ไอ้นี่เป็นใครวะ 1.1
???
พีรพลถูกปลุกด้วยความร้าวระบมที่แผ่นหลังในช่วงสายของวันต่อมา แสงจากดวงตะวันที่ทะลุลอดผนังผุพังเข้ามาสว่างจ้าจนต้องหยีตาอยู่สักพัก สมองที่เคยหนักอึ้งเริ่มปลอดโปร่งขึ้นมาเล็กน้อยจากการได้พักผ่อนยาวนานหลายชั่วโมง ระหว่างที่รอดวงตาปรับให้เข้ากับสภาพของแสงจากภายนอกพีรพลก็พยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมแค่โดนปาลูกมะพร้าวใส่ทำไมถึงได้ร้าวระบมและเต็มไปด้วยบาดแผลทั่วทั้งตัวขนาดนี้
แต่หลังจากที่พยายามคิดจนหัวแทบระเบิดก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยนอกจากภาพจำสุดท้ายก่อนหัวทิ่มปักท้องร่อง
พีรพลลองขยับตัวเบา ๆ เพราะกลัวว่าแผลที่หลังจะปริแตกขึ้นมาอีก จากนั้นแขนน้อยค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นช้า ๆ พอลุกขึ้นนั่งได้เขาก็เริ่มสำรวจรอบตัว
“เห้ย…ที่ไหนวะเนี่ย”
สถานที่ที่อยู่ตอนนี้มันแย่กว่ากระท่อมท้ายสวนของเขาอีก เพราะมันดูคล้ายเพิงพักริมทางที่รอบด้านถูกประกอบขึ้นมาจากก้านมะพร้าวแห้ง ดีหน่อยที่หลังคาทำจากใบสักขนาดใหญ่ที่คาดคะเนด้วยสายตาแล้วพอคุ้มแดดคุ้มฝนได้อยู่ ตรงที่เขานอนตอนนี้ก็เป็นเพียงแคร่ไม้ไผ่ผุพัง และหมอนที่ทำจากต้นมะพร้าวแห้ง ผ้าห่มก็เก่าคร่ำคร่าส่งกลิ่นเหม็นสาบ
“ผ้าขี้ริ้วชัด ๆ”
เขาคีบผ้าห่มขึ้นมาระดับสายตา ก่อนที่จะชะงักค้าง ตาเบิกโพลง
“อ๊ากกกกกกก”
เสียงกรีดร้องลั่นเพิงผุพัง จะไม่ให้ร้องได้ยังไง ก็ไอ้มือที่คีบผ้าห่มขึ้นมามันทั้งเล็ก ทั้งขาว แถมเรียวยาวคล้ายมือผู้หญิงอีก และด้วยความตกใจ มือขาวข้างนั้นก็รีบสลัดผ้าห่มทิ้งทันที
“โอ๊ยยยยย”
แต่ก็นั่นแหละ พอออกแรงเหวี่ยงผ้าห่มออกไป ก็กลายเป็นตัวเองที่ต้องกรีดร้องขึ้นมาอีกเพราะมันส่งผลไปถึงแผลที่บริเวณแผ่นหลัง พีรพลอ้าปากโกยอากาศเข้าปอดเพื่อระงับความเจ็บ ตอนนี้เขาตื่นเต็มตาแล้ว ไม่ตื่นยังไงไหว เพราะอะไร ๆ ก็ดูผิดที่ผิดทางไปเสียหมด
หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่สักพักความเจ็บปวดก็เหมือนจะทุเลาลง ตอนนั้นเองประตูผุพังก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงชรานางหนึ่ง ในมือมีห่อใบตองร้อยเป็นพวงและกระบอกไม้ไผ่สามสี่อันห้อยก๊องแก๊งติดมาด้วย
