RC:บทที่ 657 ราชาหมาป่าโลหิตกลับสู่ถิ่น
แสงสีฟ้าเล็ก ๆ ลอยอยู่ในอากาศ ลมหายใจของเธอยังคงมั่นคงอยู่ ชายเสื้อของเธอกระพือไปตาแรงลมพร้อมความโกรธที่แสดงออกมาเล็กน้อย
อย่างที่เธอพูด แม้ว่าจะเป็นการปะทะกับปรมาจารย์ขั้นสูง แต่เธอก็ดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าหลังจากการปะทะกันครั้งที่ 1
เธอพูดด้วยน้ำเสียงอันดุดัน: “ราชาหมาป่าโลหิต พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน ดังนั้นข้าขอแนะนำให้ท่านใจเย็นลงและใช้เหตุผลให้มากกว่านี้”
“แต่ข้าโกรธมากกับสิ่งที่เจ้าทำกับมนุษย์ผู้นี้ ถ้าเจ้ายังจะไม่ยอมเลิกลาหละก็ ข้าจะเป็นฝ่ายคิดบัญชีกับเจ้าแทน!”
ราชาหมาป่าสีเลือดแสดงรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา : “อย่าคิดว่าเป็นราชินีแห่งท้องทะเลแล้วจะได้ใจนักหละ ในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คิดว่าข้าจะกลัวอย่างงั้นรึ?”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้พูดในนามของข้าเพียงอย่างเดียว แต่ข้าพูดในนามของทั้งสีตระกูลและกลุ่มของมนุษย์คนนี้อีกด้วย!” เสี่ยวไชกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหลมคม
“แม้ว่าเจ้าจะเป็นนักบุญที่ใกล้จะบรรลุ แต่หากเจ้าต้องการต่อสู้กับสี่ตระกูลของข้า เจ้าจะต้องแบกรับผลที่ตามมาไปอีกนานเท่านาน!”
เสียงของเสี่ยวไชลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับความสง่างามของราชินีแห่งท้องทะเล
หลินเฟิงมองไปที่แผ่นหลังของเธอจากระยะไกล เขายิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้เปลี่ยนไปมาก เธอไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าน้ำตาอีกต่อไปแล้ว เธอเป็นผู้ใหญ่และเป็นราชินีที่สง่างามแล้ว
หัวใจของราชาหมาป่าโลหิตตกตะลึงเล็กน้อยและใบหน้าของเขาก็ดูแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ : “แน่นอนว่าครึ่งนึงของเจ้าก็เป็นมนุษย์ ถ้าเจ้าอยากจะเปิดศึกระดับนี้ก็ได้?”
“ข้าเองก็จำได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสี่ตระกูลกับมนุษย์นั้นไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย มันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหละ?”
ดวงตาของเสี่ยวไชแน่วแน่: “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวล เจ้าแค่ต้องเลือกหนทางของเจ้า”
ราชาหมาป่าโลหิตนิ่งเงียบไปชั่วครู่ สีที่ครุ่นคิดอย่างเอาเป็นเอาการก็ปรากฏในดวงตาของเขา
ถ้ามีเพียงเสีย่วไชเขาอาจจะไม่กลัว แต่ถ้าเขาต้องการเผชิญหน้ากับการประกาศสงครามกับทั้งสี่ตระกูล เพราะเรื่องแบบนี้หละก็เขาคงต้องชั่งใจและคิดให้มากกว่านี้
ท้ายที่สุดแม้ว่าจะไม่มีผู้นำตระกูลคนใดอยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ตระกูลเหล่านั้นก็เป็นตระกูลที่ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยโบราณพวกเขามีรากฐานที่ลึกซึ้งและเข้าใจโลกเป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือด้วยพร้อม ๆ กัน และถ้าเขาพลาดท่าไปก็อาจมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก
ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะเลยขอบเขตของที่เขารับมือได้แล้ว เขาไม่กล้าที่จะละทิ้งความสำเร็จที่ผ่านมาทั้งหมดในการฟื้นฟูพลังเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา แม้จะต้องห่างเหินจากจุดหมายไปมากกว่าเดิม แต่นั้นก็ย่อมดีกว่าสูญเสียทุกอย่างไป
ดังนั้นหลังจากมานานในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ เขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: “เนื่องจากท่านราชินีที่ ต้องการปกป้องเขาดังนั้นข้าจะยอมเห็นแก่หน้าของท่านราชินี ในฐานะครอบครัวหมาป่าโลหิตถือซะว่านี้คือของขวัญที่ข้ามอบให้แก่ราชินีในโอกาสที่ท่านได้ครองบัลลังก์!”
