RC:บทที่ 609 เรื่องราวที่แตกต่าง ของ เสี่ยวหยาง
“ ดูนั้นสิเขาพยายามหลอกใช้นายมาตลอด นายเป็นแค่เครื่องมือในสายตาของเขา ไม่ได้มีความเป็นพี่น้องเลย!” ร่างโปร่งลอยอยู่รอบตัวเขา
ในขณะนั้นใบหน้าของเสี่ยวหยางถูกปกคลุมไปด้วยเส้นแปลก ๆ สีเขียวเข้มทันที แสงเย็นชาในดวงตาของเขาก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่จะพูดด้วยความโกรธ “หุบปากไปซะ!”
“ ไม่เชื่อเหรอ? ลองคิดดูสิ นายรู้จักเขามานานแล้ว เขาทำอะไรให้นายบ้างหรือเปล่า นายไม่มีอะไรเลย!” ร่างโปร่งกล่าว
ร่างกายของเสี่ยวหยางสั่นสะท้านและพูดว่า “ไม่ ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างนั้น!”
“ไม่ใช่อย่างงั้นเรอะ งั้นฉันของถามนายหน่อย นายคิดว่าตำแหน่งของนายในความคิดของเขา สามารถเปรียบเทียบกับพ่อแม่ของเขาเองเหรอ”
“ ไม่!”
“ งั้นฉันขอถามอีกครั้ง นายหนะเปรียบเทียบกับคนรักของเขาได้ไหม”
“ไม่! พี่หลินและฉันเป็นพี่น้อง แกไม่สามารถเปรียบเทียบอะไรแบบนั้นได้หรอก!” เสี่ยวหยางพูดด้วยดวงตาสีแดง
“โอ้! เขาก็เป็นพี่น้องกับทุกคนนั้นแหละ เชื่อไหมว่านายก็ไม่ได้มีดีเหมือน ชายร่างกำยำพวกนั้นหรอก นายมันไม่มีค่าในความคิดของเขา” ร่างโปร่งลอยอยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่เศร้าหมอง มันยิ้มพูดไม่หยุด
“ ไม่เชื่อ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อแกหรอก!”
เส้นสีเขียวเข้มบนใบหน้าของเสี่ยวหยางฉายออกมาและแสงสีแดงเข้มในดวงตาของเขานั้นแข็งแกร่งน้อยลง
“ ทำไมเราไม่เดิมพันกันดูหละว่า เมื่อนายและพี่ใหญ่ของหลินเฟิงตกอยู่ในอันตราย เขาจะช่วยใคร เขาไม่ช่วยนายก่อนแน่นอน!” ร่างโปร่งกล่าว
ทันทีที่มันพูดสิ่งนี้ออกมา แสงสีแดงในดวงตาของเสี่ยวหยางก็มีพลังมากขึ้น
“ไม่! แกเป็นใคร! ทำไมแกเอาแต่กวนใจฉันไม่หยุดเลย” เสี่ยวหยางร้องออกมาด้วยความโกรธ
ร่างโปร่งกล่าวว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าฉันเป็นใคร ที่สำคัญคือเขาไม่ได้มีนายอยู่ในใจเลยด้วยซ้ำ แต่นายหนะให้ความสำคัญกับเขาเป็นที่หนึ่ง น่าสงสารจริง ๆ !”
