บทที่ 702 ยากที่จะเอาชนะ
“พี่หลินเฟิง!” เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของหลานหลิงก็ซีดเผือด แม้กระทั่งเสียงของเธอก็เปลี่ยนไป
หมูป่าไม่หยุด มันรีบพุ่งไปยังหลินเฟิงและกระโจนเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง
หลินเฟิงจัดการความเสถียรของร่างกาย ก่อนที่เขาจะทันได้หายใจ หมูป่าก็พุ่งมาแล้ว
มันร้องฮมฮัมเสียงต่ําอย่างดุร้าย เขี้ยวแหลมคม น้ําลายไหลเยิ้ม หน้าหมูอันน่าเกลียดดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
หลินเฟิงถอยออกไปก้าวใหญ่อย่างรวดเร็ว หมูป่าจึงพุ่งเข้าใส่ความว่างเปล่า แต่แล้วมันก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง
หากใช้ก้าวเงาลม ความกดดันในการหลบหลีกจะลดน้อยลงมาก แต่หลินเฟิงกลับไม่ได้เลือกที่จะทําเช่นนั้น
ไม่ควรใช้ก้าวเงาลมเพื่อหนีจากสัตว์อสูร เพราะในแต่ละครั้งที่หลบหลีก ความแข็งแกร่งจะลดลงเป็นอย่างมาก หลินเฟิงไม่ต้องการที่จะเสี่ยงเช่นนี้
ดังนั้นในการเผชิญหน้ากับการโจมตีของหมูป่า หลินเฟิงจึงสามารถเลือกได้เพียงหนึ่งเดียวเพื่อหลบหลีก
เขาเดินพลังวิญญาณเพื่อเพิ่มความสามารถของร่างกายให้กระโดดไปรอบ ๆ ในป่า หมูป่าจึงไม่สามารถแตะต้องเขาได้
ดูเหมือนว่าเขาแค่หลอกล่อหมูป่า ที่จริงแล้วเขาใช้ความพยายามอย่างมากทุกครั้งในการหลบหลีกหมูป่า และเขาก็ไม่สามารถกําหนดทิศทางการหลบหนีได้ด้วยตัวเอง หลังจากหลบหนีไปหลายครั้ง เขาจึงอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นสามถึงสี่กิโลเมตร
หลีกเลี่ยงการโจมตีของหมูป่านั้นทําได้ไม่มากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น การหลบหนีในครั้งนี้ทําให้หลินเฟิงรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเล็กน้อย
หมูป่าไม่เหนื่อยเลยสักนิด แต่กลับดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
“บ้าชะมัด!” เมื่อหนีมาถึงพื้นที่เปิดโล่งอีกแห่ง หลินเฟิงตะโกนร้องขึ้นมาในใจและจากนั้นก็หยุดลง
เขาจะวิ่งหนีไปแบบนี้ตลอดไม่ได้ แทนที่จะหลีกหนีอยู่แบบนี้ เขาควรตัดสินใจและมองหาโอกาสที่ดี
ด้วยเหตุนี้ หลินเฟิงจึงงอศอกและรวบรวมพลังอันน่ากลัวเอาไว้ในหมัดของเขาจากนั้น ในจังหวะที่หมูป่าโจมตี เขาจึงชกใส่หน้าผากของหมูป่า!
ทันใดนั้นก็มีเสียงเจ็บซื้อ ๆ ดังขึ้นมา
สีหน้าของหลินเพิ่งเปลี่ยนไปทันที จากนั้นคนทั้งคนก็บินถอยหลังออกไป แม้จะถอยห่างไปกว่าสิบก้าวแต่สุดท้ายก็ชนเข้ากับต้นไม้จนแทบจะหยุดไม่อยู่
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง แขนของเขาชาจนเกือบจะไร้ความรู้สึก
ด้วยพลังหมัดของเขา หากได้เผชิญหน้ากับผู้มีพลังคนหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าสวรรค์ ก็เกรงว่าคน ๆ นั้นจะรับมือได้ไม่ง่ายนัก
แต่การชกใส่หมูป่านั้นไม่ได้ทําให้มันสะเทือนเลย การสะเทือนทั้งหมดกลับถูกเทลงที่แขนของหลินเฟิง
อาการชาตามมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
หลินเพิ่งรู้สึกเหมือนว่ากระดูกจะหักและไม่สามารถขยับได้เป็นเวลานาน
หมูป่าคํารามและพุ่งเข้าหาหลินเฟิงอีกครั้งด้วยบทเรียนนี้ หลินเฟิงจึงไม่กล้าท้าทายมันอีก ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกที่จะหลบหนีต่อไป
หมูป่ากระแทกใส่ต้นไม้เสียงดังปังและใบไม้มากมายจึงร่วงหล่นลงมาตาม ๆ กันมันไม่ได้รับผลกระทบด้านลบใด ๆ เลย จากนั้นก็โจมตีอีกครั้งและหลินเฟิงก็ซ่อนตัวอีกครั้ง
ถึงแม้หมูป่าจะทุ่มบ่าม แต่ก็มักจะแฝงแรงโจมตีอยู่เสมอซึ่งเป็นธรรมชาติของมันที่ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้
ทันใดนั้น เขี้ยวของมันก็ใหญ่ขึ้นจนดูคล้ายงาช้าง ทั้งสองข้างลําตัวของมันปรากฏใบมีดกระดูกทะลุออกมาราวกับปีกที่แหลมคมจนทําให้เลือดถูกสาดไปทั่วสถานที่
หลินเฟิงตกใจกับฉากนี้ และในช่วงเวลาที่เขาอึ้งอยู่หมูป่าก็เริ่มโจมตีเข้ามาแล้ว
