RC:บทที่ 632 บททดสอบของปรมาจารย์ดินแดนพระเจ้า
“นี่คือ…” เมื่อมองไปยังแสงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาของหลินเฟิงก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
ใบหน้าของราชินีมังกรไม่สงบนิ่งอีกต่อไป เธอจ้องมองไปที่กลุ่มแสงแล้วคิดในใจ
หรือว่า
เธอเข้าไปใกล้และรู้สึกได้ถึงพลังแห่งแสง ทันใดนั้นตะกอนในใจก็ตกผลึก ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก
“มันเป็นไปได้อย่างไร…” เธอพึมพำ
หลินเฟิงถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว: “ท่านหมายถึงอะไร? ท่านรู้เหรอว่ามันคืออะไร? “
ผ่านไปนาน ราชีนีมังกรก็รู้สึกตัว เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้จัก นี่คือชิ้นส่วนของหนึ่งในสิบสิ่งประดิษฐ์ชั้นยอด”
“สิบสิ่งประดิษฐ์?” หลินเฟิงสงสัยกับเรื่องใหม่ที่ได้ยิน
ราชีนีมังกรอธิบาย: “สิบสิ่งประดิษฐ์นั้น ท่านพ่อของข้าสร้างขึ้นมาด้วยตัวท่านเอง กล่าวได้ว่ามันมีพลังที่น่ากลัวมาก แต่หลังจากที่ท่านพ่อได้จากโลกไป สิ่งประดิษฐ์ก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก”
“แสงก้อนนี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งประดิษฐ์ สิ่งประดิษฐ์แต่ละอย่างจะถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วน หากนำมาต่อกันก็จะได้สิ่งประดิษฐ์ที่สมบูรณ์ แต่ทว่าผ่านมานานก็ยังไม่มีใครที่นำมาต่อกันได้”
อาวุธของหลินเฟิงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยบังเอิญ
หลินเฟิงกำลังจะเอื้อมมือไปแตะแสง
“อย่าแตะมัน!” ราชินีมังกรพูดเสียงต่ำ
แต่เธอกลับบอกช้าไป เพราะมือของหลินเฟิงแตะโดนแสงและเข้าไปใกล้แล้ว หลินเฟิงรู้สึกแค่เพียงวูบหนึ่งต่อหน้าต่อตาแล้วสติของเขาก็เหมือนจะถูกสูบไปอยู่ที่อื่น
เมื่อภาพตรงหน้าของเขากลับมาชัดเจน เขาก็ตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น
นี่คือโลกที่เต็มไปด้วยความหายนะ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหมอก, สายฟ้า และฟ้าผ่า มีอุกกาบาตตกลงมา พื้นดินเจิ่งนองไปด้วยเปลวไฟและเลือด อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเลือดและกลิ่นอายการแห่งต่อสู้
นี่คือภาพแห่งวันโลกาวินาศ
ไม่นานภาพที่มองเห็นก็เป็นหุบเขาลูกหนึ่ง
มีคนอยู่นับพัน สายตาของพวกเขาถูกตรึงอยู่กับชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่ตีนเขา
ข้าไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่ ถึงเขาจะดูเด็กมากแต่สภาวะจิตใจกลับดูสูงวัย หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงจากร่างของชายคนนี้ซึ่งเขาไม่เคยรู้สึกได้จากเสี่ยวหยางเลย
ร่างของชายคนนั้นเต็มไปด้วยเลือดจนหมดสภาพและตรงหน้าของเขาก็มีปีศาจตนหนึ่งซึ่งสภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย
สายพันธุ์ปีศาจตนนี้แตกต่างจากสายพันธุ์ปีศาจคนอื่น ๆ เขาสูงห้าเมตรและสวมเกราะสีทองเข้ม ร่างม้าที่อยู่ต่ำกว่าอานลงไปมีสามหัว แต่ละหัวทรงพลังราวกับวัวถึก ลมปราณของมันมีทั้งลมและสายฟ้า
อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความสง่างามอย่างน่าสะพรึง ความแข็งแกร่งจากรูปร่างเช่นนี้ไม่อาจเห็นได้ดาษดื่น
“เว่ย เจ้าไม่อาจถอยหลังได้แล้ว วันนี้คือวันตายของเจ้า!” ปีศาจสีทองเข้มกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ เสียงของเขาราวกับกลองที่ถูกกระหน่ำ ทุกคำที่พูดออกไปทำให้ผู้คนต่างใจเต้นตูมตาม
ชายหนุ่มที่รู้จักกันในนาม เว่ย กระอักเลือกออกมาพร้อมกับหัวเราะทั้ง ๆ ที่เลือดกลบปาก เขาพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะไม่นับรวมวันนี้ด้วยเหรอ? หากเจ้าไม่ได้สังหารข้าก็คงจะไม่รู้สึกดีไปกว่านี้แล้วสินะ! “
เมื่อคำพูดจบลง แสงประหลาดก็ปะทุขึ้นในดวงตาของเว่ย ทันใดนั้นลมและสายฟ้าแห่งสวรรค์และโลกก็มารวมตัวกัน พลังวิญญาณจากร่างของเขาทำให้หุบเขาทั้งลูกสั่นสะเทือน
“มาตายด้วยกันเถอะ”
เขาคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว ทั่วทั้งร่างระเบิดออก กระแสน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ถูกลมที่รุนแรงดูดเข้าไปในนั้น
“ไม่! ไม่”
ปีศาจทองเข้มส่งเสียง ม้าร้องโหยหวนและถูกดูดเข้าไปพร้อมกับปีศาจทั้งหมด ภาพจบลงแบบนี้ ในพริบตา หลินเฟิงก็พบว่าตัวเขาได้มาอยู่ในโลกที่ว่างเปล่า
ไม่มีท้องฟ้าและพื้นดินในโลก ดูเหมือนจะลอยขึ้น ๆ ลง ๆ
ภาพที่เห็นเมื่อครู่ทำให้เขาใจสั่น เขาคิดว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นก่อนที่โลกคู่ขนานจะถูกสร้างขึ้นมา
ทันใดนั้น ก็มีร่าง ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา หลินเฟิงตกตะลึงที่พบว่าชายคนนั้นแท้จริงก็คือชายที่มีนามว่า เว่ย นั่นเอง!
แม้หลินเฟิงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็เต็มไปด้วยความนับถือ
เขาพุ่งเข้าไปแล้วกล่าว “ปรมาจารย์”
เว่ยมองดูหลินเฟิงอยู่ครู่หนึ่งและความประหลาดใจเล็กน้อยก็พาดผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาถึงจุดนี้ได้ตั้งแต่ยังหนุ่ม เจ้าหนุ่ม เจ้าทำได้ดีมาก”
ต่อหน้าการชมเชยของเว่ย หลินเฟิงรีบกล่าวถ่อมตัว: “เป็นเพราะโชคช่วยขอรับ”
จากนั้น เขาจึงมองเว่ยอย่างลังเล: “ขออภัย ผู้อาวุโส คือท่าน…”
เมื่อรู้สิ่งที่เขาต้องการถาม เว่ยส่ายหน้าแล้วตอบ “ข้าตายแล้ว นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวแห่งพลังที่ข้าใส่ไว้ในชิ้นส่วนสิ่งประดิษฐ์”
เมื่อได้รับรู้คำพูด หลินเฟิงก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาบ้าง
ปรากฏว่าราชินีมังกรพูดถูก เพื่อผนึกเหล่าสายพันธุ์ปีศาจ เว่ยจึงได้สิ้นชีพไปแล้ว
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร?” เว่ยถาม
หลินเฟิงรีบอธิบายสาเหตุและสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงถาม: “ขออภัยท่านปรมาจารย์ พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรขอรับ?”
สีหน้าของเว่ยดูสับสน: “ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ เกรงว่าคงจะไม่สามารถช่วยเจ้าออกไปได้”
“งั้นหรือ?” หลินเฟิงถอนหายใจ “ดูเหมือนตอนนี้จะจบสิ้นแล้วจริงๆ”
เขามองไปรอบ ๆ แล้วถามขึ้นมาทันที “แล้ว ที่นี่คือที่ไหนขอรับ?”
เว่ยตอบ “นี่คือโลกแห่งวิญญาณ เพราะเจ้าสัมผัสกับชิ้นส่วนสิ่งประดิษฐ์ ดวงจิตเลยถูกดูดเข้ามา “
ดวงตาของหลินเฟิงสว่างวาบ: “เช่นนั้น ท่านมอบชิ้นส่วนสิ่งประดิษฐ์ให้ข้าได้ไหม?”
พอได้ยินอย่างนี้ เว่ยก็อึ้งแล้วหัวเราะออกมา: “จะมีเรื่องดีเช่นนั้นได้อย่างไร? กว่าข้าจะหาชิ้นส่วนนี้เจอก็ผ่านความยากลำบากมาหลายพันครั้ง จะมอบให้ใครง่าย ๆ ได้อย่างไร หากเจ้าอยากได้ เจ้าต้องผ่านการทดสอบจากข้าซะก่อน”
“ทดสอบ?” หลินเฟิงไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ แต่ด้วยความโลภต่อสิ่งประดิษฐ์ เขาจึงอยากลองดูแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไร? ถ้าไม่ผ่านก็แค่ไม่ได้ของ
เมื่อคิดอย่างนี้ หลินเฟิงจึงพยักหน้าและเอ่ยถาม “ตกลง ทดสอบอะไรขอรับ?”
ท่าทางของเว่ยเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง และน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเสียงก้องกังวาน: “ด้วยข้อเสนอที่ห้ามใช้อุปกรณ์หรือสัตว์สงครามใด ๆ จงพึ่งพาเพียงพลังวิญญาณของตัวเจ้าในการแบกรับพลังของข้า!”
ทนแรงกดดัน?
หลินเฟิงชะงักและรู้สึกผิดทันทีที่คิดในใจเมื่อครู่
นี่คือปรมาจารย์แห่งดินแดนพระเจ้า แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวพลังแห่งพระเจ้า แต่มันต้องวิเศษมากแน่ ๆ
หากเขาพึ่งแค่พลังของตัวเอง เขาก็อยู่แค่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะไปสู้กับอีกคนไหวได้อย่างไร?
แต่เมื่อคำพูดได้ถูกกล่าวออกไปแล้ว เขาจึงไม่อยากเป็นที่ขบขันที่ดีแต่พูดของผู้อาวุโส: “ตกลง ข้ายอมรับ!”
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ได้ปรับพลังมาอยู่ในสถานะคงที่ที่สามารถปล่อยออกมาได้ตลอดเวลา
“เช่นนั้นก็เข้ามา!”
เว่ยเอ่ยเสียงต่ำแล้วกระทืบเท้าในทันที แรงกดดันเป็นดั่งราวกับคลื่นที่แผ่ออกมาและครอบคลุมหลินเฟิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว