ไอ้นี่เป็นใครวะ 1.2
???
“เออ สงสัยเอ็งจะสติฟั่นเฟือนแน่แล้ว คำพูดคำจาแปลกประหลาดนัก แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังพอสนทนากันรู้เรื่อง มิได้บ้าใบ้ไปเสียสิ้น”
ยายแก่ขยับลงจากแคร่แล้วเดินไปหยิบห่อใบตองและกระบอกไม้ไผ่ที่หิ้วมาด้วยส่งให้เขาจากนั้นก็เดินเลยไปแง้มฝาที่ทำเป็นหน้าต่างอย่างลวก ๆ เพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาด้านใน ซึ่งด้านหลังบานหน้าต่างนั้นเขามองเห็นแนวต้นมะพร้าวที่ปลูกเรียงรายไปจนสุดลูกหูลูกตา
“เอ็งก็กินเสียหน่อย จักช่วยให้มีกำลัง”
เมื่อเห็นว่าเขานั่งนิ่งไม่ยอมแกะห่อใบตองเสียทียายแก่จึงเอ่ยกระตุ้น ซึ่งเมื่อยายพูดขึ้นมาท้องน้อย ๆ ก็ร้องโครกครากขานรับทันที เขาเริ่มต้นแกะเชือกกล้วยออกทีละเส้นแล้วคลี่แผ่นใบตองหนาออกกว้างเมื่อได้เห็นของด้านในเขาถึงกับน้ำตาซึม
“ข้าวเหนียวกับพวกปลาเค็ม เนื้อเค็ม มันอยู่ได้นาน อย่างน้อยก็จนกว่าข้าจะออกมาหาเอ็งได้อีกครั้งนั่นแล”
“อือ”
เสียงสะอื้นขานรับพร้อมกับหยิบข้าวเหนียวขึ้นมากินช้า ๆ พีรพลไม่คิดว่าตนเองจะอ่อนไหวเพียงแค่เห็นข้าวเหนียวสีหม่นกับปลาเค็มแข็งแห้งไม่กี่ชิ้น
แต่มันก็เป็นไปแล้ว
ชาติก่อนเขาอยู่ดีกินดี กิจการสวนมะพร้าวทำเงินให้ปีละเกือบล้านบาท อยากกินอะไร อยากเที่ยวที่ไหน เพียงแค่ขับรถออกไปนอกบ้านก็ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ขี้เกียจหน่อยก็สั่งออนไลน์แล้วรอรับอยู่ที่บ้าน อีกทางก็สั่งพ่อกับแม่ซื้อให้ตอนที่พวกเขาออกไปเก็บเงินกู้
“ถ้าเอ็งจะร้อง ก็ร้องออกมาเถิด ข้ารู้ว่าเอ็งเสียดายชีวิตเมียบ่าวอันสุขสบาย แต่เพลานี้มันมิได้เป็นเช่นนั้นแล้ว”
“ห่ะ…”
น้ำตาที่กำลังหยดแหมะไหลย้อนกลับไปทันทีที่ยายแก่นั้นพูดจบ พีรพลอยากจะตะโกนใส่ยายว่าไอ้ที่ร้องเนี่ย คือกำลังคิดถึงบ้าน คิดถึงเน็ตฟลิก คิดถึงโอนลี่แฟน คิดถึงร้านเหล้า และคิดถึงอาหารทะเลน้ำจิ้มแซ่บ ๆ อยู่จ้า…
ส่วนไอ้ชีวิตเมียบ่าว ท่านเจ้าคุณอะไรนั่น เขาไม่รู้จักมันโว๊ยยย!
