บทที่ 245
พบกันบนสังเวียนแห่งชีวิตและความตาย
ระฆังดังขึ้น
จากนั้นประตูของสำนักชั้นในก็เปิดออกอีกครั้ง
ลั่วอู๋เดินมาถึงที่หมายเป็นคนแรก
ที่ตรงนั้นมีทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากมังกรทอง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการประเมินของสำนักชั้นในยืนอยู่
ลั่วอู๋ถามอย่างสงสัย“ ท่านทูตเฉียนหลง คราวนี้มีกี่คนที่ผ่านการทดสอบเข้ามาสำนักภายในกี่คนหรือขอรับ?”
ทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากมังกรทองตอบอย่างละเอียด “มีทั้งหมด 20 คนในครั้งนี้”
ครั้งแรกนั้นมีเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น ส่วนในรอบที่สองนี้มีถึง 20 คน เห็นได้ชัดว่าคนข้างนอกเริ่มจับทางกันได้เรื่อย ๆ แล้วว่าต้องทำยังไงจึงจะผ่านการทดสอบ และจำนวนคนที่เข้ามาในเขตสำนักชั้นในนั้นจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ตูม”
ประตูถูกเปิดออก
ดวงตาของลั่วอู๋กวาดไปทั่วที่ฝูงชนอย่างรวดเร็ว และในที่สุดเขาก็ได้พบคนที่เขากำลังมองหา
หลี่หยินและฉูจงฉวน
ลั่วอู๋ดีใจมากที่พวกเขาผ่านการตรวจสอบเข้ามาในสำนักชั้นใน
หลี่หยินเห็นลั่วอู๋ นางวิ่งเข้าไปหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่มีความสุข ส่วนฉูจงฉวนดูเหมือนจะมีบางอย่างคิดอยู่ในใจ
“ฉูจงฉวน เจ้าเป็นอะไรไปรึ? นานๆทีข้าจะเห็นเจ้าเป็นแบบนี้” ลั่วอู๋พูดติดตลก
สีหน้าของฉูจงฉวนดูจริงจังเขาดึงลั่วอู๋แยกออกไปคุยแล้ว มองไปที่หลี่หยินอย่างระมัดระวัง “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้าเกี่ยวกับหลี่หยิน”
หัวใจของลั่วอู๋หลินดูจริงจังขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉูจงฉวนลดเสียงลงและพูดว่า “ภาพลวงตาของมิติเหนือเมฆดูเหมือนจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อหลี่หยิน ข้าสงสัยว่าจิตใจของนางนั้นจริง ๆ ยังไม่ได้ออกมาจากภาพลวงตานั้น”
ในภาพลวงตานั้นพวกเขาไม่มีโอกาสได้พักหายใจด้วยซ้ำ
สิ่งนี้มีผลอย่างมากต่อจิตใจของผู้คนที่เข้าร่วมการทดสอบ ผู้คนที่ผ่านมิติเหนือเมฆออกมา มักจะมีจิตใจที่ไม่มั่นคงและต้องการเวลาสงบสติอารมณ์ ออกจากความทรงจำอันเลวร้ายในภาพลวงตานั้น
“ไม่มีทางน่า” ลั่วอู๋มองไปที่หลี่หยินผู้กำลังยิ้มหวาน เขาได้แต่งงงวย “เจ้าฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ ข้าคิดว่าหลี่หยินดูปกติดีนะ”
“เชื่อข้าเถอะ ในการทดสอบเข้าร่วมสำนักชั้นในหลี่หยินได้รับรางวัลที่หนึ่งในมิติที่ทางสำนักสร้างขึ้น” ฉูจงฉวนกล่าว
ลั่วอู๋ไม่ชอบใจเท่าไหร่ “ไม่แปลกนี่นา หลี่หยินคือครอบครัวของข้า”
“ฟังข้าก่อน” ฉูจงฉวนไม่ได้โกรธและพยายามกล่าวต่อ “ครั้งนี้มีคนอย่างน้อย 30 คนถูกโจมตีมิติที่สร้างขึ้นนั่น และพวกเขาเป็นกลุ่มระดับต่ำสุด การบาดเจ็บของทุกคนนั้นสาหัสและโหดร้ายมาก ดูเหมือนว่าผู้โจมตีจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้พวกเขาตายได้มันจึงหยุดอยู่แค่นั้น”
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว “เจ้าอย่ามาสงสัยหลี่หยินน่า อย่ามาล้อเล่น เจ้าไม่มีหลักฐานซะหน่อย”
