โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 – ตอนที่ 496 – ที่แท้เป็นเขา

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.496 – ที่แท้เป็นเขา         เพราะสุดท้าย ในการออกล่าสัตว์ร้ายระดับสูง คุณจำเป็นต้องสร้างกองกำลังทหารรับจ้าง หรือไม่ก็ต้องร่วมมือกับคนอื่นๆ และเงินรางวัล ต้องแบ่งปันอย่างเหมาะสม         กล่าวได้ว่าตัวตนทรงพลังก็มีเรื่องที่ตนเองต้องคอยกังวล ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าหาญพอๆกับเกาหยูคัง         ฝูงชนเริ่มมองสำรวจไป๋หลี เมื่อพบว่าอีกฝ่ายติดตราเลเวล D ผู้คนในที่นี้ ก็พอคาดเดาออก ว่าเธอมาเพื่อทดสอบการรับรองตราผู้ใช้พลัง         ผู้ใช้พลังหน้าใหม่ได้มาเยือน แต่ผู้ใช้พลังคนนี้ ดูเด็กจนน่าประหลาดใจ คล้ายยังเยาว์วัย ไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ         ไม่ต้องกล่าวถึงใบหน้าอันงดงาม ไป๋หลีกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจำนวนมากทันที         แต่ในเวลานั้นเอง เสียงร้องอุทานจากอีกทาง ก็ดังแทรกเข้ามาในรูหูของฝูงชน         “นี่ … ตะเกียงสำริดของคุณ ไม่ได้เสียใช่ไหม!” ผู้ตรวจสอบร้องเสียงหลง         คราวนี้ ฝูงชนถูกเบนความสนใจ หันไปมองผู้ตรวจสอบ และคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามเขา         –เป็นฉินเฟิง         “ตะเกียงนี่ผมเช่ามาจากพวกคุณ มันเสียหรือไม่ พวกคุณเองน่าจะรู้ดี”         “ตะ .. แต่บันทึกของคุณมัน ..! ”         “ทำไม บันทึกมีอะไรผิดพลาด?” หยางเป่ยหันมองเจ้าหน้าที่และฉินเฟิง พลางเอ่ยถาม กระทั่งเขาก็ยังอดให้ความสนใจไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย บุคคลคนนี้ ก่อนเข้าหุบเหว เหมือนจะมีปัญหากับชุ่ยหยาง         “หัวหน้า คุณดู”         เจ้าหน้าที่มอบตะเกียงสำริดแก่หยางเป่ย หลังจากหยางเป่ยตรวจสอบมัน รูม่านตาเขาหดวูบทันใด แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง         เพราะบนตะเกียงสำริด กำลังแสดงตัวเลขสีขาวมากถึง 5219 อย่างกะทันหัน!         ยังไม่พอ ต่อท้ายมัน ยังมีเลขสีเขียวกว่า 68 หมายเลข และสีม่วงอีก 12 หมายเลข!         ซึ่งตัวเลขสีเขียวและม่วง คือตัวแทนปริมาณของสัตว์ร้ายระดับทหารและนายพลที่ถูกสังหารลง         และทั้งหมดนี้ มันดันปรากฏขึ้นในตะเกียงสำริด         ในขณะที่ฉินเฟิงเข้าสู่หุบเหวตอนเหนือเป็นเวลาแค่ 5 – 6 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วแบบนี้ หากเขาเข้าไปข้างในสัก 1 เดือนเล่า? จำนวนสังหารมันจะน่าหวาดกลัวขนาดไหน         ยิ่งไปกว่านั้น หุบเหวตอนเหนือยังไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธปืนที่ทรงพลังในการโจมตี แล้วนี่ฉินเฟิงสามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร?         หยางเป่ยตรวจสอบตะเกียงสำริดอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หรือชำรุดเสียหายใดๆเลย         “มิสเตอร์ฉิน” น้ำเสียงของหยางเป่ย ฟังดูสุภาพ นอบน้อมลงโดยไม่รู้ตัว หากตัวเลขนี้ไม่ถูกตบแต่ง และเป็นของจริง .. หยางเป่ยไม่กล้าจินตนาการไปมากกว่านี้         “ตะเกียงสำริดใบนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตัวเลขภายในมันเยอะเกินไป แต้มสงครามที่ได้ก็น่าจะมหาศาลเช่นกัน ฉันคิดว่าตัวบันทึกอาจมีข้อผิดพลาด ดังนั้นขอตรวจซ้ำอีกรอบจะได้รึเปล่า?”         