“โอ้ว…คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง ในที่สุดเอ็งก็รอดตายนะไอ้ปิ่น ข้าก็นึกว่าจะได้เผาเอ็งพร้อมกระท่อมนี้เสียแล้ว” เสียงแหบแห้งตามวัยเอ่ยพร้อมกับปรี่เข้ามานั่ง “เอ็งไม่ได้สติอยู่เกือบเดือนรู้หรือไม่ หยูกยาข้าก็หามารักษาให้เอ็งได้ตามมีตามเกิดเท่านั้น แต่เอ็งมันคนดวงแข็ง ดีแล้ว ดีแล้ว ต่อไปก็อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับนางพวกนั้นอีกเลยนะเอ็ง”
พีรพลนั่งหน้าเหวอ อ้าปากหวอ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ยายแก่ข้างกายพูดเลยสักคำเดียว เขาเนี่ยนะ นอนไม่ได้สติเป็นเดือน ๆ คือแค่กูตกท้องร่องตื้น ๆ เนี่ยนะ เอ๊ะหรือว่าหัวไปกระแทกกับตอไม้ใต้น้ำเข้าจริง ๆ แต่คงไม่มั้ง ไม่ดวงซวยขนาดนั้นหรอกน่า ว่าแต่เอ๊ะ เหมือนยายแก่คนนี้จะเรียกเขาว่า ปิ่น ปิ่น อะไรสักอย่าง ปิ่น ไหนอีกวะเนี่ย “อ่ะ เอ่อ ยาย อุ้บ” เขาหุบปากฉับแถมยกมือขึ้นมาปิดด้วยเมื่อได้ยินเสียงหวานแต่แหบแห้งที่ตัวเองเปล่งออกมา เมื่อกี้ตอนที่ตกใจก็ไม่ทันได้สังเกตว่ามันไม่ใช่เสียงเดิมของตน
“เอ็งมีอันใด”
ยายแก่ไม่ได้สนใจอาการแปลก ๆ ของเขาสักนิด เพราะแกเอาแต่ก้มหน้าก้มตาบดบางอย่างในกะลามะพร้าวจนกลิ่นเขียวฉุน ๆ ของมันลอยเอื่อยแข่งกับกลิ่นฝุ่นกลิ่นสาบในกระท่อมหลังนี้
พีรพลลดมือลง สายตาล่อกแล่ก ยายแก่คนนี้แต่งตัวแปลก ๆ นุ่งโจงสีตุ่น ๆ และคาดผ้าไว้ที่อกกันอุจาดเพียงผืนเดียว คำพูดคำจาก็โบร๊าณ โบราณ ข้า ข้า เอ็ง เอ็ง ที่บดยาก็เป็นกะลามะพร้าว ใบตอง กระบอกไม้ไผ่….
ใช่เลย!
“นางสิบสอง!”
“อันใดของเอ็ง นางสิบสองอันใด”
ยายแก่เงยหน้าตวัดสายตามองเขาอย่างปลง ๆ จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วก้มไปบดของในกะลาต่อ ปากก็ขมุบขมิบอะไรสักอย่างฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ที่เข้าใจดีในตอนนี้เลยก็คือไม่ใช่นางสิบสองอย่างที่คิดได้ตอนแรก งั้นก็…
“ขวานฟ้าหน้าดำ!”
คราวนี้ยายแก่หยุดมือแล้วหายใจทิ้งอย่างแรงจนเขาได้ยินชัดแจ๋วเต็มสองหู
“ไข้คงกินสติเอ็งเข้าไปด้วย ถึงได้เพ้อออกมาเช่นนี้ เห้อ ข้าล่ะสงสารเอ็งนักไอ้ปิ่น อุตส่าห์มีวาสนาได้เป็นถึงเมียบ่าวท่านเจ้าคุณแท้ ๆ แต่เวรกรรมของเอ็งคงจักหนาเกินไปจึงได้ลงโทษเอ็งทั้งที่เพิ่งสุขสบายได้ไม่กี่เพลา”
‘อิหยังวะ’ นี่คือสิ่งที่พีรพลคิดได้หลังจากที่ยายแก่พูดจบ คำใหม่ ๆ ที่เพิ่งถูกป้อนเข้าหัวเริ่มวนเวียนหาทางไปต่อ
ไอ้ปิ่น?
เมียบ่าว?
ท่านเจ้าคุณ?
ถึงกับยิ้มแห้งแล้งออกมาทันทีทันใด มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้วนี่หว่า เพราะสิ่งที่ยายแก่พูดมาเหมือนจะเป็นเรื่องจริง
จะไม่จริงได้ไง ขนาดเจ็บ ยังเจ็บจริงเลยเนี่ย!
