RC:บทที่ 660 การประชุมของกลุ่มหลิน
เช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่กำลังผ่านขอบฟ้าไป แขกคนสำคัญทั้งสามคนมาที่หลินกรุ๊ป
หลังจากได้รับแจ้งจากหวังหาน หลินเฟิงก็เดินไปที่ประตูทางเขาทันทีเพื่อทักทายพวกเขา
เพื่อให้ดูดีและเหมาะสม เขายังเปลี่ยนชุดของวันนี้ให้เป็นสูทแบบพิเศษ ผู้คนที่มองเห็นจะมองไปที่โลโก้ดูมีพลังข้างหลังของเขา
และในด้านหลังของเขาก็มีผู้ติดตาม นั้นคือผู้นำแห่งนิกายจือหยวนและปรมาจารย์ปิงหยวนจง
แน่นอนว่าทั้งสามคนที่สามารถสามารถดึงดูดความสนใจได้มาก อีกฝ่ายที่เขาจะไปเจอนั้นก็คือผู้เฒ่าทั้งสามของกลุ่มศาลศักดิ์สิทธิ์
“ไม่มีใครอื่น หลินเฟิงนั่นเอง” ที่หัวหน้ากลุ่มคือผู้เฒ่าไป๋หัวเราะและกอดหลินเฟิงหนึ่งที
และหลินเฟิงก็รีบตอบกลับไปว่า: “ไม่กล้ารบกวนท่านผู้เฒ่าหรอกครับ ท่านยังคงจำชื่อของผมได้ ผมก็เป็นเกียรติมากแล้ว”
เฒ่าเคราขาว ลูบเคราของตนและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่ ไม่ ไม่ ตอนนี้เทียนกงเองก็ดีมาก เติบโตขึ้นไปเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว”
“ในฐานะผู้นำของเทียนกง พวกเราขอทำความเคารพท่าน เดี๋ยวคนอื่นกล่าวได้ว่าพวกเราไม่นับถือกลุ่มศาลศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเคารพกลุ่มอำนาจเก่าแก่อยู่แล้วครับ”
หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ท่านผู้เฒ่าไป๋ คำพูดของพวกท่านมีน้ำหนักมากและผมเองก็ของมีส่วนช่วยเล็กๆ น้อย ๆ ในการเตรียมรับมือกับหายนะอันยิ่งใหญ่ เมื่อเทียบกับพลังอันยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสทั้งสามแล้ว หวังว่าพลังของพวกเราเองจะมีส่วนช่วยพวกท่านได้บ้างไม่มากก็น้อย”
“พวกเราไม่ได้เจอกันมาประมาณสองสามวันแล้วมั้ง แต่เหมือนนายพูดได้ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ นะ ตอนนี้นายดูเหมือนนายใหญ่ในวังจริง ๆ แล้วรู้ตัวไหม”
“เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ พูดตรง ๆ นะ นายอยากให้เราทำอะไรอย่างงั้นรึ”
“เรื่องแบบนี้เราจะมาพูดข้างนอกแบบนี่ได้ยังไง” หลินเฟิงออกนอกเส้นทางไป และทำท่าทางชี้นิ้วเข้าไปในตัวอาคาร “ได้โปรดเข้าไปคุยรายละเอียดกันข้างในเถอะครับ”
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็เดินเข้าไปในอาคารประชุม พร้อมกับนั่งอยู่ในห้องประชุม และจิบชาชั้นดีจากไอหมอกไปด้วย
ผู้เฒ่ามู่ถามอีกครั้งหนึ่ง “มีอะไรสำคัญขนาดนั้นรึ เจ้าสำนักหลินใช้เวลามากขนาดนี้ในการเดินทางมาหาพวกเรา ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังได้ไหม”
หลินเฟิงพยักหน้า: “มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และมันเกี่ยวข้องกับพันธมิตรแห่งความมืดโดยตรงเลยหละครับ”
ทันทีที่พูดเช่นนี้แล้ว การแสดงออกของผู้นำและกลุ่มนักบุญทั้งสามก็จริงจังมากขึ้นทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาของปรมาจารย์ทั้งสองที่เดินตามมานั้น จู่ ๆ ก็กลายเป็นความขมขื่นที่แทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“พันธมิตรแห่งความมืดหรอ เกิดอะไรขึ้น”
หลินเฟิงกล่าวว่า “ผมรู้จุดประสงค์ของพวกเขาแล้ว การสังหารหมู่ที่เกิดขึ่นโดยฝีมือของพันธมิตรทั่วทุกหนทุกแห่ง”
ทันใดนั้นสายตาของปรมาจารย์ทั้งสองก็ดูสง่างามมากขึ้น: “จุดประสงค์อย่างงั้นรึมันคืออะไร?”
