บทที่ 235
พิธีต้อนรับศิษย์ใหม่เริ่มต้น
“ฆ่าพวกมัน!”
“ขอเทพเจ้าจงคุ้มครองพวกเรา!”
ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยหมอกหนาราวกับว่าโลกทั้งใบตกอยู่ในความมืดมิดเสียงของการฆ่าฟันที่อึกทึกดังก้อง
ทุกพื้นที่กลายเป็นทะเลเลือด ทำให้กลิ่นฉุนของเลือดลอยไปทั่ว
รอบตัวเต็มไปด้วยเศษซากอวัยวะและสัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ กองพะเนินเทินซากศพทับกันเหมือนภูเขา
มีชายคนหนึ่งผู้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดนั่งอยู่บนยอดเขากองศพ เช็ดมือกรงเล็บอันแหลมคมราวกับจักรพรรดิแห่งฝันร้าย
ฆ่า!
ฆ่าพวกมันให้หมด
เสียงบ่นที่ชัดเจนดังก้องอยู่ในใจ
“อา”
หลี่หยินตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราของนางในทันที
เมื่อนางลืมตาขึ้นนางก็เห็นจัตุรัสอันกว้างขวาง ไม่ไกลออกไปมีประตูที่ดูลึกลับและเรียบง่ายแขวนอยู่ในอากาศ
ทุกคนนั้นเหมือนกำลังรอนางอยู่
“ที่นี่คือที่ไหนกัน?” หลี่หยินสับสน
ฉูจงฉวนกล่าวอย่างมีความสุข “เจ้าตื่นแล้ว! เจ้านอนไม่ตื่นมาทั้งวัน ข้าล่ะกังวลว่าถ้าเจ้ายังไม่ตื่นจนถึงตอนพิธีต้อนรับศิษย์ใหม่เริ่มต้น ข้าคงจะต้องปลุกเจ้า”
“ข้านอนหลับไปนานขนาดนั้นเลยเชียวเหรอเจ้าคะ” หลี่หยินลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ “นายน้อยอยู่ที่ไหนกันเจ้าคะ ?”
การแสดงออกของ ฉูจงฉวน นั้นแข็งกระด้างพูดไม่ออก “เออ คือว่า … ”
“นายน้อยอยู่ที่ไหนเจ้าคะ ?” มีความรู้สึกไม่สบายใจในหัวใจของหลี่หยิน
ฉูจงฉวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบไปตามจริง “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ลานจัตุรัสหน้าสำนักเฉียนหลง เจ้าผ่านการทดสอบ แต่น่าเสียดายที่ลั่วอู๋ไม่ผ่านเขาจึงเข้ามาที่นี่ไม่ได้”
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ?” ใบหน้าของหลี่หยินลุกลี้ลุกลน
นางเข้าร่วมการทดสอบเฉียนหลงเพื่อติดตามนายน้อยของนางมา
ถ้านายน้อยไม่อยู่แล้ว การเข้าร่วมสำนักเฉียนหลงจะไปมีความสำคัญอะไร?
“ข้าอยากออกไปจากที่นี่แล้วเจ้าค่ะ” หลี่หยินพูด
“อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป เจ้าไม่ควรรีบตัดสินใจเช่นนั้น เจ้าจะได้เจอลั่วอู๋แน่ ๆ ในทุก ๆ หกเดือนสำนักเฉียนหลงจะเปิดให้นักเรียนจะมีวันหยุดเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ” ฉูจงฉวนปลอบโยนอย่างเร่งรีบ
หลี่หยินมองไปรอบ ๆ นางดูเหมือนกำลังหาทางออก “ไม่ ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่”
“ทางเข้าลานเฉียนหลงถูกปิดอยู่ อย่าพยายามเลยไม่งั้นเจ้าจะมีปัญหาเสียเปล่า ๆ” ฉูจงฉวนรีบห้ามนางอยู่พักหนึ่ง
การกระทำดังกล่าวดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
ทุกคนต่างมองไปที่หลี่หยินด้วยสายตาที่สับสน ทำไมนางถึงอยากออกจากสำนักเฉียนหลง หลังจากเพิ่งสอบผ่านเข้ามาได้กัน?
จังหวะนั้นเองหนานกงหยิงเอ๋อก็เดินเข้ามา
ท่าทีและอารมณ์ของนางยังคงดูเย็นชา แต่ในดวงตาของนางนั้นกลับดูมีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิมเล็กน้อย “ข้าบอกเจ้าแล้วว่า ลั่วอู๋ไม่คู่ควรกับเจ้า”
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระเจ้าค่ะ” หลี่หยินโกรธ
หนานกงหยิงเอ๋อกล่าวอย่างใจเย็น “ผลการประเมินรอบที่สามของเขาถือว่าแย่ที่สุด เขาจะไปทำอะไรได้ ถ้าเจ้าไม่ผ่านการทดสอบของสำนักเฉียนหลง เจ้าก็คงต้องกลายเป็นคนธรรมดา ๆ เขาคนนั้นจะคู่ควรเป็นนายน้อยของเจ้าไปได้อย่างไร ?”