ฉินเฟิงมองหยางเป่ย “คุณจะใช้วิธีไหนในการตรวจซ้ำ?”         หยางเป่ยพอได้ยินว่าฉินเฟิงไม่ขัดข้อง ก็กล่าวตามตรง “คุณสมควรเก็บวัตถุดิบทั้งหมดที่ได้มาจากสัตว์ร้ายใช่ไหม? ขอให้ฉันดูมันหน่อย”         “ไม่มีปัญหา”         ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ เขาหันไปพยักหน้าให้ไป๋หลี          ไป๋หลีแยกตัวออกจากฝูงชน มาหยุดหน้าพื้นที่โล่ง วาดมือไปในอากาศ ช่องว่างมิติปรากฏขึ้น จากนั้น วัตถุดิบจำนวนมหาศาลก็ร่วงตกลงมา         มันคือวัตถุดิบสัตว์ร้ายเลเวล C ระดับสามัญ จากที่โดนแยกส่วนแล้ว อาจมีถึงล้านชิ้นหรือมากกว่านั้น อันที่จริง หากนับวัตถุดิบทั้งกองรวมๆกัน มันจะมีมากถึง 5 ล้านชิ้น ถือเป็นปริมาณมหาศาล         ทว่าวัตถุดิบมากมายขนาดนี้ หากคิดรวบรวม จำเป็นต้องล่าสังหารสัตว์ร้ายจำนวนมากถึงจะได้รับมัน         ช่วงเวลานี้ เลเวล B และ C ในที่เกิดเหตุ ทุกคนต่างอ้าปากค้าง         ขณะที่หยางเป่ย ต่อให้เขาไม่ปลดปล่อยพลังสมาธิเข้าตรวจสอบ ก็ตระหนักได้ทันที ว่าฉินเฟิงไม่ได้โกงบันทึก         “แบบนี้ใช้ได้ไหม?” ฉินเฟิงถาม         หยางเป่ยปาดเหงื่อบนหน้าผาก ตอบรับทันที “ใช้ได้ ใช้ได้อยู่แล้ว!”         แม้เขาจะเป็นผู้ใช้พลังเลเวล B แต่หากต้องล่าสัตว์ร้ายเพื่อให้ได้วัตถุดิบเท่าตรงหน้าในวันเดียว คงไม่มีทางเป็นไปได้ ในเวลานี้สายตาที่เขามองฉินเฟิง แฝงไปด้วยความยำเกรง         ‘คนๆนี้ ถึงตอนนี้จะเป็นแค่เลเวล C แต่ไม่ใช่คนที่สมควรจะยั่วยุแน่นอน’         “งั้นรบกวนรวมแต้มสงครามให้ผมด้วย”         “รับทราบ จะทำให้ทันที!”         ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงสั่นไหว แต้มสงครามถูกโอนเข้ามา เขาเปิดหน้าต่างแลกเปลี่ยนในเครือข่ายนักสู้ ที่มีเฉพาะในเมืองเป่ยหัว         ผลปรากฏว่าฉินเฟิงได้รับแต้มสงครามมามากถึง 6,000 แต้มในครั้งนี้ ซึ่งโดยปกติแล้ว หากเป็นเลเวล C ธรรมดา จะต้องใช้ระยะเวลาสะสมมันมากถึงสามเดือน! แต่เขาสามารถทำได้ในวันเดียว รับทรัพย์มหาศาล!         “โอ้ ดูเหมือนว่าในรายการแลกเปลี่ยน จะมีชุดเกราะหวังหมิงอยู่ด้วย” ดวงตาของฉินเฟิงเปล่งประกายสดใส          ชุดเกราะในหวังหมิง เป็นหนึ่งในสมบัติเทวะที่มีชื่อเสียง          เจ้าสิ่งนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีที่มาจากมิติใด แต่พลังป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก หากคำนวณตามคุณภาพ อย่างน้อยสมควรอยู่ในเลเวล A         แน่นอน แต้มที่ต้องใช้แลกมัน เป็นจำนวนที่น่าหวาดกลัวตามคุณภาพ          ต้องใช้แต้มสงครามถึง 50,000 แต้ม!         “เหอๆ ก็ไม่มากเท่าไหร่นี่”         แต่ในความคิดของฉินเฟิง เขารู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้ ตนสามารถแลกได้         หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็ไม่คิดรั้งอยู่ เขาเรียกเมฆครามออกมา พาไป๋หลีกลับไปยังโรงแรมในเมืองเป่ยหัว         หลังอาบน้ำจนสะอาดสะอ้าน ฉินเฟิงก็เริ่มตรวจสอบตัวแทนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มาจากสี่เมืองทะเลเหนือ และพบว่าพวกรุ่นเยาว์จากตระกูลวรยุทธโบราณไม่ได้อยู่ในห้อง