บทที่ 232
หายไป
ทันทีที่ฉูจงฉวนออกมาเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน
ใบหน้าของทูตเฉียงหลงที่สวมหน้ากากมังกรขาวแสดงให้เห็นถึงความสนใจ “ทั้งที่ผ่านมิติเหนือเมฆและอยู่ในภาพลวงตามาร่วม 34 วัน ถึงเจ้าจะออกมาช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อย แต่ทั้งอารมณ์และพลังวิญญาณกลับมั่นคงชัดเจนเจตจำนงเหนือกว่าใคร ๆ”
ฉูจงฉวนมองไปที่ฝูงชน
อารมณ์ของคนส่วนใหญ่ไม่คงที่ ตาของคนบางคนกลายเป็นสีแดงลมหายใจเป็นระรัว เหมือนกำลังจะเป็นบ้า แต่พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะข่มใจและความกลัวเอาไว้
บางคนในนั้นหมดแรงจนดวงตาของสูญเสียความมีชีวิตชีวาไปจนสิ้น
“ภาพลวงตานี้มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉูจงฉวนพูดกับตัวเอง
ฉูจงฉวนนึกถึงทุกสิ่งในที่เขาเจอในมิติเหนือเมฆและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันแย่มาก หากเจตจำนงของเขาหละหลวมละก็คงจะเกิดปัญหา
จากนั้นฉูจงฉวนก็เห็นลั่วอู๋ เขาจึงรีบเดินมาหา พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าไม่คิดว่า เจ้าจะดูนิ่งได้มากขนาดนี้”
“อืม ใช่ข้านิ่ง มั่นคงดี” ลั่วอู๋กล่าวอย่างเศร้าโศก
ฉูจงฉวนกล่าวอย่างสงสัย “เป็นอะไรรึเปล่า ? นี่หรือว่าเจ้าไม่ผ่านการทดสอบ?”
เด็กอ้วนตัวน้อยเปิดปากและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่แค่เขาไม่ผ่าน เขายังเป็นคนแรกที่ไม่ผ่านการทดสอบด้วย”
ดูเหมือนจะเขาคนนี้จะมีความสุขมากที่เห็นคนอื่นเจอเรื่องที่แย่กว่าตัวเอง แม้แต่ความผิดหวังที่เขาไม่ผ่านการทดสอบรอบที่สามก็ยังถูกลืมเลือนไป
ฉูจงฉวนประหลาดใจ “ไม่มีทางน่า”
เขาไม่คิดว่าลั่วอู๋จะเป็นคนอ่อนแอแบบนั้น
ลั่วอู๋ตอบว่า “ข้าขี้เกียจที่จะอธิบายให้พวกเขาฟัง ข้าไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงเข้าไปในมิติเหนือเมฆไม่ได้ ข้าก็เลยถูกตัดสินว่าไม่ผ่านการทดสอบ”
“หา? มันเกิดเรื่องแบบนั้นได้ด้วยเหรอเนี่ย ?” ฉูจงฉวนพูดไม่ออก “ข้าควรทำอย่างไรดีล่ะ ข้าสูญเสียโควตาในการเข้าร่วมสำนักเฉียนหลงของเจ้าไปแล้วใช่ไหม?”
ลั่วอู๋พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “มันก็คงต้องเป็นแบบนั้น”
“แย่จังเลยแฮะ” ฉูจงฉวนเบ้ปาก
ลั่วอู๋ส่ายหัว “อย่ามัวเศร้าไปเลยน่า ว่าแต่เจ้าเจออะไรในมิติเหนือเมฆ ทำไมคนอื่นถึงดูมีบาดแผลทางจิตใจ ต่างจากเจ้าที่ดูไม่เป็นอะไรเท่าไหร่เลยล่ะ ?”
“ภาพลวงตาที่ข้าเจอคือมีปีศาจจำนวนมากบุกเข้ามาในจักรวรรดิ” ฉูจงฉวนเล่าว่า “มันเป็นวันคืนที่มืดมนจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นแสงอาทิตย์เลย ดูเหมือนว่าตลอดเวลาที่ข้าต่อสู้กับปีศาจพวกนั้น ข้านอนไม่หลับสนิททุกคืน และฝันถึงแต่การต่อสู้”
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ“ เจอเข้าไปแบบนั้น จิตใจของเจ้าก็ยังมั่นคงได้อีกนะเนี่ย… โดยปกติแล้วเจ้าน่าจะประสาทเสียไปเลยไม่ใช่รึไง ?”