หลินเฟิงมองตาเขม็ง แทบไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เข้ามาได้
ความเร็วของหมูป่าเพิ่มขึ้นมากเกินไป แม้ว่าใบมีดกระดูกจะไม่ได้ถูกตัว แต่ลมเย็นที่แหลมคมก็ยังทําให้เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดได้
หมูป่าผ่านทางด้านข้างต้นไม้ที่ใหญ่เท่าสามคนโอบ ใบมีดกระดูกไม่ได้ตัดเข้าไปในลําต้นมากนักราวกับว่ามันทะลุผ่านไป
สองวินาทีต่อมา ลําต้นก็เลื่อนหลุดและตกลงไปบนพื้นในที่สุด รอยตัดนั้นเรียบกริบ
เมื่อเห็นฉากนี้ หัวใจของหลินเฟิงก็รู้สึกเย็นยะเยือกราวกับมีดเล่มนั้นได้ตัดเข้าที่หัวใจของเขาเอง
พลังของใบมีดกระดูกนี้คมกริบเป็นอย่างมากจะต้องไม่โดนมันโจมตีเด็ดขาด
ไม่เช่นนั้น เกรงว่าเขาคงจะถูกแบ่งเป็นสองส่วน
ใบมีดแหวกอากาศและส่งเสียงหวีดหวิว ปรากฏแสงเรียบกริบที่ขอบทั้งสองข้าง
ทันทีที่หลินเฟิงยื่นมือออกไปหอกทองคําก็ปรากฏขึ้นมาทันที
เขากั้นใบมีดกระดูกด้วยตัวหอก เกิดประกายไฟแปลบปลาบออกมา และส่งเสียงเคร้งดังกังวาลอย่างชัดเจนขึ้นทันทีในพื้นที่เปิดโล่ง
ในเวลาเดียวกัน หลินเฟิงไม่สามารถต้านทานต่อความแข็งแกร่งของหมูป่าได้
มันเป็นเพียงการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว ปากเสือของหลินเพิ่งสั่นจนเลือดไหลเล็กน้อย
จากนั้น เขาก็สงบลงและพลังวิญญาณของเขากําลังวิ่งผ่านไปทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อขยายตัวขึ้นเล็กน้อยและกลายเป็นหิน
เขากําหอกแน่นและต่อสู้กับหมูป่าหลายรอบ เสียงของการต่อสู้ระหว่างทองคําและเหล็กดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ต้นไม้ใหญ่ถูกหมูป่าโค่นลงทีละต้น และพื้นที่เปิดโล่งเล็ก ๆ ก็ถูกขยายออกไปมาก
สถานการณ์ของหลินเฟิงไม่ได้ดีนักจนสามารถเรียกได้ว่าแย่มาก ๆ
พลังวิญญาณและความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาถูกใช้ไปเป็นจํานวนมาก แต่หมูป่ายังคงรักษาพลังงานเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะถูกหมูป่าทําร้ายได้
“คลื่นแสงไหลของโลก!”
หลังจากหลบการปะทะของหมูป่าแล้ว เขาก็ปล่อยคลื่นแสงสีเหลืองนวลออกมา
คลื่นแสงนี้ได้เปรียบคลื่นแสงมืดในด้านความหนาแน่น แต่แค่หมูป่าคํารามมันก็แตกกระจาย!
“บ้าเอ๊ย!” เมื่อเห็นอย่างนี้หลินเฟิงจึงตระหนักได้ว่า แม้ว่าเขาจะใช้ทักษะวิญญาณในระดับที่สูงขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเอาชีวิตหมูป่าตัวนี้ได้
ถ้าเป็นอย่างนั้น
หลินเฟิงพรั่งพรูลมปราณสีขาวกลุ่มหนึ่งออกมา ดวงตาทั้งสองดําดิ่งลงอย่างช้า ๆ
ความผันผวนทั่วทั้งร่างของเขารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พลังวิญญาณระดับหนึ่งถูกรวบรวมไว้ในร่างกายของเขา
ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นและตะโกนออกมาว่า “ออกมาฝ่ามือหิน!”
แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อยและในไม่ช้าพื้นดินก็แตกและมีหินรูปมือก้อนใหญ่ทะลุออกมา
“คราวนี้มาดูกันว่าแกจะทําอย่างไร!” หลังจากที่มีความคิดหนึ่งแล่นผ่าน หลินเฟิงคํารามออกมาและซื้ออกไปด้านหน้า ฝ่ามือหินเกิดจากการรวมตัวกันของก้อนหินจึงทําให้เกิดเสียงกลิ้งที่หนาทึบ
จากนั้นเขาจึงออกตัวด้วยความกดอากาศที่รุนแรงและทรงพลัง และตบใส่หมูป่าอย่างช้าๆ
กระแสลมหมุนทําให้ต้นไม้บริเวณโดยรอบเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เงาของฝ่ามือหินปกคลุมไปทั่ว ในช่วงเวลานั้นราวกับโลกทั้งใบถูกทุบให้แหลกสลาย!
แต่หมูป่ากลับไม่หลบเลี่ยงเลย ในดวงตาสีแดงแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของมัน
มันส่งเสียงคํารามอึกทึก จากนั้นก็บินตรงไปที่ฝ่ามือหิน!
ตู้ม!
หมูป่าพุ่งเข้าชนฝ่ามือยักษ์
ฝ่ามือหินยักษ์สั่นสะท้านอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้นมันก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ ! ความเหลือเชื่อปรากฏขึ้นในดวงตาที่ตื่นตระหนกของหลินเฟิง