ท้ายที่สุดแล้วกลุ่มของพวกเขาก็ถูกทำลายไปกว่าครึ่งด้วยมือของกลุ่มสหพันแห่งความมืดที่ร่วมพลังกันจนกลายเป็นกลุ่มพัทมิตรแห่งความลับ พวกเขาจึงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ
หลินเฟิงจิบชาไป หลังจากหยุดไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาก็ปกคลุมไปด้วยความหายมากมาย แม้ว่าแต่ละคำที่พูดออกมาจะเป็นเสียงที่ต่ำมาก แต่ก็มีผลกระทบอย่างรุนแรง: “กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด ตั้งใจจะช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ”
ปัง
เสียงของหลินเฟิงเพิ่งลดลง ผู้นำทั้งสองที่ตามหลินเฟิงมาก็ทุบโต๊ะและลุกขึ้นยืนทันที
ในเวลาเดียวกันถ้วยน้ำชาของพวกเขาก็แตกออกพร้อมกันและน้ำชาก็ล้นออกมาบนโต๊ะ
ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ สิ่งที่หลินเฟิงพูดนั้นน่าตกใจจริงๆ
ร่างกายของปรมาจารย์ปิงหยวนจงสั่นสะท้านเล็กน้อย ร่างกายของเขาก็ถูกล้อมรอบด้วยอากาศที่เย็น
ทันทีที่อารมณ์ขึ้นอุณหภูมิในห้องโถงทั้งหมดลดลงหลายองศา
มือของนักบุณทั้งสามปล่อยไอทำลายความหนาวเย็นเหล่านั้นออกไป : “ทั้งสองคนใจเย็น ๆ หน่อยสิ เราต้องเสียชาดี ๆ ไปตั้งสองถ้วยเลยนะ”
เจ้านิกายทั้งสองรู้ตัวว่าพวกเขาทำตัวเสียมารยาทไปแล้ว จึงรีบกล่าวขอโทษจากนั้นก็ค่อย ๆ นั่งลง
ผู้เฒ่ามู่มองไปที่หลินเฟิงและกล่าวว่า “ท่านหลิน ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าบอกเจ้าได้เลยนะว่านั้นมันฟังดูไร้สาระสิ้นดี”
หลินเฟิงกล่าวเสริมว่า: “ถ้าไม่มีแหล่งข้อมูล ผมคงกล้ายืนยันแบบนั้นหรอก แม้ว่าผมจะไม่ชอบพันธมิตรแห่งความลับพวกนั้น ผมก็จะไม่หยิบเหตุผลไร้สาระออกมาอย่างแน่นอน”
“ เรื่องมันเป็นเช่นนี้ครับ… ” หลินเฟิงกล่าวอีกครั้ง
และในระหว่างการบรรยายของหลินเฟิง การแสดงออกของปรมาจารย์และเหล่านักบุญ ก็มีความประหลาดใจในครั้งแรกจากนั้นพวกเขาก็จริงจังมากเรื่อย ๆ
ผู้นำของปิงหยวนจงไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้โกรธจนพลังมือไปแบบครั้งแรก แต่เขาก็พูดอย่างขมขื่น: “มีเรื่องแบบนี้จริง ๆ รึ! คนพวกนั้นไม่ได้ต่างกับสัตว์เดรัจฉานเลย! ในท้ายที่สุดแล้วความเป็นธรรมจะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน”
นักบุญทั้งสามรวมรวมสมาธิ ปกติพวกเขาจะดูเหมือนคนชราทั่วไป แต่คราวนี้คิ้วของพวกเขาดูนุ่มลึกมากจนยากที่จะหยั่งถึง
ครู่ต่อมาชายชรากล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ไปแล้วสินะ … “
“เพราะเรื่องนี้สำคัญเกินไปมาก ผมจึงรวบรวมทุกคนมาที่นี่เพื่อถามความคิดเห็นของทุกคน” หลินเฟิงถาม
“พวกเราควรทำอย่างไรเกี่ยวกับพันธมิตรแห่งลับนี้ดีหละครับ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันและสบตากัน จากนั้นชายชราเคราขาวก็ถอนหายใจ: “ทำเป็นไม่รู้ก่อนดีกว่าตอนนี้”
หลินเฟิงไม่ได้เปิดปากเพื่อถาม แต่เจ้าของนิกายทั้งสองคนก่อนไม่สามารถเก็บคำถามไว้ในใจได้:
“ทำไมหรือท่านนักบุญ”
“พันธมิตรลับทำลายตระกูลของพวกเราและตอนนี้เขายังช่วยเหลือปีศาจจากต่างแดนอีก พวกเราควรเร่งมือจัดการพวกเขาก่อนดีกว่าไหมก่อนที่ปัญหาจะบานปลายไปมากกว่านี้!”