“ยายเล่าให้ผมฟังเถอะ ผมจะฟังไปกินไป”
เออ ตอนนี้อยากรู้จักละ ว่าไอ้ห่านั่นมันเป็นใคร อย่างน้อยจะได้หาทางหนีทีไล่เวลาที่ได้เจอหน้ามันโดยบังเอิญ
ยายแก่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่เสียงแหบแห้งจะเอ่ยขึ้นอย่างเนิบนาบชวนให้อยากหลับไปอีกรอบ “เอ็งน่ะ ชื่อปิ่นทอง เป็นทาสในเรือนเบี้ยของท่านเจ้าคุณสิงห์ นามเต็มของท่านคือเจ้าพระยาราชสิงหกุญชร เมื่อปีกลายเอ็งมีวาสนาได้ร่วมเตียงกับท่าน…”
พรวดดดดด แค่ก แค่ก
“เอ็งเป็นอันใด ทำไมมิกินให้มันดี ๆ”
ยายแก่รีบมาลูบหลังเพื่อให้เขาหายสำลัก ชิบหาย จะขิตเพราะข้าวเหนียวติดคอไม่ได้นะ แล้วก็นะยาย ไอ้ที่ได้ร่วมเตียงไรนั่นพีรพลไม่เรียกว่าวาสนาหรอกจ้ะ พีรพลเรียกมันว่า ชะตา…ขาด (จงเติมคำในช่องว่าง 10 คะแนน)
“ผะ ผมไม่เป็นไร ยะ ยายเล่าต่อเลย แค่ก”
“เอ็งแน่ใจนะ”
“ครับ”
“อืม” ยายพยักหน้าแล้วก็เล่าต่อ มือก็ไม่หยุดลูบหลังจนบางครั้งเฉี่ยวไปโดนแผลให้พอสะดุ้ง “หลังจากได้ร่วมเตียงเอ็งก็เป็นที่โปรดปรานของท่านเจ้าคุณ จนท่านเปรยว่าจะให้เอ็งขึ้นอยู่เรือนใหญ่ มิต้องนอนรวมกับเมียบ่าวคนอื่นแล้ว”
“ไอ้ เอ่อ ท่านมีเมียกี่คนอ่ะยาย”
“คุณท่านมีเมียรองสามคน เมียบ่าวอีกหลายสิบชีวิต”
พีรพลนึกในใจ ไอ้เจ้าคุณไรนี่ก็บ้าเน้ดใช่ย่อย เมียเล็กเมียน้อยให้ยุ่บยั่บไปหมด ไม่แปลกที่จะมีการชิงดีชิงเด่นกันภายในหมู่เมีย ว่าแต่เมื่อกี้ยายพูดว่าเมียรองกับเมียบ่าว หมายความว่าไงวะ ชักงง
“แล้วเมียรองนี่คือยังไงอ่ะยาย เมียน้อยไรงี้เหรอ”
“เมียน้อยไรของเอ็ง พูดจาไม่รู้เรื่อง”
“เอ๊า ก็ยายบอกท่านเจ้าคุณมีเมียรองกับเมียบ่าว คือผมไม่เข้าใจทำไมมีแค่เมียรองอ่ะยาย แล้วเมียเอกล่ะ” เอาวะไม่เอกก็หลวงนี่แหละ มันต้องถูกสักชื่อสิ
“ท่านเจ้าคุณยังมิได้ตบแต่งเมียเอก เห็นว่ายังมิมีผู้ใดที่เหมาะสม ไม่ก็อาจจะรอพระราชทานจากองค์เหนือหัวท่าน ทำให้ตอนนี้หน้าที่ครองเรือนแลปกครองคนในเรือนจึงเป็นของคุณทองเอก แต่ก็นะ คุณท่านก็มิได้มีเมตตากับบ่าวไพร่เท่าใดนัก เรือนท่านเจ้าคุณจึงร้อนเป็นไฟอยู่เนือง ๆ”
“ห่ะ…”
พีรพลอ้าปากหวอ ข้าวปลาไม่กงไม่กินมันแล้ว เท่าที่ฟัง ไอ้ท่านเจ้าคุณขี้เน้ดก็มีกรรมเหมือนกันนี่หว่า มีอำนาจซะเปล่าแต่ไม่มีปัญญาปกครองเรือนหลังของตัวเอง ส๊าธุ ขอให้ไฟไหม้เรือนแม่ง…
สมน้ำหน้า สะใจโว๊ยยย!