โจวฮ่าวกับจิ่นเฟยก็ไม่อยู่เช่นกัน แต่พวกเขาน่าจะไปฝึกฝนอยู่ในสุสานเทพสงคราม         มีอัจฉริยะเพียงสองคนเท่านั้น ที่ฝึกฝนอยู่ในห้องของตัวเอง         ฉินเฟิงจดจำทั้งสองคนไว้ในใจ ตัดสินใจว่าจะสังเกตดูอีกสักพัก หากพวกเขาไม่เลว ก็จะรับมาเป็นคนของตัวเอง และช่วยฝึกฝนสักเล็กน้อย         เพราะกลุ่มองค์กร มิอาจอยู่ได้หากมีผู้แข็งแกร่งเพียงคนเดียว นับจากนี้ไปมันต้องข้ามผ่านช่วงเวลาอันโหดร้าย ในขณะที่ชะตาของฉินเฟิงถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าแม้เขาจะเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม แต่มิอาจเป็นผู้นำได้ตลอดไป         ฉินเฟิงน่ะเป็นหมาป่า –หมาป่าเดียวดาย! ดังนั้นกลุ่มองค์กรนี้ จำเป็นต้องมีคนอื่นมาดูแล นั่งตำแหน่งประธานแทนเขา         …         อีกด้านหนึ่ง ในเมืองเป่ยหัว ซางฮันกลับมาจากต่างมิติ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานอันแผ่วจางของโลกมนุษย์ จิตใจของเธอก็อดห่อเหี่ยวไม่ได้         ในความเป็นจริง มนุษย์ได้มีการเริ่มสำรวจมิติอื่นๆแล้ว และพวกเขายังค้นพบว่าอีกฟากหนึ่งของรอยแยกมิติ มันเหมาะแก่การอยู่อาศัยและฝึกฝนเป็นอย่างมาก แต่มนุษย์ในที่แห่งนั้น เป็นเพียงตัวตนเล็กจ้อยและอ่อนแอ         ยังไงก็ตาม สำหรับตัวตนทรงพลัง ที่นั่นเหมาะใช้ชีวิตกว่าบนโลกมนุษย์เป็นไหนๆ         แต่โลกใบนั้นมันไม่ใช่ของมนุษย์ ดังนั้นต่อให้ใช้ฝึกยุทธได้ดีเพียงใด แต่ถ้าไม่มีบ้าน ใครจะไปอยากอยู่?         เนื่องด้วยความสัมพันธ์อันแสนสลับซับซ้อน ทำให้เหล่าตัวตนทรงพลัง ทุกคนต่างต้องคอยปกป้องโลกมนุษย์แห่งนี้          แต่ในบางครั้ง ก็มีบ้างที่รู้สึกเหนื่อยหน่าย         ซางฮันนวดหน้าผาก สักพักอุปกรณ์สื่อสารของเธอก็ดังขึ้น         “หยวนห่าว วันนี้มีเรื่องอะไรสำคัญเกิดขึ้นรึเปล่า?”         ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นบนอุปกรณ์สื่อสาร ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล C เท่านั้น ซึ่งสำหรับเมืองเป่ยหัว มีเฉพาะเลเวล B ถึงจะเป็นผู้โดดเด่น แต่คนๆนี้เป็นข้อยกเว้น เขามีอิทธิพลพอสมควร เนื่องจากเขาเป็นหัวหน้าเลขานุการของซางฮัน         “จ้าวพรมแดน พวกสัตว์ร้ายไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติในวันนี้ และยังไม่มีรายงานผู้ใช้พลังที่เสียชีวิตเช่นกัน”         ซางฮันพยักหน้า แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว         “แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” หยวนห่าวกล่าว         “เรื่องอะไร?”         “มีเลเวล C คนหนึ่งเข้าไปยังหุบเหวตอนเหนือเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ เขาได้สังหารสัตว์ร้ายเลเวล C ระดับสามัญไปมากถึง 5,000 ตัว และยังมีระดับทหารและนายพลอีกจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญก็คือ เขาใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น”         “อะไรนะ! แน่ใจหรอว่าเป็นเลเวล C แค่คนเดียว?” ซางฮันตกใจกับข่าวนี้         “ใช่ ยิ่งไปกว่านั้น คนๆนี้ ท่านจ้าวพรมแดน คุณเองก็รู้จักเขา”         “โอ้? เป็นใครกัน”         “ตามข้อมูล บอกมาว่าเขาชื่อฉินเฟิง เป็นผู้การรัฐของสี่เมืองทะเลเหนือ”         “ที่แท้เป็นเขา!?”  

