Ep.573 – ดินแดนที่น่าสงสาร
ระหว่างกวาดตามองออกไปนอกรถศึก แนวสายตาของฉินเฟิงก็พบกับชายฉกรรจ์คนหนึ่ง กำลังลากตัวเด็กชายที่เสื้อผ้ามอมแมมขาดวิ่น บนใบหน้าของเด็กน้อยแข็งค้างและถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ไร้ซึ่งลมหายใจอีกต่อไป
เขาตายแล้ว
หนาวจนตาย!
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของชายที่กำลังลากศพเด็กน้อยกลับเผยถึงความสุข คล้ายกับว่ากำลังจะได้อิ่มเอมกับอาหารมื้อใหญ่ในวันนี้
ดวงตาของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา ไม่ต่างไปจากลมหนาวของรัฐซูหยวนในเวลานี้
ฉากดังกล่าว ฉินเฟิงรู้สึกว่าตัวเขาไม่ได้พบเจอมันมานานมากแล้ว
ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นชีวิตก่อน ในช่วงที่เขายังไม่แข็งแกร่ง แต่หลังจากเกิดใหม่ เขาสามารถยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว เลยไม่ค่อยได้สัมผัสกับคนธรรมดา
แต่ตอนนี้ คนธรรมดาที่ว่ากำลังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อาศัยอยู่ในหมู่บ้านทรุดโทรม ไม่มีกระทั่งเหยื่อหรืออาหารใดๆในฤดูหนาว ดังนั้นจึงเหลือหนทางเดียว –กินคนด้วยกันเอง!
คนอื่นๆรอบข้างที่ชายคนนั้นเดินผ่าน ไม่แสดงออกถึงความรังเกียจ หรือมีอาการมวนท้องจะอ้วกแต่อย่างใด ทุกคนคล้ายชินชากับมันไปแล้ว
แน่นอน ยังมีอีกห้วงอารมณ์หนึ่งสะท้อนอยู่ในแววตาของพวกเขา นั่นคือความอิจฉา
ใช่ ถูกต้อง ชายคนนี้ค้นพบอาหาร แม้นั่นจะเป็นเนื้อแห้งๆติดกระดูกไม่กี่สิบปอนด์ แต่เกรงว่าจะสามารถช่วยให้ประทังชีวิตรอดไปอย่างราบรื่นได้ถึงครึ่งเดือน แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนอื่นอิจฉาได้อย่างไร?
ใบหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นไร้อารมณ์ เมื่อเจอโรงแรมอยู่ข้างหน้า เขาก็หยุดรถทันที
รถศึกล่องเวหาระดับสูงอย่างสายฟ้าสีเงิน สำหรับชาวบ้านเหล่านี้ ถือเป็นการดำรงอยู่ระดับตำนาน นั่นเลยเป็นเหตุผลให้พวกชาวบ้าน หลังจากที่รถของฉินเฟิงปรากฏขึ้น ทุกคนจึงเฝ้ามองมันอย่างกระตือรือร้น
มีกระทั่งผู้ที่ประสงค์ร้าย วางแผนการว่าหลังจากฉินเฟิงเข้าไปพักผ่อนในโรงแรม พวกเขาจะขโมยรถสุดหรูคันนี้ให้จงได้ แม้จะต้องยกมันไปก็ตาม!
แต่น่าเสียดาย ที่หลังลงจากรถ ฉินเฟิงวาดมือเข้าหามัน สายฟ้าสีเงินหายวับไปต่อหน้าพวกเขาทันที
“เขาเป็นผู้ใช้พลัง!”
“อื้อหือ … สามารถใส่รถศึกทั้งคันเข้าไปได้ พื้นที่มิติเขาต้องใหญ่ขนาดไหนกัน”
“เขาเป็นผู้แข็งแกร่งจากที่ใดกันนะ?”
ฝูงชนมองมายังฉินเฟิงและไป๋หลี ใช้สายตากวาดสำรวจขึ้นๆลงๆบนตัวทั้งสองไม่หยุด แต่ตอนนี้ทั้งสองสวมชุดโค้ทกันลมตัวใหญ่ ทับด้วยผ้าพันคอและหมวก ดังนั้นไม่เปิดเผยหน้าตา กระทั่งตราผู้ใช้พลัง ก็ไม่สามารถมองเห็นได้
สำหรับฉินเฟิง เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจ เขาย่อมไม่ติดตราผู้ใช้พลังไว้ภายนอก ประจวบกับหน้าตาที่ยังเด็ก จึงเลือกกลบซ่อนกลิ่นอาย และพยายามเผยออกมาให้มากที่สุดแค่เลเวล E เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นี่ก็มากพอที่จะทำให้คนทั่วไปรู้สึกตกใจกลัว
ฉินเฟิงกับไป๋หลีก้าวเข้าสู่โรงแรม ชั้นแรกเป็นห้องอาหาร แต่ข้างในไม่มีโต๊ะอาหารอยู่เลย ฉินเฟิงกับไป๋หลีเดินไปยังแผนกต้อนรับเพื่อลงชื่อ
ปรากฏผู้หญิงอายุราวๆสี่สิบเศษๆนอนขดตัวหลบหนาวอยู่ใต้โต๊ะ ใบหน้าของเธอเหลืองซีดและผ่ายผอม จากที่ดูแล้วน่าจะมีน้ำหนักไม่ถึง 80 ปอนด์ (36+- กิโลกรัม)
ฉินเฟิงขมวดคิ้วและกล่าว “ผมขอเปิดห้อง”
ผู้หญิงคนนั้นกวาดสายตาสำรวจฉินเฟิงกับไป๋หลี ความรู้สึกไม่ดีที่ถ่ายทอดออกมาจากในแววตาเธอ ชวนผู้คนรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
“มาจากนอกชุมชนหรอ? มีอาหารบ้างไหม” ผู้ดูแลหญิงเอ่ยถาม
ฉินเฟิงพยักหน้า มีสถานที่อยู่มากมาย ที่ไม่ต้องการเงิน แต่ใช้ปัจจัยสี่ในการแลกเปลี่ยน “อยากได้เท่าไหร่?”