“เออยาย แล้วทำไมผมถึงเจ็บหนักอ่ะ” นี่คือสิ่งที่อยากรู้ที่สุดว่าเจ้าของร่างไปทำอะไรเข้าถึงได้โดนตีจนแผลแตกเต็มหลัง
ยายแก่ถอนหายใจอีกครั้งแล้วกล่าวต่อ “พวกเมียบ่าวทั้งหลายมันอิจฉาที่เอ็งจักได้ขึ้นไปอยู่บนเรือนใหญ่ จึงรวมหัวกันสร้างเรื่องไปฟ้องคุณทองเอกว่าเอ็งลักขโมยสร้อยทองของท่านแล้วนำไปขาย พอท่านเจ้าคุณทราบท่านจึงสั่งให้โบยเอ็งห้าสิบหวายแล้วขับออกจากเรือน”
“เอ๊า แล้วทำไมไม่สืบความก่อนอ่ะยาย เอะอะโบย เอะอะตี งี้ก็ได้เรอะ!”
“เอ็งก็อย่าได้เอ็ดไป ท่านเจ้าคุณเป็นใหญ่ในบ้าน ถ้าท่านมิเด็ดขาดจักปกครองคนหมู่มากได้เยี่ยงไร”
พีรพลค้านในใจทันทีว่า แบบนี้มันเรียกบ้าอำนาจแล้วจ้ะยาย มีอย่างที่ไหน ฟังแล้วตัดสินเลย นี่ถ้ามีใครมาใส่ความว่าท่านเจ้าคุณไรนั่นขโมยของบ้างท่านจะทำยังไงกับตัวเอง โยงกับขื่อแล้วสั่งให้บ่าวเฆี่ยนตีแบบนี้เลยป่ะล่ะ
บอกเลยว่าแม่งไม่ทำหรอก ถ้าบอกว่าโลกจะแตกยังเชื่อได้มากกว่าเลย
แล้วคุณทองเอกอะไรนั่นฟังแล้วก็น่าจะร้ายไม่เบา ไม่งั้นคงไม่หาทางกำจัดคนที่ผัวตัวเองกำลังหลงใหลไปให้พ้นทางหรอก
ที่สำคัญ ไอ้ท่านเจ้าคุณไรนั่นแม่งก็เชื่อไปอีก…โอยหูเบาแท้ น่าเอาต้นมะพร้าวร้อยโซ่แล้วถ่วงใบหูเผื่อจะฟังอะไรมั่ง
“เออ แล้วใครพาผมมาอยู่นี่อ่ะยาย เมื่อกี้ยายบอกว่า ที่ดินตรงนี้ก็เป็นของท่านเจ้าคุณไม่ใช่เหรอ แบบนี้ผมไม่ซวยอีกรอบหรือไง”
“มิเป็นไรดอก ท่านเจ้าคุณครอบครองผืนดินเป็นหมื่นไร่ แล้วข้าก็พาเอ็งมาอยู่เสียไกลจากเรือนใหญ่ท่านมากโข ติดสินบนบ่าวที่ดูแลผืนดินแถบนี้ไว้อีกหลายอัฐ กระท่อมหลังนี้ก็เป็นมันที่สร้างให้เอ็งไว้พักรักษาตัว”
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ยายแกบอกว่าท่านเจ้าคุณคู่กรณีของเขามีที่ดินหมื่นไร่?
หมื่นไร่? อย่างนั้นเหรอ เอ เหมือนจะเคยได้ยินผ่านหูตอนคุณนายแม่ดูละครบวกกับความรู้ที่กู้คืนมาจากหนังสือเรียนสมัยประถม
อะไรนาหมื่น นาหมื่นสักอย่าง
เชี่ยยยย
เจ้าพระยานาหมื่น!!!
ป๊าดติโท๊ะ
หล่อหรือเปล่าไม่รู้ ไม่เคยเห็นหน้า แต่เรื่องรวยนี่แน่นอน แถมกระโจ๊ยเลี่ยมทองอีกต่างหาก เออ สมแล้วที่เมีย ๆ ทั้งหลายจะฆ่ากันตายแบบนั้น
แค่คิดก็เสียวแผลที่หลังวาบ ๆ ดังนั้นเขาจึงขอตั้งปฏิญาณเอาไว้ตรงนี้เลยว่าจะไม่ให้ร่างของคนที่ตนเองเข้ามาอาศัยอยู่นี้ต้องเดือดร้อนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน!
ไหน ๆ ก็ได้หลุดพ้นออกมาแล้ว
งั้นก็ขอลาเลยแล้วกัน
บรัยยยยยส์
*****