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.496 – ที่แท้เป็นเขา  

 

 

 

เพราะสุดท้าย ในการออกล่าสัตว์ร้ายระดับสูง คุณจำเป็นต้องสร้างกองกำลังทหารรับจ้าง หรือไม่ก็ต้องร่วมมือกับคนอื่นๆ และเงินรางวัล ต้องแบ่งปันอย่างเหมาะสม  

 

 

 

กล่าวได้ว่าตัวตนทรงพลังก็มีเรื่องที่ตนเองต้องคอยกังวล ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าหาญพอๆกับเกาหยูคัง  

 

 

 

ฝูงชนเริ่มมองสำรวจไป๋หลี เมื่อพบว่าอีกฝ่ายติดตราเลเวล D ผู้คนในที่นี้ ก็พอคาดเดาออก ว่าเธอมาเพื่อทดสอบการรับรองตราผู้ใช้พลัง  

 

 

 

ผู้ใช้พลังหน้าใหม่ได้มาเยือน แต่ผู้ใช้พลังคนนี้ ดูเด็กจนน่าประหลาดใจ คล้ายยังเยาว์วัย ไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ  

 

 

 

ไม่ต้องกล่าวถึงใบหน้าอันงดงาม ไป๋หลีกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจำนวนมากทันที  

 

 

 

แต่ในเวลานั้นเอง เสียงร้องอุทานจากอีกทาง ก็ดังแทรกเข้ามาในรูหูของฝูงชน  

 

 

 

“นี่ … ตะเกียงสำริดของคุณ ไม่ได้เสียใช่ไหม!” ผู้ตรวจสอบร้องเสียงหลง  

 

 

 

คราวนี้ ฝูงชนถูกเบนความสนใจ หันไปมองผู้ตรวจสอบ และคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามเขา  

 

 

 

–เป็นฉินเฟิง  

 

 

 

“ตะเกียงนี่ผมเช่ามาจากพวกคุณ มันเสียหรือไม่ พวกคุณเองน่าจะรู้ดี”  

 

 

 

“ตะ .. แต่บันทึกของคุณมัน ..! ”  

 

 

 

“ทำไม บันทึกมีอะไรผิดพลาด?” หยางเป่ยหันมองเจ้าหน้าที่และฉินเฟิง พลางเอ่ยถาม กระทั่งเขาก็ยังอดให้ความสนใจไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย บุคคลคนนี้ ก่อนเข้าหุบเหว เหมือนจะมีปัญหากับชุ่ยหยาง  

 

 

 

“หัวหน้า คุณดู”  

 

 

 

เจ้าหน้าที่มอบตะเกียงสำริดแก่หยางเป่ย หลังจากหยางเป่ยตรวจสอบมัน รูม่านตาเขาหดวูบทันใด แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง  

 

 

 

เพราะบนตะเกียงสำริด กำลังแสดงตัวเลขสีขาวมากถึง 5219 อย่างกะทันหัน!  

 

 

 

ยังไม่พอ ต่อท้ายมัน ยังมีเลขสีเขียวกว่า 68 หมายเลข และสีม่วงอีก 12 หมายเลข!  

 

 

 

ซึ่งตัวเลขสีเขียวและม่วง คือตัวแทนปริมาณของสัตว์ร้ายระดับทหารและนายพลที่ถูกสังหารลง  

 

 

 

และทั้งหมดนี้ มันดันปรากฏขึ้นในตะเกียงสำริด  

 

 

 

ในขณะที่ฉินเฟิงเข้าสู่หุบเหวตอนเหนือเป็นเวลาแค่ 5 – 6 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วแบบนี้ หากเขาเข้าไปข้างในสัก 1 เดือนเล่า? จำนวนสังหารมันจะน่าหวาดกลัวขนาดไหน  

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น หุบเหวตอนเหนือยังไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธปืนที่ทรงพลังในการโจมตี แล้วนี่ฉินเฟิงสามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร?  