“คือมันก็มีเรื่องแปลก ๆ อยู่นะ คือทุกวันหลังสงคราม ข้าจะกลับไปที่ตระกูลฉูแล้วไปใช้บริการที่หอราตรีนิรันดร์ต่อ เพื่อล้างความเหนื่อยล้าหลังสงคราม สาว ๆ ที่อ่อนโยนและทำให้จิตใจของข้าสงบลงได้เสมอ” ฉูจงฉวนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กล้าหาญ
ลั่วอู๋ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
มนุษยชาติกำลังจะสูญสิ้น เจ้ายังมีความคิดที่จะไปใช้บริการหอนางโลมอีกเหรอ…
ยิ่งไปกว่านั้นเขาพูดเหมือนมันเป็นเรื่องปกติมาก
หลายคนให้ความสนใจมาที่ฉูจงฉวน และตัวฉูจงฉวนเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดเสียงเบา จึงเป็นที่แน่นอนว่ามีหลายคนได้ยินสิ่งที่เขาพูด
เหล่าผู้เข้าร่วมการทดสอบเต็มไปด้วยความรังเกียจในใจของพวกเขา สายตาของพวกเขาที่มีต่อฉูจงฉวนเต็มไปด้วยการดูถูก
อย่างไรก็ตามทูตเฉียงหลงที่สวมหน้ากากมังกรขาวยังคงชื่นชมฉูจงฉวน เพราะแม้ว่าในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเช่นนั้นเข้ามา เขานั้นสามารถปรับความคิดและจิตใจได้อย่างรวดเร็ว มันถือเป็นทักษะที่ดีชนิดหนึ่ง
ลั่วอู๋มองดูมิติเหนือเมฆด้วยความกังวล
ภาพลวงตาที่ฉูจงฉวนเล่านั้นมันแย่มาก เขาไม่รู้ว่า หลี่หยินจะเป็นยังไง ทำไมนางถึงยังไม่ออกมา เวลาก็ผ่านล่วงเลยมานานขนาดนี้แล้วแท้ ๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนผู้คนที่ผ่านการทดสอบ ก็จะสามารถออกจากมิติเหนือเมฆไปได้ตามใจชอบ แต่หลังจากหนึ่งเดือนจะไม่สามารถผ่านไปได้อีก
บางคนหลงไปในโลกแห่งจินตนาการของมิติเหนือเมฆและไม่สามารถหลุดพ้นจากภาพลวงตาเหล่านั้นได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกมาจากมิติเหนือเมฆได้
หลังจากผ่านไปมากกว่าหนึ่งเดือน ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่มันก็จะยิ่งยากที่จะผ่านการทดสอบ
สามวันผ่านไปในพริบตา
ผู้คนถูกส่งออกมาทีละคน
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ผ่านการตรวจสอบ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ร้องไห้และหรือหมดสภาพ จนทูตเฉียนหลงต้องส่งพวกเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา
ลั่วอู๋กังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับหลี่หยิน
แต่แล้วก่อนที่มิติเหนือเมฆจะปิดลง หลี่หยินก็ถูกส่งออกมา โดยนางเป็นคนสุดท้ายที่ถูกส่งออกมา
หลี่หยินนั้นค่อนข้างมีสติค่อนข้างคงที่ แต่ในสายตาก็ยังคงมีประกายแห่งความโกรธเกรี้ยวอยู่ เห็นได้ชัดว่าภาพลวงตามีอิทธิพลอย่างมากต่อนาง
“หลี่หยินเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ลั่วอู๋ขึ้นไปพบนางพร้อมถามด้วยความกังวลใจ
หลี่หยินมองไปที่ลั่วอู๋ด้วยความงุนงงจากนั้นน้ำตาใส ๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาของนาง นางพยายามแสดงรอยยิ้มที่สดใสออกมา แต่เสียงของนางก็ไม่สามารถหยุดสั่นได้
“นายน้อย ในที่สุดข้าก็ได้พบท่าน”
หลี่หยินในอ้อมแขนของลั่วอู๋หลับตาลงอย่างมีความสุขพลางกระซิบ “มันเป็นความจริง ถ้าข้าฆ่าพวกมันทั้งหมด นายน้อยจะกลับมาจริงๆ”
จากนั้นหลี่หยินก็หลับไป
ลั่วอู๋สับสนหลี่หยินพูดว่าอะไร?
ทูตเฉียงหลงที่สวมหน้ากากมังกรขาวสัมผัสได้พลังในมิติเหนือเมฆ จากนั้นมองไปที่หลี่หยินด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย “นางใช้เวลา 47 วัน ในการผ่านการทดสอบ”
นางอยู่ในความโกลาหลกว่า 47 วันแต่ก็ยังผ่านการทดสอบได้ ?