“ข้าว 10 ปอนด์ต่อหนึ่งคืน หรือจะเป็นเนื้อแช่แข็ง 20 ปอนด์ต่อหนึ่งคืนก็ได้”
ฉินเฟิงวาดมือ โยนถุงใบหนึ่งออกมาโดยตรง เพียงแค่มองจากบรรจุภัณฑ์ของมัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของคุณภาพดี ทั้งบนถุงยังแปะเครื่องหมายการค้าเป็นสองตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า : เฟิงหลี
นี่คือข้าวที่ปลูกนอกเมืองเฟิงหลี บรรจุในถุงขนาด 10 ปอนด์พอดิบพอดี
หญิงผู้ดูแลตะลึง เหมือนว่าเธอจะไม่เคยเห็นบรรจุภัณฑ์ที่ดีขนาดนี้มาก่อน เจ้าตัวพลิกซ้ายพลิกขวา ก่อนจะพบวิธีว่าต้องฉีกเปิดมันจากขอบด้านบน จากนั้น สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเธอคือเม็ดข้าวสีขาวราวหิมะ ขาวนวลไม่ขึ้นรา ไร้ซึ่งส่วนผสมหรือสิ่งเจือปนที่ไม่ดี
พริบตานั้นผู้ดูแลหญิงแสดงออกถึงสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเร่งปิดถุงข้าวอย่างรวดเร็ว และซ่อนมันไว้ใต้เสื้อผ้าของเธอ คว้ากุญแจและเดินนำฉินเฟิงขึ้นไปยังชั้นสอง
ฉินเฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ กลับกลายเป็นว่า … โรงแรมแห่งนี้ใช้กุญแจห้องแทนคีย์การ์ดจริงๆ
อย่างไรก็ตาม แม้สถานที่แห่งนี้จะดูล้าหลังอยู่บ้าง แต่ห้องพักก็ไม่ได้ดูแย่จนเกินไป มีบ้างเป็นบางครั้งที่พวกพ่อค้าจะแวะเวียนผ่านมา อีกอย่าง อุณหภูมิภายในโรงแรม ช่วยให้ฉินเฟิงรู้สึกดีขึ้นมาก
แน่นอน ฉินเฟิงมิได้ใช้สิ่งของที่โรงแรมเตรียมเอาไว้ให้ ไป๋หลีดึงผ้าปูเตียงออก และเปลี่ยนไปใช้อันใหม่ของตัวเอง
ผู้ดูแลหญิงเมื่อมาส่งถึงที่ก็จากไปทันที หรือหากจะให้ระบุชัดเจน ควรจะบอกว่าเธอแทบรอไม่ไหวที่จะชิมผลิตภัณฑ์สุดพิเศษของเมืองเฟิงหลี
“ตอนแรกฉันกะจะขอข้อมูลสักนิดๆหน่อยๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้แล้ว” ฉินเฟิงกล่าว
ไป๋หลีถอดผ้าพันคอออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าเรียวงามปานล่มเมือง จากนั้นก็กล่าวว่า “บางทีมันอาจจะดีกว่าถ้าพวกเราตรงไปที่เมืองใหญ่เลย ที่นั่นน่าจะมีเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล น่าจะสามารถค้นหาข่าวสารขององค์กรมืดได้โดยตรง ถ้าคิดจะถามใคร ไม่อยากให้เสียเวลาก็ควนถามผู้รู้!”