 

 

 

หยางเป่ยตรวจสอบตะเกียงสำริดอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หรือชำรุดเสียหายใดๆเลย  

 

 

 

“มิสเตอร์ฉิน” น้ำเสียงของหยางเป่ย ฟังดูสุภาพ นอบน้อมลงโดยไม่รู้ตัว หากตัวเลขนี้ไม่ถูกตบแต่ง และเป็นของจริง .. หยางเป่ยไม่กล้าจินตนาการไปมากกว่านี้  

 

 

 

“ตะเกียงสำริดใบนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตัวเลขภายในมันเยอะเกินไป แต้มสงครามที่ได้ก็น่าจะมหาศาลเช่นกัน ฉันคิดว่าตัวบันทึกอาจมีข้อผิดพลาด ดังนั้นขอตรวจซ้ำอีกรอบจะได้รึเปล่า?”  

 

 

 

ฉินเฟิงมองหยางเป่ย “คุณจะใช้วิธีไหนในการตรวจซ้ำ?”  

 

 

 

หยางเป่ยพอได้ยินว่าฉินเฟิงไม่ขัดข้อง ก็กล่าวตามตรง “คุณสมควรเก็บวัตถุดิบทั้งหมดที่ได้มาจากสัตว์ร้ายใช่ไหม? ขอให้ฉันดูมันหน่อย”  

 

 

 

“ไม่มีปัญหา”  

 

 

 

ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ เขาหันไปพยักหน้าให้ไป๋หลี   

 

 

 

ไป๋หลีแยกตัวออกจากฝูงชน มาหยุดหน้าพื้นที่โล่ง วาดมือไปในอากาศ ช่องว่างมิติปรากฏขึ้น จากนั้น วัตถุดิบจำนวนมหาศาลก็ร่วงตกลงมา  

 

 

 

มันคือวัตถุดิบสัตว์ร้ายเลเวล C ระดับสามัญ จากที่โดนแยกส่วนแล้ว อาจมีถึงล้านชิ้นหรือมากกว่านั้น อันที่จริง หากนับวัตถุดิบทั้งกองรวมๆกัน มันจะมีมากถึง 5 ล้านชิ้น ถือเป็นปริมาณมหาศาล  

 

 

 

ทว่าวัตถุดิบมากมายขนาดนี้ หากคิดรวบรวม จำเป็นต้องล่าสังหารสัตว์ร้ายจำนวนมากถึงจะได้รับมัน  

 

 

 

ช่วงเวลานี้ เลเวล B และ C ในที่เกิดเหตุ ทุกคนต่างอ้าปากค้าง  

 

 

 

ขณะที่หยางเป่ย ต่อให้เขาไม่ปลดปล่อยพลังสมาธิเข้าตรวจสอบ ก็ตระหนักได้ทันที ว่าฉินเฟิงไม่ได้โกงบันทึก  

 

 

 

“แบบนี้ใช้ได้ไหม?” ฉินเฟิงถาม  

 

 

 

หยางเป่ยปาดเหงื่อบนหน้าผาก ตอบรับทันที “ใช้ได้ ใช้ได้อยู่แล้ว!”  

 

 

 

แม้เขาจะเป็นผู้ใช้พลังเลเวล B แต่หากต้องล่าสัตว์ร้ายเพื่อให้ได้วัตถุดิบเท่าตรงหน้าในวันเดียว คงไม่มีทางเป็นไปได้ ในเวลานี้สายตาที่เขามองฉินเฟิง แฝงไปด้วยความยำเกรง  

 

 

 

‘คนๆนี้ ถึงตอนนี้จะเป็นแค่เลเวล C แต่ไม่ใช่คนที่สมควรจะยั่วยุแน่นอน’  

 

 

 

“งั้นรบกวนรวมแต้มสงครามให้ผมด้วย”  

 

 

 

“รับทราบ จะทำให้ทันที!”  