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยความจริงจัง: “ฉันยังคงต้องบอกให้ทั้งสองคนแรกใจเย็น ๆ ลงก่อน อย่าให้ใจสับสนด้วยความโกรธ”
“มันยากที่จะบอกได้ว่าข่าวนั้นเป็นจริงแท้มากมายขนาดไหน ถ้าเราไม่มีหลักฐาน พวกเราจะโจมตีพวกเขามั่ว ๆ ได้อย่างไร”
“ ยิ่งไปกว่านั้นพลังของพันธมิตรแห่งความลับก็ยังห่างไกลจากกลุ่มปกติมาก ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีมากกว่าที่พวกเราเห็นอย่างผิวเผินแน่นอน ถ้าเราเริ่มทำสงครามกับสิ่งนี้จะมีหลายชีวิตและหลายสิ่งต้องมาเกี่ยวพันแน่นอน ซึ่งนั้นมันมากเกินไป ทางพวกเราเองกลัวว่าก่อนเกิดภัยพิบัติจะมาถึง พวกเราจะไม่พร้อมรับมือกับมัน”
“ดังนั้นเราควรเก็บไว้เป็นความลับก่อนดีกว่าในตอนนี้ พวกเราควรเฝ้ามองระยะยาวดีกว่าและเพิ่มพูนกำลังกลับมาโดยเฉพาะพวกท่านทั้งสองไม่ใช่หรือ?”
เมื่อฟังคำอธิบายของผู้อาวุโสทั้งสามแล้ว ผู้นำทั้งสองก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพวกเขาก็เงียบไป
หลินเฟิงพยักหน้า: “ผมเห็นด้วยกับมุมมองของท่านทั้งสาม ตอนนี้มันเร็วเกินไปที่จะดำเนินการ ในตอนนี้ดีที่สุดแล้วที่จะทำแบบนี้ คอยสังเกตุการณ์ดูสักพัก เพื่อไม่ให้หลงกลพวกเขาและสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น”
เขาหยุดและเปลี่ยนหัวข้อ: “แต่ผมมีคำถามในใจมาตลอด ผมสงสัยว่าพวกท่านจะตอบให้ผมได้ไหม”
โดยไม่รอให้ผู้อาวุโสทั้งสามพูดเขาก็พูดกับตัวเองว่า “ผมคิดว่ามันแปลกมาก แม้ว่าพวกเขาจะช่วยปีศาจจากนอกโลกเอาไว้ แต่ทำไมพันธมิตรแห่งความลับถึงเลือกที่จะต่อสู้กับกองกำลังต่าง ๆ แบบนั้นด้วย?”
“ ปีศาจนอกโลกนั้น ไม่ใช่การดำรงอยู่อย่างเรียบง่าย ต้องมีพลังจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญและเทียบเคียงได้กับอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งเลย แม้แต่นิกายฮัวหยุนจงและกลุ่มของทั้งสอง ถูกปราบไปนั้นเท่ากับว่าความแข็งแกร่งของปีศาจนอกโลกจะสูงกว่านั้นแล้ว”
“ทำไมพวกเขาไม่นอนลงจิบน้ำชาและรอจนกว่าหายนะจะเกิดขึ้นหละ”
หลินเฟิงถามคำถามนี้ออกมาและปล่อยให้ห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ
จากนั้นผู้เฒ่าไป๋ก็พูดเบา ๆ ว่า “ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่านายจะรู้อะไรเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากขนาดนี้ด้วย มันวิเศษมาก”
หลินเฟิงกล่าวว่า “นี้เป็นเพียงสิ่งที่ผมรู้ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ผู้อาวุโสทั้งสามช่วยตอบคำถามของผมได้ไหมครับ”
ชายชราทั้งสามเงียบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นมองไปที่เจ้าของนิกายทั้งสอง: “พวกท่านทั้งสองลองชี้แจงให้เขากระจ่างทีสิ”
ปรมาจารย์ทั้งสองมองหน้ากันและพยักหน้า:“ เนื่องจากหัวหน้าวังหลินรู้เรื่องเหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วงั้นตอนนี้ก็พอที่จะพูดมันออกไป ท่านเป็นคนพูดน่าจะได้กว่านะ”
“ตกลง.” หลังจากได้รับอนุญาตแล้วผู้เฒ่าไป๋ก็มองเข้าไปในดวงตาของหลินเฟิง
“ ปรมาจารย์หลิน นายอาจจะคิดว่ากู้พลังทั้งหมดได้แล้วใช่ไหม?”
“ แต่เนื่องจากนายรู้สิ่งที่อยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว นายก็ควรเข้าใจว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเทียบอะไรไม่ได้เลยท่ามกลางภัยพิบัติในสมัยโบราณ ผู้ครอบครองพลังแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์สามารถตายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว”
“ถ้าปรมาจารย์ทั้งสองนิกายนี้เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งสูงสุดในตอนนั้น ฉันต้องขอพูดเลยตามตรงและด้วยความเคารพ ถ้าในตอนนั้นพวกเขามีพลังแค่นี้จริง ๆ พวกเขาไม่สามารถดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบันได้อย่างแน่นอน”
หลินเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจ: “นั้นหมายถึง … “
“ใช่แล้ว” ชายเคราขาวเน้นน้ำเสียงของเขา ดวงตาของเขาดูเหมือนจะยิงลำแสงออกมา ” ในปัจจุบันกองกำลังแห่งการฟื้นฟูเป็นเพียงการฟื้นฟูความแข็งแกร่งเพียงผิวเผินของพวกเขาเท่านั้น ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขายังไม่ถึงเวลาที่จะฟื้นกลับมาด้วยซ้ำ! “