RC:บทที่ 652 ไม่เชื่อฟัง
“ ฉันเคยบอกนายแล้วว่าการจัดการกับแวมไพร์เป็นเรื่องของนาย ไม่ใช่เรื่องของฉัน”
“ฉันมาที่นี่เพื่อรับแก่นแท้แห่งสายเลือดของราชาหมาป่าโลหิต นายก็แค่ต้องบอกฉันมาว่าพ่อของนายอยู่ที่ไหนกันแน่”
หมาป่าโลหิตเห็นว่าหลินเฟิงยังคงยึดมั่นอยู่กับสิ่งนี้ นั้นทำให้เขาโกรธ: “แกมันชั่วช้า จะเอาสิ่งที่พ่อของฉันครอบครองอยู่ไปได้อย่างไร ต่อให้แกไปพบพ่อของฉันจริง เขาก็ไม่ให้อย่างแน่นอน”
“ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยพ่อของฉัน เกลียดมนุษย์มาก แม้ว่านายจะเป็นคนยังไง เขาฆ่านายอย่างแน่นอน!”
หลินเฟิงยังคงใบหน้าที่สงบนิ่งเอาไว้ กล่าวว่า: “เรื่องนั้นฉันจะจัดการมันเองนายไม่ต้องกังวล”
“บอกฉันมาได้แล้ว เขาอยู่ที่ไหน เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาของกันและกัน”
น้ำเสียงของหมาป่าโลหิตเต็มไปด้วยความระแวดระวัง: “ฉันบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่เรียกว่าแก่นแท้แห่งสายเลือดนั้นสำคัญกับนายแค่ไหน หรือว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น จริง ๆ แล้วนายจะไปรวบรวมคนอื่นมาล้อมจับเขาใช่ไหม”
หลินเฟิงส่ายหัว: “นายคิดมากเกินไป ฉันสาบานได้เลย ฉันมาที่นี่เพื่อเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ในเวลาเดียวกันไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ฉันจะไม่บอกตำแหน่งของราชาหมาป่าโลหิตกับใคร ทั้งนัั้นไม่ต้องห่วง?”
หมาป่าโลหิตพูดโกรธเคืองไปว่า: “คำสาบานของมนุษย์เชื่อไม่ได้ เผ่าพันของนายมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างมาก คำสาบานของนายจะไปมีประโยชน์อะไร”
“พ่อของฉันต้องการอยู่อย่างสันโดษเขาไม่อยากถูกมนุษย์คุกคามอีกต่อไปแล้ว”
“ตอนนี้เขากำลังฟื้นคืนพลังกลับมา ถึงตอนนี้แล้วนายยังกล้าที่จะเข้าไปพบเขาอีกอย่างงั้นเหรอ”
“ไม่ว่ายังไงก็ตามฉันจะไม่เปิดเผยตำแหน่งของเขา!”
หลินเฟิงเงียบไปสักพัก บางทีมนุษย์ก็ทำหลายสิ่งหลายหลายอย่างไปมากจริง ๆ
เขานิ่งไปพักหนึ่ง แต่แล้วดวงตาของเขาก็คมขึ้นอีกครั้ง: “ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกแล้ว วิธีนี้เส้นทางนี้ เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยเพื่อนของฉันให้ได้ ต่อให้นายไม่เชื่อใจฉัน แต่ฉันก็จะยืนยันว่าจะไม่เปิดเผยตำแหน่งพ่อของนายอย่างแน่นอน”
“เมื่อกี้ฉันพูดไปแล้ว ถ้านายยังไม่ยอมบอกอีก ฉันก็จะถามไปจนกว่านายจะพูดเท่านั้น!”
เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจในร่างกายของหลินเฟิง หมาป่าโลหิตก็มีอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วคำราม“ งั้นก็ลองดู!”
แม้ว่ามันจะไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งมากเกินไปกว่านี้ แต่เนื่องจากหลินเฟิงกำลังฉีกหน้าเขา ในฐานะราชาหมาป่าโลหิตรุ่นใหม่ เขาจึงไม่สามารถหดตัวอยู่ในกระดองเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว!