หัวใจของเสียวไชรู้สึกโล่งอกทันที แต่ใบหน้าของเธอยังคงไมไ่หวติง: “งั้นก็ถือเป็นเกียรติของข้า”
ราชาหมาป่าโลหิตจ้องมองหลินเฟิงอย่างดุร้าย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่เต็มใจ เขาส่งเสียงไม่พอใจออกมาครั้งหนึ่งก่อนที่จะบินจากไปในทิศทางที่เขาจากมา
เมื่อเห็นชายชราผมแดงลับตาไปอย่างสมบูรณ์แล้ว บนท้องฟ้าเสี่ยวไชก็บินไปหาหลินเฟิงช้า ๆ
เธอหัวเราะราวกับว่าความเย็นชาราวกับน้ำแข็งก่อนหน้านี้ละลายหายไปหมดแล้วทิ้วไว้เพียงใบหน้าที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา
“รอดตัวไปสักทีนะ”
“ขอบใจมาก….”
หลินเฟิงกล่าวขอบคุณ จากนั้นเขาก็มองไปที่ใบหน้าของเสี่ยวไชด้วยความประหลาดใจพร้อมกับอุทานออกมา: “เธอดูดุดันมาก ไม่คิดเลยว่าเธอจะไล่เขาออกไปได้”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอต้อนคนที่ก้าวผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วได้”
เสี่ยวไชยิ้มและส่ายหัว: “ถ้าเขาไม่ได้สู้กับฉันบนทะเลแบบนี้ ฉันเองก็เอาชนะเขาไม่ได้หรอก ในฐานะที่เป็นราชินีแห่งท้องทะเล ฉันแข็งแกร่งกว่าทุกตนอยู่แล้วในผืนทะเลแห่งนี้”
หลินเฟิงพยักหน้า ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่แปลกใจ
เสีย่วไชพูดอีกครั้ง: “ตอนนี้นายต้องบอกฉันได้แล้ว ทำไมนายถึงไปยั่วยุราชาหมาป่าโลหิตแบบนั้นกัน”
ดังนั้นตอนนี้หลินเฟิงจึงอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เสีย่วไชฟัง
และด้วยคำบรรยายของเขา ท่าทีของเสี่ยวไชก็ค่อย ๆ ดูสง่างามและสงบนิ่งมากยิ่งขึ้น: “เป็นแบบนี้เองหรอ ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่าพันธมิตรแห่งความมืด จะมีแผนการแบบนี้อยู่ พวกมันพยายมสร้างความเกลียดชังในหมู่มนุษย์อย่างแน่นอน”
“หลินเฟิง ฉันเชื่อว่านายรู้เรื่องนี้ดีกว่าที่ฉันรู้ เสี่ยวหยางเป็นคนที่มีพลังมากและเขายังมีศักยภาพที่ดี แล้วไหนจะเรื่องพัฒนาการของเขาอีก ฉันมีลางสังหรณ์ว่าถ้าเราปล่อยเขาให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะกลายเป็นภัยอันตรายอย่างยิ่งกับโลกใบนี้อย่างแน่นอน
“นายต้องช่วยเขาให้หายเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งเขาอยู่กับพันธมิตรแห่งความมืดนานเท่าไหร่ พวกเราก็จะยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น!”
“ถ้ามีเรื่องอะไรนายสามารถมาหาฉันได้ทุกเมื่อ ฉันสามารถช่วยได้ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับพันธมิตรแห่งความมืดหรือเรื่องอะไรก็ตาม”
หลินเฟิงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ท้ายที่สุดสี่ตระกูลแห่งท้องทะเลก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และแยกตัวออกมาจากกลุ่มบนแผ่นดินอย่างสิ้นเชิง เขาเองก็แน่ใจว่ากลุ่มแห่งท้องทะเลนี้มีผู้ที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยกว่าที่อื่น ๆ อย่างแน่นอน
ในตอนนี้ภัยพิบัติกำลังใกล้เข้ามาถึงแล้ว มนุษยชาติเองก็กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในความมืด แน่นอนว่าจะดีที่สุดที่ทุกคนร่วมมือกันและสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้นไปอีก
หลินเฟิงแสดงความขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวเหยียด: “ตอนนี้แก่นแท้โลหิตก็ได้มาแล้ว ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้คือฉันจะฉีดมันเข้าไปในร่างของเสี่ยวหยางได้อย่างไร?”