“อืม นั่นก็ดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้พักผ่อนก่อนเถอะ”
แม้ฉินเฟิงกับไป๋หลีจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากความสภาพอากาศ ไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน แต่เพื่อการเดินทางที่รวดเร็ว ทั้งสองไม่ได้พักผ่อนเต็มอิ่มมากว่าสามวันแล้ว ก่อนหน้านี้ได้แต่นอนในพื้นที่แคบๆบนรถศึก มันไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันให้ฉินเฟิงได้พักผ่อน เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะจากชั้นล่าง พร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิง และคำสบถของผู้ชาย ฉินเฟิงขมวดคิ้ว ตอนแรกคิดจะปลดปล่อยกำลังภายในเพื่อป้องกันเสียงรอบข้าง แต่ไม่นาน เสียงฝีเท้าบนทางเดินก็ดังใกล้เข้ามา
ก๊อก ก๊อก
ประตูห้องถูกเคาะ
ฉินเฟิงคว้าแขนไป๋หลีเอาไว้ “ฉันจะไปเปิดประตูเอง”
ฉินเฟิงลุกขึ้นและเปิดไปเปิดประตู ภายนอกประตู พบชายวัยกลางคนที่ใบหน้าคล้ายข้ามผ่านสภาพอากาศมาอย่างโชกโชน ฉีกยิ้มประจบสอพลอ แต่ในรอยยิ้มนี้ มันแฝงไว้ด้วยแผนการจนสังเกตได้ชัด
“แขกทั้งสอง ไม่ทราบว่าพวกคุณต้องการมื้อค่ำหรือไม่?”
สายตาของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชาอย่างหาที่เปรียบ
“คุณเป็นเจ้าของที่นี่?”
“ใช่ ใช่ ฉันเป็นเจ้าของที่นี่” ชายคนนั้นเร่งกล่าว
ฉินเฟิงส่งเสียงฮึฮะเย็นชา เอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วจะให้พวกเรากินอะไร?”
“ก็พวกเนื้อตุ๋น , ซี่โครงย่าง .. ”
“เนื้ออะไร?”
“ก็เนื้อหมูไง โถ่!”
เอ่ยถึงจุดนี้ แววตาของฉินเฟิงสะท้อนประกายสังหาร “ผมขอถามอีกครั้ง ว่าคุณใช้เนื้ออะไรทำอาหาร มันคงไม่ใช่เนื้อสัตว์ร้าย แต่คงจะเป็น … เนื้อมนุษย์!”
ชายวัยกลางคนคนนี้ คือคนเดียวกันกับที่ฉินเฟิงกวาดตามองผ่านกระจกรถระหว่างทาง เป็นชายที่ลากร่างเด็กวัยรุ่นที่ถูกแช่แข็งจนตาย
ฉินเฟิงไม่สนหรอกว่าคนพวกนี้จะใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่เขาจะไม่ยอมทน เห็นคนอื่นมาหลอกตัวเอง คิดวางยาเขาแล้วปล้นยังไม่พอ ยังหลอกให้กินเนื้อมนุษย์!!
ทำแบบนี้เท่ากับแส่หาความตาย!
กลิ่นอายของเขาถูกปลดปล่อยออกมา แม้จะแค่เล็กน้อย แต่มันก็มากพอให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
เจ้าของเมื่อสัมผัสกับกลิ่นอายของฉินเฟิง แข้งขาอ่อนเปลี้ยทันที คุกเข่าลงกับพื้น คล้ายถูกกดด้วยแรงมหาศาล
“ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว!”
ฉินเฟิงง้างเท้า ถีบชายคนนั้นกระเด็นออกไป ม้วนกลิ้งลงจากบันไดชั้นสอง อีกฝ่ายแม้ไม่ตาย แต่ก็ไม่น่าจะอยู่รอดได้เกินสามวัน!
ที่ไม่ฆ่าเลยในทันที ก็เพราะฉินเฟิงไม่ต้องการสร้างความลำบากแก่ตนเอง กว่าคนๆนี้จะตาย ฉินเฟิงคงจากไปแล้ว
เจ้าของรู้สึกปวดแปลบตรงช่วงท้อง ไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ แต่ยังลุกไม่ไหว ตัดสินใจคลานหนีไปซ่อนตัวในที่ไกลๆ
เมื่อต้องเผชิญกับผู้ใช้พลัง หากคิดมีลูกเล่นหรือแผนการใดๆ ไม่ต่างไปจากการมองหาความตาย
ตลอดทั้งคืนหลังจากนั้น สงบไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก ฉินเฟิงกับไป๋หลีนอนหลับฝันหวาน
เช้าวันถัดมา เมื่อตื่นขึ้น พวกเขาก็พบว่าเจ้าของไม่อยู่แล้ว มีเพียงหญิงวัยกลางคนเดินออกมา เธอส่งฉินเฟิงกับไป๋หลีจากไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เพียงแต่ว่าใบหน้าของเธอตอนนี้บวมช้ำ จมูกบิดเบี้ยว และดูเหมือนจะเสียฟันหน้าไป ยามมองเลยสามารถเห็นทะลุไปถึงข้างใน
“ความยากจนและข้นแค้นทำให้จิตใจคนกลายเป็นชั่วร้าย” ฉินเฟิงบ่นพึมพำ แต่ก็ยังรู้สึกว่าคนเหล่านี้น่าสงสาร แต่จะทำยังไงได้ โลกมันก็เป็นแบบนี้ พวกเขาดันมาเกิดผิดยุค ผิดสถานที่เอง
ฉินเฟิงออกจากโรงแรมระหว่างกำลังจะจากไป ใต้ชุดคลุมลมของเขาพลันสั่นไหว
“หรือว่าจะมีกองทัพสัตว์ร้ายบุกจู่โจม?” สองคิ้วของฉินเฟิงขมวดเข้าหากัน