แม่งงงงงงงงงงงงง
สรุปคือกูตายแล้ว?
เอ๊ะ หรือว่ายังไม่ตาย?
พีรพลถามตัวเองในใจหลายร้อยรอบ ก็ถ้าเขาตายจริงก็ไม่น่าจะจำเรื่องชาติเก่าที่ถูกไอ้จ๋อเอามะพร้าวปาหัวได้หรอกมั้ง และที่ประหลาดคือเขาก็ไม่รู้อะไรสักอย่างในชาตินี้ด้วย
โหววว ทะลุมิติ ว่าซั่นนนนน
เออ ทะลุมิติไม่ว่า ถือว่าแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
แต่อยากถามสักคำ ส่งกูมาอยู่ในร่างใครวะครับ
แล้วเจ้าของร่างนี่คือขิตไปแล้วใช่ไหม ไม่ใช่อยู่ ๆ ไปมาทวงคืน กระผมไม่คืนนะบอกก่อน
ให้แล้วให้เลย อิ๊บ
“ถ้าเอ็งกลายเป็นคนสติไม่ดี ก็ลำบากหน่อยนะไอ้ปิ่น ข้าก็มาหาเอ็งไม่ได้ทุกวัน เอ็งต้องอยู่คนเดียวให้ได้นะ ถึงกระท่อมนี้จะเล็กแคบ แต่มันก็ยังอยู่ในผืนดินของท่านเจ้าคุณ แต่เอ็งไม่ต้องกลัวนะ ท่านไม่เคยลงมาดูแถวนี้ อย่างน้อยก็พอให้เอ็งได้ใช้ชีวิตบั้นปลาย ห่างไกลหวายของท่าน”
ขณะที่พูดตัวของยายก็ขยับมานั่งที่ด้านหลังของเขาแล้วบรรจงควักของในกะลาป้ายลงบนรอยแผลต่าง ๆ อย่างแผ่วเบาพร้อมกับเป่าไปด้วย พอเห็นเขาสะดุ้งเฮือก ตัวสั่น ก็เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอารี
“ทนนิดนะเอ็ง เดี๋ยวก็หาย”
พีรพลกัดฟันแน่นเถียงยายในใจว่า ‘ก่อนจะหาย กูตายก่อนจ้า’ นี่ยายเอาอะไรมาป้ายหลังเขาวะเนี่ย แสบชิบหาย แสบเหี้ย ๆ แสบขนาดนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีเชื้อโรคเลย แม่งตายห่าไปก่อนนานแล้ว
เออ สรุปแล้วเขาทะลุมิติมาจริง ไม่ติงนัง มันยากที่จะทำใจให้ยอมรับ แต่เขาก็ไม่มีทางอื่นให้คิดไปมากกว่านี้แล้ว ถึงมิติที่มาใหม่มันจะย้อนวัยไปสักหน่อยก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ในประเทศไทย และไม่ได้มีนายกชื่อ….
ก็ไม่แน่อีกนั่นแหละ เพราะไม่รู้แน่ชัดว่าย้อนมาอยู่ในยุคไหน ถ้าอยากมีชีวิตรอดต่อไปก็ต้องทำเนียนให้เข้ากับคนที่นี่
คิดถึงตรงนี้พีรพลก็หน้าสลดเพราะคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน คิดถึงครอบครัวที่จากมา ยกเว้นไอ้ลิงบ้าที่มันเป็นคนส่งเขามาที่นี่ไว้ตัวนึง
“นี่ยาย ผมจำอะไรไม่ได้เลย ยายเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ว่าผมเป็นใคร”
เมื่อทำใจได้ประมาณนึง พีรพลจึงเริ่มต้นค้นหาตัวตนของร่างที่เข้ามาอาศัยอยู่ เมื่อรู้แล้วก็จะได้วางแผนว่าจะเอายังไงต่อไป โชคดีที่ความทรงจำของชาติเก่ายังอยู่ครบถ้วน เขาจึงคิดว่าจะเอามาปรับใช้กับที่นี่ กับชีวิตใหม่นี้แหละ
“เอ็งจำสิ่งใดมิได้เลยรึ”
“ครับ”
*******