ผู้ใช้พลังวิญญาณของคนอื่น ที่ออกมาในเวลาเดียวกันกับหลี่หยิน มักจะมีผลกระทบค่อนข้างแย่ต่อจิตใจของพวกเขา เห็นแน่นอนว่าไม่ผ่านการทดสอบ ต่างจากนาง
ลั่วอู๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไม่เป็นไรแล้ว ๆ”
เขาไม่ได้สนใจว่าหลี่หยินจะผ่านการทดสอบไหม แต่ในเมื่อนางผ่านมันมาได้แล้ว มันก็แสดงให้เห็นว่าจิตใจของหลี่หยินยังเป็นปกติและไม่ได้พังทลายลง
เด็กชายตัวเตี้ยและอ้วนพูดอย่างไม่พอใจ“ ไม่ยุติธรรมเลย เจ้าคนที่ล้มเหลวในวันแรก แต่สาวใช้ของเขากลับผ่านการทดสอบคัดเลือกของสำนักเฉียนหลง”
ลั่วอู๋จ้องมองเด็กอ้วนอย่างไม่พอใจ
เจ้าอ้วนตัวน้อยตัวแสบคนนี้
“ทั้ง 41 คนที่ผ่านการทดสอบจงมากับพวกเรา สำนักเฉียนหลงจะเปิดรับพวกเจ้า” ทูตเฉียงหลงที่สวมหน้ากากมังกรขาวประกาศ
ทุกคนต่างแปลกใจในความเร็วนี้? พวกเขาเพิ่งผ่านการทดสอบแท้ ๆ จะให้ตรงไปที่สำนักเฉียนหลงเลยหรือ? ไม่มีเวลาให้ได้พักผ่อนเลย ?
ทูตเฉียงหลงที่สวมหน้ากากมังกรขาวดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังคิดและพูดออกมาว่า “มันเร่งด่วน พวกข้ามีเวลาจำกัด ในการเปิดสำนักเฉียนหลง พวกข้าไม่มีเวลาเรียกตัวพวกเจ้าอีกแล้วสำนักเฉียนหลงจะเปิดในทุกๆหกเดือน ข้าจะทำทุกอย่างในภายหลังไม่ได้ ”
ผู้ผ่านการทดสอบบางคนก็สงบ บางคนก็วิตก การแสดงออกของพวกเขาแตกต่างกันไป
มิติเหนือเมฆถูกปิดและเมฆและหมอกจำนวนมากที่อยู่เหนือเมฆก็สลายไป ราวกับว่าจะทำให้วิหารขนาดใหญ่ทั้งหลังจมลง จากนั้นแสงที่สว่างจ้าก็ค่อยๆมืดลงไปจากท้องฟ้า
ลั่วอู๋มองหลี่หยินที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้วถอนหายใจ
ฉูจงฉวนถามด้วยเสียงต่ำ“ ข้าควรจะทำยังไงดีตอนนี้ ในเมื่อหลี่หยินผ่านการทดสอบ มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะให้นางไปต่อหรืออยู่กับเจ้าที่นี่”
“ให้นางไปต่อ” ลั่วอู๋แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่น “ข้าไม่สามารถถ่วงอนาคตของนางได้ หลี่หยินในตอนนี้มีความสามารถมากกว่าข้า นางควรได้รับการฝึกฝนที่ดีที่สุด”
ฉูจงฉวนมีแววตาซับซ้อนกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว”
“ข้าฝากเจ้าดูแลหลี่หยินให้ดีด้วย ข้าจะหาทางเข้าร่วมสำนักเฉียนหลงแล้วตามนางไปเอง” ลั่วอู๋กล่าวอย่างจริงจัง
ฉูจงฉวนพยักหน้าบางคนทนไม่ได้ที่จะฟังคำพูดของลั่วอู๋
สำนักเฉียนหลงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าไป
เมื่อหมู่เมฆค่อยๆสงบลงเฉิน หวู่จี้ก็เรียกสัตว์ร้ายแห่งวังวนออกมา ด้วยเสียงคำรามต่ำของมันประตูมิติก็ถูกเปิดออก จากนั้นทูตเฉียนหลงและ 41 คนที่ผ่านการทดสอบก็เข้าประตูมิตินั้นไป
“ข้าจะตามพวกเจ้าไปแน่” ลั่วอู๋มองไปที่ประตูอวกาศที่ปิดลงอย่างช้า ๆ อย่างแน่วแน่
ผู้แพ้นั้นทำได้แค่ยืนอยู่ที่เดิมและพูดอะไรไม่ได้อีก
“อย่าพูดอะไรโง่ ๆ สิ” “ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แม้ว่าวันนี้เจ้าจะเป็นถึงองค์ชาย แต่ถ้าเจ้าไม่ผ่านการทดสอบ เจ้าก็ไม่มีทางเข้าสู่สำนักเฉียนหลงได้” ชายอ้วนตัวน้อยกล่าวด้วยใบหน้าผิดหวัง
ลั่วอู๋กลอกตา เจ้าอ้วนตัวน้อยคนนี้จะทำให้ข้าเกลียดได้มากไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย ?
แต่แล้วจู่ ๆ ชายชราชุดขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนและพูดอย่างรีบร้อน “ในที่สุดข้าก็ออกมาจากมิติเหนือเมฆได้ซะที เจ้ากังวลมากเพราะอยากเข้าไปในสำนักเฉียนหลงใช่ไหมล่ะ ? เจ้ามันช่างมีความก้าวหน้าจริง ๆ คู่ควรแล้วกับตระกูลลั่วของข้า ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าเข้าสู่สำนักเฉียนหลงได้นะสนใจไหม ? ”
ลั่วอู๋ตกใจมาก
บุคคลนี้ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือบรรพบุรุษของตระกูลลั่ว ลั่วไป่เหา