 

 

 

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงสั่นไหว แต้มสงครามถูกโอนเข้ามา เขาเปิดหน้าต่างแลกเปลี่ยนในเครือข่ายนักสู้ ที่มีเฉพาะในเมืองเป่ยหัว  

 

 

 

ผลปรากฏว่าฉินเฟิงได้รับแต้มสงครามมามากถึง 6,000 แต้มในครั้งนี้ ซึ่งโดยปกติแล้ว หากเป็นเลเวล C ธรรมดา จะต้องใช้ระยะเวลาสะสมมันมากถึงสามเดือน! แต่เขาสามารถทำได้ในวันเดียว รับทรัพย์มหาศาล!  

 

 

 

“โอ้ ดูเหมือนว่าในรายการแลกเปลี่ยน จะมีชุดเกราะหวังหมิงอยู่ด้วย” ดวงตาของฉินเฟิงเปล่งประกายสดใส   

 

 

 

ชุดเกราะในหวังหมิง เป็นหนึ่งในสมบัติเทวะที่มีชื่อเสียง   

 

 

 

เจ้าสิ่งนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีที่มาจากมิติใด แต่พลังป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก หากคำนวณตามคุณภาพ อย่างน้อยสมควรอยู่ในเลเวล A  

 

 

 

แน่นอน แต้มที่ต้องใช้แลกมัน เป็นจำนวนที่น่าหวาดกลัวตามคุณภาพ   

 

 

 

ต้องใช้แต้มสงครามถึง 50,000 แต้ม!  

 

 

 

“เหอๆ ก็ไม่มากเท่าไหร่นี่”  

 

 

 

แต่ในความคิดของฉินเฟิง เขารู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้ ตนสามารถแลกได้  

 

 

 

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็ไม่คิดรั้งอยู่ เขาเรียกเมฆครามออกมา พาไป๋หลีกลับไปยังโรงแรมในเมืองเป่ยหัว  

 

 

 

หลังอาบน้ำจนสะอาดสะอ้าน ฉินเฟิงก็เริ่มตรวจสอบตัวแทนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มาจากสี่เมืองทะเลเหนือ และพบว่าพวกรุ่นเยาว์จากตระกูลวรยุทธโบราณไม่ได้อยู่ในห้อง โจวฮ่าวกับจิ่นเฟยก็ไม่อยู่เช่นกัน แต่พวกเขาน่าจะไปฝึกฝนอยู่ในสุสานเทพสงคราม  

 

 

 

มีอัจฉริยะเพียงสองคนเท่านั้น ที่ฝึกฝนอยู่ในห้องของตัวเอง  

 

 

 

ฉินเฟิงจดจำทั้งสองคนไว้ในใจ ตัดสินใจว่าจะสังเกตดูอีกสักพัก หากพวกเขาไม่เลว ก็จะรับมาเป็นคนของตัวเอง และช่วยฝึกฝนสักเล็กน้อย  

 

 

 

เพราะกลุ่มองค์กร มิอาจอยู่ได้หากมีผู้แข็งแกร่งเพียงคนเดียว นับจากนี้ไปมันต้องข้ามผ่านช่วงเวลาอันโหดร้าย ในขณะที่ชะตาของฉินเฟิงถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าแม้เขาจะเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม แต่มิอาจเป็นผู้นำได้ตลอดไป  

 

 

 

ฉินเฟิงน่ะเป็นหมาป่า –หมาป่าเดียวดาย! ดังนั้นกลุ่มองค์กรนี้ จำเป็นต้องมีคนอื่นมาดูแล นั่งตำแหน่งประธานแทนเขา  

 

 

 

…  

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ในเมืองเป่ยหัว ซางฮันกลับมาจากต่างมิติ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานอันแผ่วจางของโลกมนุษย์ จิตใจของเธอก็อดห่อเหี่ยวไม่ได้  

 

 

 

ในความเป็นจริง มนุษย์ได้มีการเริ่มสำรวจมิติอื่นๆแล้ว และพวกเขายังค้นพบว่าอีกฟากหนึ่งของรอยแยกมิติ มันเหมาะแก่การอยู่อาศัยและฝึกฝนเป็นอย่างมาก แต่มนุษย์ในที่แห่งนั้น เป็นเพียงตัวตนเล็กจ้อยและอ่อนแอ  

 

 

 

ยังไงก็ตาม สำหรับตัวตนทรงพลัง ที่นั่นเหมาะใช้ชีวิตกว่าบนโลกมนุษย์เป็นไหนๆ  

 

 

 

แต่โลกใบนั้นมันไม่ใช่ของมนุษย์ ดังนั้นต่อให้ใช้ฝึกยุทธได้ดีเพียงใด แต่ถ้าไม่มีบ้าน ใครจะไปอยากอยู่?  