“ตอนนี้เขาอยู่ในสหพันธ์แห่งความมืด ต่อให้ฉันอยากเรียกเขาออกมา ฉันก็กลัวว่าจะไม่มีช่องทางติดต่อเหลืออยู่เลยในตอนนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเราจะติดต่อกับเขาได้ เขาก็คงไม่ตอบรับคำขอของฉันอยู่ดี เราพึ่งมีเรื่องผิดใจกันไป แล้วไหนเขาจะถูกอีกฝ่ายชักใยอยู่อีก”
เสีย่วไชครุ่นคิดสักครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันว่าฉันมีวิธีแก้ปัญหานี้นะ”
การแสดงออกของหลินเฟิงแปลกไป เขาถามทันทีว่า: “เธอวิธียังงั้นเหรอ?”
“ดำลงไปที่ก้นทะเลกับฉันก่อน”
หลินเฟิงติดตามเสีย่วไชไปที่ก้นทะเลอย่างใกล้ชิด
สถานที่ที่เสี่ยวไชอาศัยอยู่คือวังแห่งราชินี ตามชื่อเลย ที่นี่คือประทับของราชินีแห่งท้องทะเลเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะบุคคล ซึ่งมีความวิจิตรงดงามและมีบรรยากาศที่งามตา
เสี่ยวไชนำหลินเฟิงไปที่สนามหลังบ้านท้องพระโรง และชี้ไปที่เปลือกหอยขนาดใหญ่ “นายอาจจะใช้ไอนั้นได้”
หลินเฟิงมองไปที่เปลือกสีขาวอย่างสงสัย เขาพบว่าไม่มีอะไรพิเศษนอกจากขนาดที่ใหญ่โตกว่าปกติของมัน
“มันคืออะไร?” เขาถาม.
เสี่ยวไชอธิบายว่า: “นี้คือของขวัญที่ราชินีองค์ก่อนมอบให้กับฉัน แม้ว่าจะเป็นของกำนัลธรรมดา ๆ แต่ก็มีกำแพงเวทมนต์ เกียวกับการส่งสัญญาณที่ซับซ้อนมาก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่ไหน นายก็สามารถบังคับให้เขาได้ยินเสียงของนายได้”
“ตราบใดที่นายใช้มันเพื่อติดต่อและชักนำเสี่ยวหยางได้ ก็เท่ากับว่าแผนของนายสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ?”
“แม้ว่าเสี่ยวหยางจะอยู่ภายใต้การควบคุมของปีศาจ แต่นี้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว แม้ว่าเขาจะมีปัญหาอะไรกับนายมาก่อน ตราบใดที่นายสามารถพูดคุยกับเขาได้ ฉันคิดว่าโอกาสก็ยังอยู่ข้างเรามากทีเดียว”
หัวใจของหลินเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความทึ่ง เขาไม่คาดคิดว่าเปลือกหอยเล็ก ๆ อันนี้ จะเป็นสมบัติได้
เขาแทบรอไม่ไหวที่จะพูดว่า: “ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว ฉันก็รอไม่ไหวแล้ว ฉันจะใช้มันเรียกเสี่ยวหยางดู!”
เสี่ยวไชส่ายหัวเบา ๆ : “แย่หละ ความสามารถของนายต้องไปสู่ระดับนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ซะก่อน ไม่งั้นเสียงของนายจะไม่ผ่านเข้าไปในเปลือกหอยอย่างแน่นอน”
ความกระตือรือร้นของหลินเฟิงลดลงทันที: “ระ…เหรอ?”
“แม้ว่าตอนนี้ฉันจะมีพลังไม่มาก แต่ฉันพอลดขีดจำกัดของมันได้นะ”
“ฉันว่าจะต้องใช้เวลาประมาณสามหรือสี่วันได้มั้ง ถึงจะไปถึงจุดนั้นได้”
“จริงหรอ?” ความกระตือรือร้นของหลินเฟิงฟื้นขึ้นมาแล้ว “ขอบคุณมาก! ถ้าอย่างนั้น ฉันต้องขอรบกวนด้วย”
หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยกันต่อสักพัก ก่อนที่หลินเฟิงจะขอตัวกลับไป เขาตรงดิ่งกลับบ้านของตนทันที
เขายังคงมีความแค้นที่ค้างคาอยู่ในใจ
ถ้านี่ไม่ใช่เลือดของราชาหมาป่าหละ? ถ้าอีกฝ่ายกล้าทำแบบนี้กับเขา สักวันหนึ่งเขาจะกลับมาอย่างแน่นอน