจากที่ทุกคนเห็นเมืองลอยฟ้า ผู้มีตัวเชื่อมมิติในครอบครอง ต่างก็รีบเปิดใช้งานมันอย่างไม่เสียเวลาคิด ส่วนไอ้เรื่องการร้องขอกำลังสนับสนุนบนอุปกรณ์สื่อสาร พวกเขาไม่สนใจ!
พวกเขาไม่มีวันยอมจ่ายด้วยชีวิต เพื่อทำงานให้แก่พันธมิตรมนุษยชาติ!
เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การมีชีวิตอยู่ต่อไป!
กวงเว่ยติดพันกับทหารกริมนับไม่ถ้วน ยุ่งจนไม่มีเวลามากพอเปิดใช้งานตัวเชื่อมมิติ ทำได้แค่วิ่งหนีสลับตอบโต้เผ่ากริม
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเผ่ากริมไม่คิดปล่อยกวงเว่ยไป!
พวกกริมต้องการหัวของกวงเว่ยไปแขวนประดับไว้บนเมืองลอยฟ้า เพื่อเซ่นสังเวยให้แก่สหายร่วมชาติ!
พลังของกวงเว่ยลำพังย่อมมีขีดจำกัด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารกริมนับพันที่กรูเข้ามา เจ้าตัวไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงหลบหนีไปจากสถานชุมชนหลงฉวนที่ 3 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าว นั่นหมายถึงการละทิ้งสถานชุมชน!
เรื่องนี้ ต่อให้กวงเว่ยไม่จำเป็นต้องได้รับบทลงโทษ แต่คงเสียหน้าไม่น้อย
…
ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงได้เดินทางออกจากอาณาเขตหลงฉวนแล้ว
ภายในปราการชาตง
บนวิลล่าหรูใจกลางเมือง สองร่างเงาพลันปรากฏขึ้น
–เป็นฉินเฟิงและไป๋หลี
นับตั้งแต่ฉินเฟิงจากมา ปราการชาตงแห่งใหม่ก็ไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป แค่กวาดพลังสมาธิกระจายออกสำรวจแบบคร่าวๆ ก็พบได้ทันทีว่าพลเมืองโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
พืชพรรณโดยรอบที่ถูกปลูก หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ก็ใกล้ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยว
ด้วยอัตราเร็วในระดับนี้ ถึงจะขายได้ไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับแจกจ่ายประชากรในปราการ
แม้สิ่งเหล่านี้ ไม่น่าถึงขั้นสามารถดึงดูดความสนใจจากกวงเว่ยได้ แต่หลังจากที่มีแนวโน้มพัฒนาไปในทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าอาจเป็นเล่ยหยิง ที่กางกรงเล็บชั่วร้ายของตนมายังชาตงแทน
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ฉินเฟิงยังมีชีวิตอยู่ น่ากลัวว่าเล่ยหยิงคงรู้สึกคันในหัวใจ จะทำอะไรสมควรยั้งคิด
ฉินเฟิงติดต่อซูซิงฝู ซูซิงฝูเร่งเดินทางมายังวิลล่าอย่างรวดเร็ว เพื่อเห็นทั้งสองกับตาตัวเอง
“ฟู่ว … พวกคุณไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม? ยอด ยอดไปเลย!” ถูกไล่ล่าโดยเลเวล B สองระดับเลเวลมันแตกต่างกันมากเกินไป ดังนั้นซูซิงฝูอดรู้สึกกลัวไม่ได้
“วางใจเถอะ พวกผมไม่เป็นอะไรหรอก”
“จริงสิ นี่อุปกรณ์สื่อสารของไป๋หลี”
“ฮี่ฮี่ ขอบคุณ ถ้าไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร ยังไงฉันก็ทำใจให้ชินไม่ได้” ไป๋หลีกล่าว ช่วงเวลานี้ เมื่อไร้ภยันตราย ท่าทีของเธอจึงกลับมาเป็นสาวน้อยน่ารักไร้เดียงสาดังเดิม
ฉินเฟิงลูบหัวของเธอ และกล่าวต่อว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ไปที่สุสานเทพสงครามก่อนเถอะ ทุกคนน่าจะมารวมตัวกันแล้ว ผมอยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นไหน”
“เข้าใจแล้ว”
ฉินเฟิงก้าวเข้าไปในวิหารเทพสงคราม คนอื่นๆได้รับแจ้งจากซูซิงฝูก่อนแล้ว จึงมารอล่วงหน้า
โจวฮ่าว , หลิวซู , วังเฉิน รวมไปถึงหน้าใหม่อย่างหานน่วน …
สถานชุมชนเฟิงหลีในวันนี้ มิใช่เล็กจ้อยอย่างวันแรกอีกต่อไป!