“มากับข้าเถอะ” หนานกงหยิงเอ๋อ ยื่นมือออกไป “ความสามารถของเจ้าดีมาก พวกเราจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างอนาคตที่แตกต่างออกไปได้อย่างแน่นอน”
นางยื่นข้อเสนอออกมาอีกครั้ง
และคราวนี้ลั่วอู๋นั้นไม่อยู่ที่นี่
มีร่องรอยของการความโกรธเกรี้ยวในดวงตาของหลี่หยิน นิสัยอ่อนโยนอันดั้งเดิมเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและเต็มไปด้วยความหดหู่ แม้แต่น้ำเสียงของนางก็ยังเยือกเย็นและเสียดแทง
“อย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูดแบบนั้นอีก”
ฉูจงฉวนประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของหลี่หยิน จู่ ๆ หลี่หยินที่อ่อนโยนและน่ารักคนนั้น กลับกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
หัวใจของหนานกงหยิงเอ๋อรู้สึกได้ถึงความกลัว นางยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นของอันตรายจากอีกฝ่าย นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน? หลี่หยินเป็นเพียงแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงินเท่านั้นนี่นา
และแล้วมันก็ถึงเวลา
พิธีต้อนรับศิษย์ใหม่เริ่มต้นขึ้น
ทูตเฉียนหลงทั้งสามคนมารวมตัวกันที่ประตูสำนัก กองกำลังอันน่ากลัวต่างก็ทยอยกันเข้ามา บนท้องฟ้าปรากฏจุดแสงสว่างนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกับดวงดาวที่ร่วงหล่น
“ตูมมม”
ในที่สุดประตูสำนักก็ถูกเปิดออก
……
……
ลั่วอู๋ติดตามลั่วไป่เหาไปยังเมืองหลวงหวู่จี้
มีคนรอกำลังยืนรออยู่ที่นี่เยอะมาก
แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีใครที่เป็นคนปกติ ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์จากกองกำลังหลักต่างๆหรือผู้มีพรสวรรค์ที่ต้องการจะสร้างชื่อให้กับตัวเอง
คนเหล่านี้คือผู้ที่ผ่านการทดสอบเฉียนหลง
ลั่วอู๋นับจำนวนของพวกเขาจึงได้รู้ว่ามีอยู่ถึง 74 คน
ในบรรดา 36 มณฑลมีเพียง 41 คนที่ผ่านการทดสอบมาจากทั้งสามภูมิภาคและ 74 คนที่ผ่านมาจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ? นี่มันคงถือว่ามากมายไม่ได้ละมั้ง?
“อย่าดูถูกเหล่าอัจฉริยะของเมืองหลวงเชียว” ลั่วไป่เหาดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ลั่วอู๋กำลังคิด
ลั่วอู๋พยักหน้าอย่างระมัดระวัง “แล้วคนของตระกูลเอ๋าอยู่ที่ไหนล่ะ ?”
“มีระดับปีศาจคนหนึ่งถูกส่งเข้าไปในสำนักแล้วเรียบร้อย” ลั่วไป่เหาโค้งงอปากของเขา”อย่างไรก็ตามมีอีกสองคนสิ่งที่แย่กว่าเขาคนนั้นอยู่ตรงมุมนั้น ”
ลั่วอู๋มองตามทิศทางที่ลั่วไป่เหาจ้องมองไป
พวกเขาเป็นพี่น้องคู่หนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายกัน ลมปราณของพวกเขารุนแรงและดวงตาของพวกเขาก็ดูแปลกประหลาด ใบหน้าของพวกเขาเย็นชาและไม่แยแสสิ่งใด
พวกเขาเกือบจะรับรู้ถึงสายตาของลั่วอู๋ จึงมองตรงมาทางเขาอยู่แว่บหนึ่ง นั่นทำให้ลั่วอู๋รู้สึกเวียนหัวไปเลยทีเดียว
“อย่าไปสบตาเชียว” “พวกเขาเป็นพี่น้องกัน เอ๋าเฉาและเอ๋าหยู่พวกเขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน พลังของพวกเขาเหมือนดั่งราชา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาแต่ละคนมีสัตว์วิญญาณที่มีศักยภาพระดับทอง เนตรทรราชชั่วร้าย มันมีความสามารถในการทำลายล้างและสร้างภาพลวงตา ซึ่งทำให้พวกเขามีความสามารถในการต่อสู้ที่สูงมาก”
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ “เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน พลังเป็นดั่งราชา แต่ยังน้อยกว่าคนที่ได้เข้าไปก่อนแล้วเล็กน้อย บรรพบุรุษของข้า ระดับปีศาจของตระกูลเอ๋าแข็งแกร่งแค่ไหนกันล่ะเนี่ย?”