“ใช่ ข้าไม่มีหลักฐาน แต่ … ” ฉูจงฉวนลังเลสักครู่ก่อนจะพูดว่า “ในตอนที่นางออกจากมิติมา ลมปราณของนางทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก”
ลั่วอู๋ตะลึงแล้วพยักหน้า “ข้ารู้ไม่ว่าหลี่หยินเป็นคนทำจริง ๆ รึเปล่านะ แต่ข้าจะพยายามใส่ใจกับสภาพจิตใจของนาง”
ฉูจงฉวนพยักหน้า
นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ
ลั่วอู๋เดินกลับไปหาหลี่หยิน แต่มองยังไงเขาก็ไม่รู้สึกว่าหลี่หยินจะทำอะไรแบบนั้นได้สักนิด นางยังคงอ่อนโยนและน่ารักเหมือนเดิม
“มีอะไรงั้นเหรอนายน้อย?” เมื่อลั่วอู๋จ้องมองไปที่หลี่หยินตลอดเวลา นางก็เลยเริ่มเขินอายเล็กน้อย
ลั่วอู๋ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “หลี่หยิน ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เจ้าต้องบอกข้ารู้ไหม”
แม้ว่าหลี่หยินจะไม่รู้ว่าลั่วอู๋กำลังพูดถึงอะไร แต่นางก็ยังพยักหน้าอย่างชาญฉลาด
ในระหว่างที่ลั่วอู๋กำลังจะพาฉูจงฉวนและหลี่หยินไปเยี่ยมชมสำนักชั้นใน เขาก็สังเกตเห็นชายสองคนที่ไม่ใช่มิตรสหาย
พวกเขาคือเอ๋าเฉาและเอ๋าหยู่ พี่น้องตระกูลเอ๋า
ในฐานะคนกลุ่มแรกที่ผ่านการทดสอบเข้ามาในสำนักชั้นใน พวกเขานั้นรู้จักพื้นที่ในสำนักชั้นในเป็นอย่างดี
ดูเหมือนพวกเขาจะมาดักรอใครบางคนที่นี่
“พวกเราพึ่งพาพวกท่านได้ใช่ไหม ? สองพี่น้องตระกูลเอ๋า ฮะฮะฮะ” ผู้ใช้พลังวิญญาณหนุ่มสองสามคนพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงตลก ๆ เดินเข้าไปหาพี่น้องตระกูลเอ๋า
พี่น้องตระกูลเอ๋ายิ้มตอบ “แน่นอนไม่มีปัญหา”
ในบรรดาคนกว่ายี่สิบคนที่ได้เข้ามาในสำนักชั้นใน
กว่าสิบสามคนเดินไปหาพี่น้องตระกูลเอ๋า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักคุ้นเคยกันดี
ฉูจงฉวนอธิบายว่า “ข้าได้รู้มาว่าทั้ง 13 คนนั้น ล้วนมาจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ พวกเขาส่วนใหญ่มีภูมิหลังอันลึกซึ้งเกี่ยวข้องกัน แม้ว่าความสามารถหรือนิสัยของพวกเขาจะเลวร้ายแค่ไหน พวกเขาก็มีพรสวรรค์และที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับหนึ่ง”
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่อัจฉริยะจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ จะผูกมิตรกับอัจฉริยะจากเมืองหลวงของจักรวรรดิด้วยกัน
“พวกเจ้าช่วยรอกันสักเดี๋ยว พวกเราสองพี่น้องเรามีเรื่องที่ต้องจัดการ” สองพี่น้องแว่บหายไปจากตรงหน้าหมู่คนที่จะขอติดตามสองพี่น้องตระกูลเอ๋า
“พวกท่านสองพี่น้องต้องการอะไร?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามอย่างสงสัย
เขาคือหนิงฮัวหลานชายคนที่ 13 ของหนิงเฉียวแม่ทัพในมณฑลเฉินหนาน เขาเป็นชายหนุ่มที่มีบุคลิกมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นและดูไร้ระเบียบ
สองพี่น้องตระกูลเอ๋าจ้องมองไปที่ลั่วอู๋
ลั่วอู๋รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อเขาถูกจับตามองโดยผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงถึงสองคน
“โอ้ นั่นมันคนจากตระกูลลั่วนี่นา” ทุกคนที่ติดตามสองพี่น้องตระกูลเอ๋าเข้าใจได้ในทันที
พวกเขารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลลั่วและตระกูลเอ๋า มันจึงไม่น่าแปลกใจที่สองพี่น้องตระกูลเอ๋าจะเข้าไปหาลั่วอู๋
ยิ่งด้วยที่ว่าเด็กน้อยคนนี้นั้นไม่มีชื่อเสียงอะไร แถมเขาก็ยังเข้ามาด้วยโควตาพิเศษซึ่งเป็นการแนะนำจากตระกูลลั่ว
เมื่อมองไปที่ฝูงชน ลั่วอู๋ก็รู้สึกอ่อนแอเล็กน้อย
“พวกเขาล้วนเป็นคนจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ แต่ทำไมพวกเขาไม่คิดจะผูกมิตรกับตระกูลลั่ว เพื่อสนับสนุนข้าบ้างล่ะ..” ลั่วอู๋รู้สึกเศร้า
ฉูจงฉวนหัวเราะเบา ๆ “ผู้คนที่เป็นมิตรกับตระกูลลั่ว ล้วนเป็นตระกูลของผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ ต่อหน้าตระกูลเอ๋าที่เก่งในด้านการต่อสู้ด้วยพลังวิญญาณ ใครมันจะกล้าแสดงตัวออกมาเล่า?”
ลั่วอู๋อยากจะดุด่า บรรพบุรุษของตระกูลลั่วในใจ
นี่มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเลย
แต่เขาก็ไม่น่าจะเป็นคนแรกที่ต้องมาฝืนทนอะไรแบบนี้
ถึงอย่างนั้นเขาจะหาทางออกจากปัญหานี้ไม่ได้เลยงั้นเหรอ?
ลั่วอู๋ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบมาก เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะมีคนสนับสนุนมากกว่าเขามากถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำ
คนพี่ของสองน้องตระกูลเอ๋า กล่าวด้วยเสียงอันเย็นชา “พวกข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าจะมาหาเจ้า แต่ไม่นึกเลยนะว่ามิติวิญญาณของเจ้าจะต่ำได้ถึงขนาดนี้ มันต่ำเกินไป เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติมากพอให้พวกเราท้าทาย”
อีกคนหนึ่งกล่าวเสริม “ได้โปรดไปฝึกฝนให้ถึงระดับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงโดยเร็วเถอะ จากนั้นก็มาหาพวกข้า และยอมรับความพ่ายแพ้ซึ่งเป็นชะตากรรมอันน่าเศร้าของเจ้าผู้มาจากตระกูลลั่ว”
พวกเขาพูดหยามหนักมาก
นี่มันระคายเคืองใจของลั่วอู๋เหลือเกิน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากกฎของสำนัก ไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีระดับมิติวิญญาณต่างกันเกินไปเข้ามาท้าทายกัน
พี่น้องตระกูลเอ๋า ที่อยู่ในระดับทอง หรือก็คือเป็นถึงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง จึงไม่สามารถลงมือกับลั่วอู๋ที่เป็นเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน มิติ 9 ได้ด้วยช่องว่างของระดับพลังที่ห่างกันเกินไป
พอพูดแบบนี้หลายคนก็หัวเราะหึ ๆ
อีกฝ่ายนั้นอ่อนแอเกินไป
ในฐานะตระกูลใหญ่ด้านการปรับแต่งพลังวิญญาณอย่าง ตระกูลลั่วเดิมทีก็แย่ในแง่ของประสิทธิภาพในการต่อสู้อยู่แล้ว
ดังนั้นพวกเขามักจะล้มเหลวอย่างน่าอนาถใน “การแข่งขัน”
ต่างจากตระกูลเอ๋า ซึ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในด้านพลังการต่อสู้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ายิ่งเป็นคนรุ่นนี้ที่มีผู้มีพรสวรรค์อันทรงพลังมากถึงสามคน ตระกูลลั่วจะสามารถต่อสู้ต่อต้านทำอะไรกับพวกเขาได้?