“ลูกพี่”
“ท่านผู้ว่าการ”
“หัวหน้า”
แม้จะเรียกขานแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคำแสดงความเคารพต่อฉินเฟิง
ในบรรดาคนเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเพิ่งก้าวขึ้นสู่เลเวล E แต่ในแง่ของความแข็งแกร่ง ถือว่าเหมาะสม เพียงพอต่อการทำหน้าที่เป็นผู้บริหารสถานชุมชมเฟิงหลี!
ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ฉินเฟิงหายไป ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องพวกเขาเลย!
นั่นเพราะทุกคนต่างทราบดี ว่าแหล่งธุรกิจนี้เป็นของใคร
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าแม้ฉินเฟิงจะหายไป แต่ก็ยังมีโจวฮ่าวคอยทำหน้าที่รักษาการ
ในช่วงหลายเดือนมานี้ แม้ฉินเฟิงจะไม่ได้กลับไปยังเฟิงหลี แต่ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับโจวฮ่าว เมื่อรู้ว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก้าวกระโดด เขาก็ยินดีด้วย
“ไม่เลวนี่ นายยกระดับไปอีกขั้นแล้ว” ฉินเฟิงตบไหล่โจวฮ่าว
“ฮ่าฮ่า ฉันโชคดีที่มีเสี่ยวหวง วิธีฝึกกำลังภายในที่นายให้มาก็ช่วยฉันได้เยอะเลยเหมือนกัน” โจวฮ่าวกระพริบตาปริบๆ
แน่นอน ว่านอกจากนี้ยังมีเทคนิคลับเหิงหลงคอยสนับสนุนอีกด้วย
“โอ้ ได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจ”
ฉินเฟิงหันไปมองคนที่เหลือ
หลิวซูกับวังเฉิน และคนอื่นๆ เวลานี้ส่วนใหญ่สามารถตัดผ่านเข้าสู่เลเวล E ได้แล้ว ที่ยังทำไม่ได้ ก็คาดว่าจะตัดผ่านในเร็ววัน
สำหรับปราการชาตง เลเวล E ถือเป็นความแข็งแกร่งต่ำสุด อย่างไรก็ตาม ในสถานชุมชนเฟิงหลี หรือกระทั่งในสถานชุมชนเฉิงเป่ย มันคือการดำรงอยู่ระดับสูงสุด
ในยุคโลกาวินาศ ผู้คนจะสูงต่ำ ขึ้นอยู่กับสถานที่และความแข็งแกร่ง!
ส่วนนางพญามดทองของโจวฮ่าว ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงสองเท่า แต่ด้วยอัตราเร็วขนาดนี้ ถือว่ามันมีพรสวรรค์มากแล้ว!
“ลูกพี่ ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของคุณ ฉันไม่สามารถตรวจสอบมันได้เลย” วังเฉินกล่าว เขาคือมือปืน ดังนั้นสามารถใช้พลังสมาธิตรวจสอบความแข็งแกร่งได้ง่ายๆ แต่เขาไม่สามารถตรวจสอบฉินเฟิงได้เลย
อันที่จริงวังเฉินรู้สึกใจเสียเล็กน้อย เพราะเขาเป็นคนช่างคิด ในความเป็นจริงตอนที่ฉินเฟิงจะเดินทางไปยังปราการชาตง เขาก็อยากติดตามไปเช่นกัน เพราะวังเฉินรู้ดี หากอยู่ข้างกายฉินเฟิง ย่อมได้รับทรัพยากรมหาศาล
แต่สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว! เขากับฉินเฟิงห่างชั้นกันมากเกินไป!
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นกันเลย ที่ผมเรียกพวกคุณมาในคราวนี้ เพราะมีบางอย่างจะสั่งการ”
ฝูงชนเริ่มกลายเป็นจริงจัง จากนั้น ฉินเฟิงก็บอกเล่าเกี่ยวกับแบบแผนที่เขาร่างไว้ และการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่กำลังมีปัญหากับกลุ่มเล่ยถัง
“ถ้ามีใครมาหาเรื่อง ขอให้ติดต่อผมทันที อย่าลังเล”
ฉินเฟิงไม่มีความตั้งใจคิดฝืนทน
บางทีเล่ยหยิงอาจลองทดสอบเขาดู ไม่คิดลงมือด้วยตัวเอง แต่อาจส่งเลเวล D คนอื่นมา ถึงเวลานั้นฉินเฟิงจะกลับมาเชือดพวกมันทั้งหมดให้ตาย!
จากนั้น ฉินเฟิงก็เรียกของสองสิ่งออกมา
ทั้งสองมีขนาดใหญ่โต ขาวตลอดทั้งใบ และเรืองแสงสีทอง ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ต่างเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“นี่คือไข่สัตว์ร้ายใช่ไหม?”
“มันเป็นสัตว์ร้ายชนิดไหนกัน ทำไมถึงได้มีรูนว่ายวนอยู่รอบๆ!”
“เดี๋ยวนะ … นี่มันรูนแสงใช่รึเปล่า!”