“หึ มันก็เป็นแค่ผู้มีพลังระดับปีศาจที่ยากจะพบเจอมานานนับหมื่นปีก็เท่านั้นแหละ” “ ข้าไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะยังไงเจ้าก็ต้องสนใจเขาแน่ ในทันทีที่เข้าไปในสำนักเฉียนหลง”
ลั่วอู๋หัวเราะเยาะ “ข้าควรจะช่วยตระกูลลั่วฆ่าพวกเขาและกำจัดปัญหาในอนาคตสินะ”
“แค่สัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่ตายก็พอแล้ว จำไว้ว่าเจ้าจะต้องใจเย็นเข้าไว้ แม้ว่าพวกเขาจะท้าทายเจ้ายังไงก็ห้ามคล้อยตามเด็ดขาด” “ลั่วไป่เหากล่าวอย่างจริงจัง” มีผู้มีพรสวรรค์มากมายจากตระกูลลั่ว ที่เสียชีวิตไปในเวทีการแข่งขัน ต่างจากพวกนั้นเจ้าจะต้องไม่ตาย ”
ในที่สุดลั่วอู๋ก็เข้าใจความอาฆาตแค้นนี้
นี่ไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้ทั่ว ๆ ไป แต่เป็นความบาดหมางระหว่างสองตระกูล
ผู้ที่ผ่านการทดสอบต่างถูกพาเข้าไปในลานเฉียนหลงก่อนแล้ว ดังนั้นลั่วอู๋จึงทำได้แค่ติดตามผู้ตรวจสอบในเมืองหลวงของจักรวรรดิไปที่สำนักเฉียนหลงเท่านั้น
ที่นี่มีทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากสีทองยืนตรงอย่างภาคภูมิใจ
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” ทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากสีทองพูดด้วยเสียงต่ำ จากนั้นเขาก็โบกมือสร้างรอยแตกมิติอันน่ากลัว
แม้แต่ตัวของลั่วไป่เหาก็ไม่สามารถเข้าสู่สำนักเฉียนหลงได้โดยไม่ได้รับเชิญ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเฝ้าดูลั่วอู๋เดินจากไป
“อย่าตายเชียวล่ะ เจ้าหนุ่ม” หัวใจของลั่วไป่เหานิ่งเงียบ
ลั่วอู๋เดินตามฝูงชนเข้าไปในรอยแยกของมิติ จากนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่ากำลังสู่ความสับสนวุ่นวาย
แสงไฟนับไม่ถ้วนสั่นไหวในความว่างเปล่าและถดถอยไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นพักใหญ่ ๆ แสงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างช้า ๆ
หลังจากลืมตาขึ้นมาอีกครั้งลั่วอู๋ก็ได้มาถึงที่ประตูด้านนอกของลานเฉียนหลง ซึ่งเป็นเหมือนสถานที่ลึกลับบนสรวงสวรรค์
ศาลาจำนวนมากถูกสร้างขึ้นบนภูเขาสูง แต่ละหลังมีกลิ่นอายลึกลับ ฝูงนกศักดิ์สิทธิ์จิงหลวนทะยานบินขึ้นไปในอากาศและโฉบเทลงสู่ทะเลสาบ
มีประตูขนาดใหญ่และเรียบง่ายตั้งอยู่ตรงใจกลาง และนั่นคือประตูของสำนักเฉียนหลง
ซึ่งตอนนี้ประตูนั้นก็กำลังค่อย ๆ เปิดออก
ลั่วอู๋เห็นร่างของผู้คนที่เขาคุ้นเคยมากมาย
ปรากฎว่าผู้คนที่ผ่านการประเมินรอบที่สามจากสามทิศเองก็กำลังรอให้ประตูเปิดอยู่ด้านนอกเช่นกัน
และในขณะที่ผู้ตรวจสอบของเมืองหลวงของจักรวรรดิกำลังพาพวกเขาเข้าไปที่ประตูนั่นเอง เหล่าผู้ผ่านการทดสอบและคนจากเมืองหลวงของจักรวรรดิก็ได้พบกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูนั่นสิหลี่หยิน! ฉูจงฉวน” ลั่วอู๋เห็นพวกเขาจึงขำอย่างมีความสุขและอุทานออกมา