“ออกไป ออกไปจากหัวของฉัน!” เสี่ยวหยางกางกรงเล็บออกมา ฟันไปร่างโปรงใส่ แต่ร่างโปร่งแสงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลย
เมื่อเห็นแบบนั้นเสี่ยวหยางก็เก็บของเขาลง เขานิ่งไปเป็นเวลานานจากนั้นร่างนั้นก็พูดอีกครั้ง “อย่าเสียแรงเปล่าเลย ฉันเป็นแค่ปีศาจในจิตใจของนาย พูดตรง ๆ ฉันเป็นแค่ร่องรอยของความแค้นในใจเท่านั้น”
“ร่องรอยของความแค้น?” เสี่ยวหยางจ้องไปที่เงาโปร่งใส
“ใช่ นายควรรู้ว่า นายแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง” เงาโปร่งใสพูดต่อ
เสี่ยวหยางแทบไม่สงบลงเลย และพูดว่า “ต่างกัน? อะไรต่างกัน”
“นายไม่รู้ว่ามีอะไรแตกต่างกันอย่างงั้นเรอะ? ที่จริงพูดตรง ๆ คนก็คือคน แต่นายไม่ใช่! น่าเองน่าจะรู้ดีกว่าใคร!” ขณะที่ร่างโปร่งใส่พูด ร่างนั้นก็เปลี่ยนไปที่ละนิด
หัวงูขนาดใหญ่แปดหัวฌพล่ขึ้นมาอยู่ข้างหลัง มีปีกค้างคาวที่เปื้อนเลือดมือสีดำจำนวนมากอยู่ด้านล่าง ใบหน้า มือ เท้า และบริเวณอื่น ๆ ดูน่าเกลียดน่ากลัวมาก เหมือนสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
“เห็นไหม นั่นคือสิ่งที่นายเป็นและมันก็เป็นเรื่องจริงที่สุดด้วย!” เสี่ยวหยางมองไปที่อีกฝ่าย ใบหน้าดวงตางของเขาเบิกกว้างและสั่นกลัว
ในชั่วพริบตา ความคงอยู่และจิตสำนึกของเสี่ยวหยาง อยู่ที่ไหนสักแห่งในหัวใจของเขาก็แตกสลายหลายไป
“อ๊ากกก”
เสี่ยวหยางปิดหน้าของเขาและกรีดร้องไปทั่วทั้งป่า
“มาเดิมพันกันเถอะ … “
….
สามวันผ่านไป
หลินเฟิงมาที่ฮั่วซานในตอนเช้า และเรียกหาเสี่ยวหยางสองสามครั้ง เสี่ยวหยางปรากฏตัวที่ด้านข้างของเขาทันที
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงพบว่าใบหน้าของเสี่ยวหยางนั้นแปลกไปเล็กน้อย เขาพูดอย่างร้อนรน: “เสี่ยวหยาง! มีอะไรกับนายหนะ? นายดู….แปลกไปมาก”
“ไม่เป็นไร ฉันแค่ไม่ค่อยได้นอนพักเท่าไหร่ในช่วงสองวันนี้!” เสียงของเสี่ยวหยางมีความเฉยเมยน่าแปลกใจ
ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้หลินเฟิงไม่สามารถปรับตัวได้ในทันทีทันใด ไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยวหยางถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ในอดีตแม้ว่าเขาจะมีบุคลิกแบบอื่นแบบใด เมื่อใดก็ตามที่เขาคุยกับหลินเฟิงเสี่ยวหยางจะเปลี่ยนเป็นบุคลิกที่สดใสและหล่อเหลาของตนไป เพื่อพูดคุยกับหลินเฟิง แต่ในตอนนี้ความรู้สึกนั้นหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
มันเหมือนกับ….การเปลี่ยนแปลงจริง ๆ
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงยังคงคิดว่านั่นเป็นเหตุผลทางบุคลิกภาพอื่น ๆ ที่เขาอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สำรวจปัญหานี้ต่อไปอย่างจริงจังแต่อย่างได้
ในไม่ช้าหลินเฟิงก็พาเสี่ยวหยาง, ลู่ซื่อจี้ และตูกังไปยังสถานที่ทางทิศเหนือ นั้นเป็นจังหวัดในภาคกลางของประเทศที่กองกำลังสำคัญทั้งหมดต่างต้องการยึดครอง ‘จังหวัด K’
ตลอดเส้นทางเสี่ยวหยางไม่ได้พูดกับทั้ง ลู่ซื่อจี้ และตูกังเลย เขายืนอยู่ข้างหลินเฟิง ซึ่งมีทั้งสองคนอยู้ด้านหลังทางด้านข้างซ้ายและขวาอีกที
ลู่ซื่อจี้ และตูกังต่างมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง พวกเขารับใช้หลินเฟิงกันทั้งคู่ และพลังของพวกเขาก็ทะลุระดับ SSS ไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน
ไม่เพียง แต่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังมีอีกสองสามคนเช่น หวังหาน หวังซื่อ, จือเฉิง และคนอื่น ๆ ที่กำลังจะหรือทะลุระดับ SSS ไปแล้ว ส่วนใหญ่ผู้บริหารระดับสูงเดิมของกลุ่มหลิน ต่างได้รับการเลื่อนตำแหน่งและมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในเชิงคุณภาพ
ระหว่างทางหลินเฟิงพบว่าเสี่ยวหยาง จงใจรักษาระยะห่างกับพวกเขาสองคนที่ติดตามเขามา ซึ่งนั้นทำให้หลินเฟิงรู้สึกแปลกมาก
และสายตาของเขากลับต้องไปที่สองคนนั้นเป็นระยะ ๆ ก่อนที่จะมองไปมาเห็นความรู้ที่ที่ลุกโชนออกมา
“เจ้าบ้า เสี่ยวหยางเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเขาดูแปลก ๆ ไปหละฮึ? มีอะไรก็พูดมา!” ตูกัง และลู่ซื่อจี้งงวยอย่างมากจนตูกังต้องพูดออกไป
หลินเฟิงส่ายหัวและตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้นะ วันนี้เขาอาจจะอารมณ์ไม่ดีก็ได้มั้ง”
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลินเฟิงก็นำคนทั้งสามคนไปสู่จังหวัด K จนได้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ขนาดของแต่ละจังหวัดจะใหญ่กว่าเขตที่เขาคุ้นเคยถึงสามเท่า
“ยินดีต้อนรับเหล่านักรบเทียนกง! ผู้อาวุโสทั้งสามรออยู่ด้านล่างแล้ว” ทันใดนั้นก็มีเสียงเข้ามาในหูของพวกเขา
หลินเฟิงมองลงไปและเห็นว่า ในลานเรียบ ๆ ใจกลางเบื้องหน้าของเขา มีชายชราคนหนึ่งค่อย ๆ ลอยขึ้นและโบกมือให้หลินเฟิง
“เป็นต้องขออภัยที่ให้รอ ยินดีที่ได้รู้จัก”หลินเฟิงแสดงท่าทางเคารพด้วยกำปั้นของเขา
หลินเฟิงจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่เขายังอ่อนแอจากการลงโทษของผู้อาวุโส ชายคนนี้ได้พาเขาไปทำลายแผนการของชาวตะวันออกและบุคคนลึกลับที่พยายามเข้ามา
แต่ในเวลานั้นผู้อาวุโสอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจกับหลินเฟิงนัก
“ยินดีต้อนรับ อย่าถือสาอะไรเลย!” ผู้อาวุโสลงทัณฑ์ นำหลินเฟิงและสมาชิกอีกสามคนไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่จะจัดประชุม
หลินเฟิงและผู้ติดตามของเขาเดินตามชายแก่ไป เขาให้ความสนใจกับระดับการฝึกฝนของผู้อาวุโสอย่างมาก โดยไม่คาดคิดผู้อาวุโสคนนี้เองก็ก้าวข้ามขีดจำกัดเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นั้น ซึ่งทำให้หลินเฟิงเองประหลาดใจมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อ ตอนที่หลินเฟิงยังไม่กล้าแข็งเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ผู้อาวุโสแห่งการลงทัณฑ์ก็เป็นผู้ใช้พลังระดับสูงสุดของระดับ SSS แล้ว ตอนนี้เขามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์แล้ว ผู้อาวุโสแห่งการตัดสินเองก็สามารถถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เหมือนกันเป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ?
ผู้อาวุโสไม่รู้ว่าหลินเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ในเวลานี้ เขาจดจ่ออยู่กับการพาหลินเฟิงและพรรคพวกไปให้ถึงจุดหมายมากกว่า
หลังจากนั้นไม่นานหลินเฟิงก็ถูกพาตัวไปที่อาคารหลังใหญ่
นี่คืออาคารทันสมัยขนาดใหญ่ มีความสูงมากกว่า 100 เมตร และมี 40 หรือ 50 ชั้น ด้านนอกที่กรุด้วยกระจกสีเขียวมรกต ดูเหมือนมีความหรูหรามาก
“และนี่ไง! สถานที่แห่งนี้คือจุดรวมพลของกองกำลังระดับสูงสุด พวกเขามากันหลายคนแล้ว!” ผู้อาวุโสกล่าว
หลินเฟิงกำหมัดแน่นและกล่าวว่า “ขอบคุณ”
หลินเฟิงกับคนทั้งสามคน ก็เข้าไปด้านใน
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงจุดสิ้นสุดของทางเดิน ซึ่งมีประตูอยู่ข้างหน้า และหลินเฟิงก็ค่อย ๆ ผลักมันเปิดออก