ขนแต่ละเส้นบนร่างกายของหมาป่าโลหิตเป็นเหมือนปลายเข็มที่แข็งแรง ทั้งตัวของมันเปล่งแสงสีแดงฉานออกมาอย่างรุนแรง ดวงตาของมันมีกลิ่นอายของทะเลเลือดที่ปั่นป่วนราวกับปีศาจที่ออกมาจากนรก
และในเวลาเดียวกันลมหายใจที่รุนแรงก็กวาดฝุ่นกระจายออกไปจากถ้ำของมัน
นี่เหมือนกับการไต่ระดับเพื่อเพิ่มลมปราณ รูม่านตาของหลินเฟิงแข็งตัวเล็กน้อย เขาได้แต่ถอยไปหนึ่งก้าวหนึงพร้อมกับรู้สึกตกใจ
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหมาป่าโลหิตกำลังจดจ่ออยู่กับพลังวิญญาณเช่นเดียวกับเขา เปรียบดั่งน้ำที่ไหลหลากจากทุกหนทุหแห่งมาบรรจบที่แม่น้ำสายเดียวในที่สุด
และในเวลานี้พลังงานที่ส่งออกมาได้ถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าแล้ว!
หมาป่าโลหิตดูดุร้ายขึ้นมาทันที กรงเล็บของมันข่วนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าทิ้งร่องรอยไว้ลึกเอาไว้ตายผนังหิน
มังกรดำพูดด้วยความหวั่นดกรง: “นี่คือการระเบิดลำแสง ของหมาป่าโลหิต”
หลินเฟิงรีบถามกลับไป: “นายรู้ไหมว่าการเคลื่อนไหวต่อไปของมันคืออะไร?”
มังกรดำอธิบายว่า: “นี่คือพลังแห่งพรสวรรค์ของราชาหมาป่าโลหิต ทักษะนี้ทรงพลังมาก ถึงขนาดที่พลังแห่งจิตสังหา่รเพิ่มพูนขึ้นมาราวกับการก้าวกระโดด! ว่ากันว่าราชาหมาป่าโลหิตใช้ท่านี้เพื่อสังหารจ้าวแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าได้ ทั้ง ๆ ที่เขามีพลังเพียงขั้นที่แปดเท่านั้น”
“อะไรนะ?” ร่างกายของหลินเฟิงสั่นเล็กน้อย เขามองไปที่ดวงตาของหมาป่าโลหิต ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นทันที
แม้ว่าเขาจะอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สอง แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีช่องว่างของพลังอยู่มากแค่ไหน ระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่แปด และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่เก้า เขาเองก็กลัวว่าเขามีวิธีที่รับมือกับหมาป่าตัวนี้ได้แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างความกังวลของเขาไปได้เลย!
ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังในการรับมือกับการเคลื่อนไหวนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายที่ถึงชีวิตของเขา เขาไม่สามารถจินตนาการถึงผลที่ตามเลย
ในตอนนี้มังกรดำกล่าวว่า: “แต่ถึงยังงั้นเคล็ดวิชานี้จะถูกใช้เมื่อจนตรอกจริง ๆ เท่านั้น หลังจากที่เขาใช้มันไปแล้ว หมาป่าโลหิตเองก็จะตกอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ตราบใดที่นายท่านสามารถต้านทานมันได้ เราจะชนะมันได้อย่างแน่นอน”
หลินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ พูดมันก็ง่าย แต่การทำมันไม่เหมือนกันหนะสิ!
เมื่อการแสดงออกของหลินเฟิงปรากฏขึ้นเล็กน้อย หมาป่าโลหิตก็ฉวยโอกาสนั้นคำรามและพ่นลำแสงที่แข็งแกร่งออกจากปากของเขา
เสียงระเบิดดังขึ้นก่อนที่จากนั้นเสียงที่อึกกะทึกจะดังตามมา ทันใดนั้นลำแสงที่มีความกดอากาศสูงก็ปกคลุมไปทั่วทั้งป่า
ภายใต้อิทธิพลของแรงกดดันที่รุนแรงมากขึ้น การเลือกที่จะหลบหนีในเวลานี้ย่อมเท่ากับการทำลายตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ดังนั้นหลินเฟิงจึงกำหอกทมิฬของเขาแทงไปที่ลำแสงโดยตรง!
ทันทีที่ปลายของหอกและลำแสงปะทะกัน จะได้ยินเสียงแหลมแสบแก้วหูในอากาศ สายลมพัดผ่านไปอย่างรุนแรง การปิดกั้นลำแสงลำแสงทำลายล้างนั้น ตามปกติแล้วมันจะระเบิดบนสิ่งกีดขวางทุกสิ่ง เมื่อมันปะทะกับพลังที่ใกล้เคียงกันกองไฟที่น่ากลัวราวกับปากยักษ์ก็ปรากฏขึ้นพร้อมที่จะกลืนกินหลินเฟิงไปทั้งตัว!