 

 

 

เนื่องด้วยความสัมพันธ์อันแสนสลับซับซ้อน ทำให้เหล่าตัวตนทรงพลัง ทุกคนต่างต้องคอยปกป้องโลกมนุษย์แห่งนี้   

 

 

 

แต่ในบางครั้ง ก็มีบ้างที่รู้สึกเหนื่อยหน่าย  

 

 

 

ซางฮันนวดหน้าผาก สักพักอุปกรณ์สื่อสารของเธอก็ดังขึ้น  

 

 

 

“หยวนห่าว วันนี้มีเรื่องอะไรสำคัญเกิดขึ้นรึเปล่า?”  

 

 

 

ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นบนอุปกรณ์สื่อสาร ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล C เท่านั้น ซึ่งสำหรับเมืองเป่ยหัว มีเฉพาะเลเวล B ถึงจะเป็นผู้โดดเด่น แต่คนๆนี้เป็นข้อยกเว้น เขามีอิทธิพลพอสมควร เนื่องจากเขาเป็นหัวหน้าเลขานุการของซางฮัน  

 

 

 

“จ้าวพรมแดน พวกสัตว์ร้ายไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติในวันนี้ และยังไม่มีรายงานผู้ใช้พลังที่เสียชีวิตเช่นกัน”  

 

 

 

ซางฮันพยักหน้า แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว  

 

 

 

“แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” หยวนห่าวกล่าว  

 

 

 

“เรื่องอะไร?”  

 

 

 

“มีเลเวล C คนหนึ่งเข้าไปยังหุบเหวตอนเหนือเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ เขาได้สังหารสัตว์ร้ายเลเวล C ระดับสามัญไปมากถึง 5,000 ตัว และยังมีระดับทหารและนายพลอีกจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญก็คือ เขาใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น”  

 

 

 

“อะไรนะ! แน่ใจหรอว่าเป็นเลเวล C แค่คนเดียว?” ซางฮันตกใจกับข่าวนี้  

 

 

 

“ใช่ ยิ่งไปกว่านั้น คนๆนี้ ท่านจ้าวพรมแดน คุณเองก็รู้จักเขา”  

 

 

 

“โอ้? เป็นใครกัน”  

 

 

 

“ตามข้อมูล บอกมาว่าเขาชื่อฉินเฟิง เป็นผู้การรัฐของสี่เมืองทะเลเหนือ”  

 

 

 

“ที่แท้เป็นเขา!?”  

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】
Status: Ongoing
อ่านนิยายโคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】ภายในตัวอาคารที่ถูกเสริมแกร่งด้วยเหล็กกล้า พื้นโถงทางเดินราวกับกระจกใส ทั้งแพทย์และพยาบาลต่างเดินกันให้วุ่นไปตลอดเส้นทาง   ที่นี่คือสถาบันวิจัยเขตชานเมืองใหม่ของเมืองเฉิงหยาง   ณ หนึ่งในพื้นที่บริเวณของสถาบัน กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ทั้งตื่นเต้นระคนวิตกกังวล กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ   “กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง! หมายเลข 2318 ฉินเฟิง กรุณาไปเข้ารับการฉีดยากระตุ้นในแอเรียที่ 3 ด้วย!”   “ถึงตาของฉันแล้- โครม!”   วัยรุ่นชายผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จนเจ้าตัวเสียหลัก สะดุดขาตัวเองล้มคะมำลงกับพื้น   เพียงได้ยินเสียงกระแทก ทุกคนก็พอจะรับรู้ได้ว่าการล้มหน้าฟาดของอีกฝ่ายรุนแรงขนาดไหน   “อ๊า! ฉินเฟิง!” เห็นถึงฉากนี้ โจวฮ่าวก็กลายเป็นตื่นตระหนก เขาเร่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือสหายของตนอย่างร้อนรน   แล้วก็พบกับผลลัพธ์คาดไม่ถึง -ฉินเฟิงที่ล้มลงดันสลบไปซะอย่างงั้น!   “ชิบหายแล้ว ฉินเฟิง! นายคงไม่ได้หมดสติจริงๆหรอกใช่ไหม เล่นตลกอะไรในเวลาสำคัญแบบนี้เนี่ย? รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า! ถึงเวลาฉีดยา ‘กระตุ้นพลัง’ ของนายแล้วนะ!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset