RC:บทที่ 637 ความวุ่นวายในโรงแรม
จิตใจของหลินเฟิงนั้นว่างเปล่า เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร ราชามังกรทั้งสองนั้นสามารถนำไปความเป็นไปได้หลายสิ่งหลายอย่าง
ลมหนาวทำให้ผิวหนังของเขาสะดุ้งและเขาก็อดไม่ได้ที่จะจามออกมา
ในเวลานี้เสียงอันไพเราะดังก้องอยู่บนท้องฟ้า หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นและพบว่าประตูแห่งห่วงอวกาศถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์แล้ว
เขารีบตะโกนไปที่ด้านล่างนั้น: “ราชินีมังกร ท่านยังอยู่ที่นั่นหรือไม่ ประตูกำลังเปิดออกแล้ว”
มีเพียงสายลมและความเงียบเท่านั้นที่ตอบรับเขา
ใบหน้าของหลินเฟิงซีดและริมฝีปากของเขาสั่น
แม้แต่เรื่องนี้ก็อาจจะยากสำหรับราชินีมังกรอย่างงั้นหรือ?
ในขณะที่เขารู้สึกสิ้นหวังนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าพื้นน้ำแข็งที่เขากำลังเหยียบอยู่เกิดการสั่นไหวขึ้นเล็กน้อยจากนั้นตรงกลางของน้ำแข็งแล้วค่อย ๆ แตกออก
ร่างหนึ่งบินออกมาจากใต้พื้นน้ำแข็งและหยุดอยู่ตรงหน้าหลินเฟิง
เมื่อเห็นใบหน้าราชินีมังกรที่คุ้นเคย หลินเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจ: “ผู้อาวุโส!”
“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”
จากนั้นพวกเขาก็บินเข้าไปที่ประตูแห่งห้วงอวกาศ
หลินเฟิงเดินตามเขาไป มีเพียงความรู้สึกแปลก ๆ ที่ดวงตาของเขา ก่อนที่จะเปลี่ยนไปอย่างฉับไว
พวกเขายืนอยู่ภายใต้ท้องทะเลอันไม่มีที่สิ้นสุด ม่านพลังสีดำยังคงลอยอยู่เหนือท้องทะเลนั้นและไม่มีวี่แววว่าจะจางหายไป
หลินเฟิงมองไปที่ม่านพลังสีดำและถามว่า “ผมควรทำอย่างไรกับสิ่งนี้ พวกเขาคงไม่สามารถเก็บมันไว้ที่นี้ได้ตลอดเวลาใช่ไหม?”
ราชินีมังกรกล่าวว่า: “มันเป็นเพียงรอยแยกแห่งกาลเวลาเท่านั้น ข้าสามารถปิดผนึกมันได้”
หลังจากนั้นราชินีมังกรก็ใช้พลังวิญญาณของเธอเพื่อส่งคลื่นแสงสีฟ้าอ่อนไปยังม่านพลังสีดำ
หลินเฟิงรู้สึกว่าราชินีมังกรในเวลานี้มีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานม่านพลังสีดำก็บิดเบี้ยวและหายไปในที่สุด
แต่สำหรับราชินีมังกรแล้ว การเคลื่อนไหวนี้ไม่สามารถต้านทานได้อย่างเห็นได้ชัดใบหน้าของเธอซีดลงอย่างรวดเร็ว ร่างบาง ๆ ของเธอนั้นอ่อนปวกเปียกก่อนที่จะลมล้มลง
หลินเฟิงรีบไปช่วย: “ผู้อาวุโส ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
พลังของราชินีมังกรนั้นอ่อนแอลงและสภาพร่างกายนั้นก็ไม่ได้ดีพร้อมนัก
ดูเหมือนว่าเธอจะใช้วิธีการคล้ายพลังของราชามังกรแห่งกาลเวลา เพื่อบังคับให้ต้องระเบิดพลังออกมา แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับวิธีที่ราชามังกรแห่งกาลเวลาใช้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเธอนัก
ราชินีมังกรนั้นดูอ่อนแอมากและใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ข้าสบายดี ข้าจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่” เขาพูดเบา ๆ ออกมา
“ข้าปิดมันแล้ว หลังจากนี้อย่าพึ่งมาหาข้า”
“นอกจากนี้เจ้าควรเตรียมความพร้อมสำหรับการทดสอบพลังนั้น ภัยอันตรายในปราสาททองคำนั้นสูงกว่าที่เจ้าคาดคิดเอาไว้มาก เจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”
หลินเฟิงพยักหน้าจากนั้นราชินีมังกรก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหันหน้าออกไปที่ท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต
หลินเฟิงยืนอยู่กลางสายลมของหัวใจที่ไร้อารมณ์ของราชินีมังกร
ท้ายที่สุดตอนแรกพวกเขาบุกกันเข้ามาสามคน แต่ตอนนี้เหมือนจะเหลือเพียงเขาคนเดียว
“ราชามังกรกาลเวลา การเสียสละของท่านจะไม่เปล่าประโยชน์” เขากำหมัดแน่นและคิดในใจ “ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีใครต้องทนทุกข์แบบนี้อีก”
หลังจากนั้นหลินเฟิงก็กลับไปที่บ้านของเขา แม้ว่าการผนึกจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม
แต่สำหรับหลินเฟิงแล้วเขาจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? เป็นเวลาสองวันแล้ว ตราบใดที่เขานึกถึงฉากการเสียสละของราชามังกร อารมณ์ของเขาก็แปรปรวนอย่างมาก เขารู้สึกเพียงว่าหน้าอกของเขาร้อนรนจนไม่สามารถสงบลงได้
เขามองไปที่ปราสาททองคำที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างเงียบ ๆ ความกระตือรือร้นที่จะบุกเข้าไปให้เร็วที่สุดเอ่อล้นในจิตใจของเขา
ตอนนี้เขาต้องปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างมาก มิฉะนั้นแล้วด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ เมื่อภัยพิบัติแห่งวันโลกาวินาศมาถึง ไม่ต้องพูดถึงพระผู้ช่วยให้รอดเลย เขาอาจจะกู้โลกจากหายะนะไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขารู้สึกหดหู่ใจแม้ว่ามู่ซินซินจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าหลินเฟิงต้องประสบกับสิ่งที่เลวร้ายมาแน่ ๆ
เธอไม่ได้ไถ่ถามอะไรมาก แต่เธอคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่หลินเฟิงจะทำเช่นนี้ตลอดเวลา ดังนั้นเธอจึงส่งข้อเสนอให้หลินเฟิงในตอนเที่ยง
“วันนี้เราไปกินข้าวนอกบ้านกันไหม”
หลินเฟิงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธโดยตรง: “ฉันไม่อยากไปหนะ”
แต่มู่ซินซินก็อยากจะดึงเขาให้ไป แม้จะมีอารมณ์มาพัวพันด้วยเล็กน้อยก็ตาม
หลินเฟิงไม่ยอม แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็ต้องการที่จะออกไปพักผ่อนเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงตกลงที่จะลงออกไปกินข้าวด้วย
แต่ตอนนี้สถานการณ์ภายนอกซับซ้อนมาก ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น เขาจึงใช้ทักษะและพรสวรรค์ของเถาวัลย์ปีศาจ เพื่อเปลี่ยมร่างของเขากับมู่ซินซิน
ถึงยังงั้นดีกรีความหล่อสวยและแซ่บของพวกเขาก็ไม่ได้ลดลงไปเลย
แทนที่จะไปร้านอาหารโหย่วหยีร้านประจำ หลินเฟิงไปที่โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแทน
การตกแต่งของโรงแรมนี้หรูหรามาก เป็นสถานที่ที่หลินเฟิงไม่กล้านึกถึงด้วยซ้ำในสมัยก่อน
พวกเขากำลังจะไปนั่งในห้องรับรอง แต่ธุรกิจของโรงแรมกำลังเฟื่องฟูกห้องรับรองนั้นเต็ม จึงได้แค่นั่งกินในห้องโถงขนาดใหญ่ของโรงแรม
ไม่นานนักจานทั้งหมดก็มาเสิร์ฟถึงที่ ตั้งแต่ ที-โบนสเต็ก คาเวียร์ ไปจนถึง ฟัวกราส์ อาหารที่เสิร์ฟเกือบทุกอย่างนั้นทำจากเชฟฝีมือดีระดับโลก
เขาเอาก็คิดในใจและกลัวว่าค่าใช้จ่ายในวันนี้ มันจะทำให้ครอบครัวของเขาเสียรายได้ครึ่งของปีโดยเฉลี่ยได้สบาย ๆ เลย ถ้าเป็นเมื่อก่อน
มู่ซินซินกล่าวอย่างกระตือรือร้ว่า
“ดูสิ! การทำชีสนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะ มันถูกหมักไว้ตั้งห้าปีแหนะ ก่อนที่จะเอามาทำอาหารแบบนี้ได้”
“และเจ้านี่ก็คือเนื้อแกะสับจากฟาร์มที่ฝรั่งเศสรสชาติละมุนลิ้นมาก!”
“เอาเถอะ นายเห็นคาเวียร์นำเข้าจากญี่ปุ่นนี้ไหมหละ ฉันชอบมันมากเลยนะ”
……
เธอพูดจนแนะนำอาหารเกือบทั้งหมด
ไม่ใช่ว่าเธอพูดมากเกินไป ความตั้งใจเดิมของเธอคือการทำให้หลินเฟิงมีลืมเรื่องที่ยึดติดเขาเอาไว้บ้าง แต่หลินเฟิงดูเหมือนจะไม่มีความกระหายใด ๆ เลยในมื้ออาหารครั้งนี้
ขณะที่มู่ซินซินกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้หลินเฟิงมีความสุขดี ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
สองคนหันกลับไปมอง มันเป็นเสียงจากผู้ชายตัวใหญ่ ที่ส่งเสียงดังเข้ามา
เดิมทีพวกเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงอยู่ด้านหลังนั้นด้วย
เมื่อมองย้อนกลับไปอีกครั้งพวกเขาพบว่ามีชายร่างใหญ่จับมือบริกรหญิง พร้อมรอยยิ้มไม่หวังดีบนใบหน้าของเขา
“เลิกงานแล้วมามีความสุขกับพวกเราหน่อยไหมหละ”
พนักงานเสิร์ฟแทบจะกลัวจนร้องไห้: “ท่านคะ ได้โปรดเคารพสถานที่ด้วย! ไม่งั้นดิฉันต้องแจ้งตำรวจนะคะ!”
แต่ชายร่างใหญ่ไม่เพียงแต่ทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้น แต่เขายังทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย
มู่ซินซินในฐานะที่เธอเป็นตำรวจแล้ว โดยธรรมชาติเธอไม่สามารถทนกับเรื่องแบบนี้ได้ เธอจึงปรบมือเสียงดังทันที “เห้! หยุดเดี๋ยวนี้!”
ชายร่างใหญ่มองไปที่มู่วินซินและหลินเฟิงละคน ตาของพวกเขาสว่างขึ้นและพวกเขาก็หัวเราะเยาะเย้ยขึ้น: “โอ้นังนั้นสวยกว่ายัยนี้อีก!”
มู่ซินซินทนไม่ได้กับสายตาอนาจารของพวกเขา เธอพูดว่า “ฉันเป็นตำรวจ! พวกแกควรหยุดดีกว่า!”
“ตำรวจ?” ชายร่างใหญ่หัวเราะ“ ฮ่าฮ่าฉันชอบตำรวจนะ โดยเฉพาะตำรวจสวย ๆ”
ชายคนนั้นหันหลังให้และตบก้นของตัวเอง: “มาเถอะสอนบทเรียนด้วยแส้ของเธอให้ฉันหน่อย!”
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกมา ชายตัวโตก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
มู่ซินซินทนไม่ได้ที่ถูกยุ เธอรู้สึกอับอายและโกรธมาก เธอตั้งใจจะตบชายร่างใหญ่ด้วยกระแสงไฟที่มือของเธอ
“ผู้ใช้พลังอย่างงั้นรึ?” ทันทีที่ชายร่างใหญ่เห็น ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนสี ก่อนที่จะทุบมือลงบนโต๊ะอย่างแรง
ทันใดนั้นคลื่นก็แผ่กระจายออกมา ทำให้มู่ซินซินไม่สามารถทนแรงกดดันนั้นได้ จนกระเด็นออกไป!
แต่ในไม่ช้า เธอก็ถูกจับไว้โดยหลินเฟิง: “เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ให้ฉันจัดการดีกว่า… “