ผลกระทบของลำแสงระเบิดนั้นเกินกว่าที่ควรจะเป็นมาก แม้ว่าหลินเฟิงจะมาถึงจุดที่ความแข็งของเขาเต็มที่ แล้ว แต่มันก็บังคับให้เขาถอยหลังออกไปสองถึงสามก้าวได้ แขนของเขาสั่นอย่างรุนแรง ฟันของเขากัดแน่นเหงื่อออกที่หน้าผาก
“ อึก! … ”
หลินเฟิงส่งเสียงออกมาด้วยความทุกข์ทรมาน ในขณะที่หมาป่าโลหิตกำลังพ่นลำแสงเส้นเดิมออกมาไม่หยุดพร้อมกับเดินเข้าใกล้หลินเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
หลินเฟิงรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทนต่อไปได้ ไม่ช้าก็เร็วเขาคงโดนเล่นงานอย่างแน่นอน
เขาส่งเสียงคำรามอย่างกะทันหัน เขาเสี่ยงชีวิตโดยการเหวี่ยงหอกของเขาออกไปเพื่อเบนลำแสงไปในทิศทางอื่น
แต่ความต้านทานนั้นแข็งแกร่งเกินไปมากเพื่อที่จะฝ่าอุปสรรคนี้ไปให้ได้ หลินเฟิงรู้ได้ทันทีว่าแม้แต่ไหล่ของเขาก็อาจจะหักด้วย!
ทั้งสองฝ่านกำลังสู้กันมาถึงทางตันของตนแล้ว เห็นได้ชัดจากข้อมือที่ใกล้จะหักของหลินเฟิง ไม่มีใครยอมใครเลยในตอนนี้
อากาศที่ร้อนระอุก่อตัวขึ้นเนื่องจากการปะทะ แม้แต่พื้นดินที่เหลือก็มีการบิดเบี้ยวเกิดขึ้นเล็กน้อย
“ย๊ากกกกกก!!!!”
ในเวลานี้เสียงของหลินเฟิงกลายเป็นเสียงคำรามที่แหบแห้ง เขาจับด้ามหอกเอาไว้แน่น เขารักษาท่าทางในการตั้งหอกเอาไว้ กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาพองตัวอย่างรุนแรง เขากำลังจะเหวี่ยงลำแสงออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
มันวิเศษมากที่การทุ่มสุดตัวครั้งนี้เกิดผลจริง ๆ !
“ฮะ”
ภายใต้พลังอันถึงขีดสุดของหลินเฟิง หอกของเขาก็ถูกง้างตามรุนแรงของการแกว่ง
ลำแสงระเบิดพุ่งเข้าไปในป่าด้านข้างทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ในนั้น
ในทิศทางนั้น ป่าไม้ขนาดใหญ่ถูกทำลายมีหลุมขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นบนพื้นดินและไฟก็ลุกลามไปยังต้นไม้อื่นอย่างรวดเร็ว
“แฮกๆ ได้ผลแหะ…”
และเมื่อหลินเฟิงสามารถหายใจได้ หมาป่าโลหิตก็คำรามและพุ่งไปด้วยแรงที่เหลืออยู่!
ดวงตาของหลินเฟิงนั้นรวดเร็วพอ เขาจึงตวัดหอกของตัวเองไปหาเงาขนาดใหญ่: “เถาวัลปีศาจ จับมันไว้!”
ทันใดนั้นเงาของหลินเฟิงก็กระโดดออกมาจากร่าง มันกลายเป็นเถาวัลย์แห่งเงาหลายเส้นผูกเข้ากับร่างของหมาป่าโลหิต
และเนื่องจากพลังของเถาวัลนั้นมีไม่มากพอ มันจึงไม่สามารถสร้างห่วงรัดอีกฝ่ายได้สำเร็จ
แต่ในทางกลับกัน หลินเฟิงสร้างสถานการณ์นั้นเพื่อให้มีเวลาได้คิด ตอนนี้อีกฝ่ายจะถ่ายโอนพลังเพือยิงลำแสงใส่เขาไม่ได้แล้วเพราะพลังวิญญาณถูกใช้ไปมากเช่นกัน
การเดิมพันนั้นคือ การที่หลินเฟิงสามารถเบี่ยงเบนลำแสงแสงนั้นได้หรือไม่ และหมาป่าโลหิตนั้นรักษาพลังวิญญาณของการต่อสู้ได้ไม่มากอยู่แล้ว
โชคดีที่เขามองออก
เขาเดินไปหาหมาป่าโลหิตและสงบความกลัวที่แฝงอยู่ในใจและพูดออกไปว่า “ตอนนี้นายจะเอาด้วยแล้วรึยัง”