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านพี่เอ๋า คำพูดของท่านมันรุนแรงเกินไป พยายามไปให้ถึงระดับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง เพื่อมาพ่ายแพ้ให้กับพวกท่านงั้นเหรอ ฮะฮะฮะ” หนิงฮัวระเบิดเสียงหัวเราะ
หนิงฮัวหวีดหัวเราะต่อไปอย่างไม่สนใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลั่วอู๋เจ้าควรจะรีบ ๆ แพ้ไปเสียดีกว่ามิฉะนั้นเจ้าจะเสียเวลาฝึกฝนตนเองเพื่อถูกทุบตีอย่างหนัก มันช่างไร้ยางอายจริง ๆ บางทีเจ้าอาจจะพิการหรือต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับแต่งของเจ้าได้นะ ”
สิ่งนี้ทำให้หลายคนรอบตัวเขาหัวเราะ
พวกเขาล้วนเป็นพวกเดียวกันกับสองพี่น้องตระกูลเอ๋า ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางสนใจตระกูลลั่วอยู่แล้ว
เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุเช่นนี้ใบหน้าของลั่วอู๋ก็มืดมนลง
“แม้ตระกูลเอ๋าและตระกูลลั่วนั้นระหองระแหงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ข้าเคยยั่วยุเจ้างั้นหรือ?” ในดวงตาของลั่วอู๋แสดงถึงความเย็นชาและน้ำเสียงของเขาก็ไม่ค่อยดูดุร้าย “ชอบความขัดแย้งงั้นเหรอ ? พวกเจ้าจะได้เห็นมันแน่บนสังเวียนแห่งชีวิตและความตาย!”
สังเวียนแห่งชีวิตและความตาย เป็นการต่อสู้โดยไม่คำนึงถึงวิธีการจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตาย
มีเพียงไม่กี่คนที่จะกล้าเปิดใช้สังเวียนแห่งชีวิตและความตาย เพราะมันถูกลิขิตให้มีเพียงแค่ฝ่ายเดียวเท่านั้นที่จะเดินกลับลงไปได้
ถ้าลั่วอู๋เอาจริงและพยายามอย่างเต็มที่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง
ทุกคนต่างตกตะลึง
บางทีพวกเขาอาจจะไม่คาดคิดว่าปฏิกิริยาของลั่วอู๋จะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้
หลายคนเริ่มหวาดกลัวความรุนแรงอันบ้าคลั่งของเขา
แม้ว่าพวกเขาจะคิดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะลั่วอู๋ได้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะยอมรับคำท้าไปสู่สังเวียนแห่งชีวิตและความตายตามความต้องการของลั่วอู๋
ชีวิตนั้นมีค่า และไม่มีใครรู้ว่าข้างบนนั้นจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น