บทที่ 247
คำสัญญา
นี่คือเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิด
ใครจะไปคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
แต่ดูจากการแสดงออกของสองพี่น้องตระกูลเอ๋า ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้สัมผัสอารมณ์ของพวกเขาเลย
“แล้วมันยังไง?” สองพี่น้องตระกูลเอ๋านั้นยังใจเย็นมาก “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และพวกข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องการความช่วยเหลือจากใคร”
ลั่วอู๋ไม่ได้ขัดคำพูดของพวกเขา
เพราะมันเป็นเรื่องจริง.
มันไม่จำเป็นจะต้องให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างตระกูลของพวกเขา
“ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับฝึกฝนอย่างหนัก จนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงในเร็ววัน เพื่อที่เจ้าจะได้รับคำท้าทายของพวกข้าได้”
“พวกข้าไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าไหร่ แต่ถ้าพวกข้าไม่สามารถกำจัดลูกหลานของตระกูลลั่วได้โดยเร็ว เหล่าบรรพบุรุษของพวกข้าจะต้องไม่พอใจแน่”
“สำหรับอันดับคะแนนในสำนักเฉียนหลง” “เจ้าไม่มีทางเหนือไปกว่าชายคนนั้นได้ ดังนั้นพวกข้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าตระกูลเอ๋าจะแพ้ในการเดิมพันพนันของตระกูล”
ชายคนนั้น
แน่นอนว่ามันหมายถึงชายที่แม้แต่สองพี่น้องตระกูลเอ๋าอย่างพวกเขาก็ยังต้องเคารพ
เอ๋าเฉียนจุน
อัจฉริยะผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดทั่วทั้งอาณาจักร
เอ๋าเฉาและเอ๋าหยู่ ต่างก็เป็นสองพี่น้องที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่คุกเข่าลงเท่านั้น
ลั่วอู๋รู้สึกโกรธเกรี้ยวกับท่าทีของพวกเขาทั้งสอง
สำหรับเขาแล้วสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดไม่ใช่การยั่วยุและการถากถาง แต่เพิกเฉยต่อทัศนคติของเขาโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเหมือนกับการปฏิเสธตัวตนของเขา
สองพี่น้องตระกูลเอ๋าไม่ได้ต้องการที่จะประชดประชันเลยสักนิด
มันเหมือนกับว่านกอินทรีไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจนกกระจอก
หรือมังกรไม่จำเป็นจะต้องสนใจสัตว์เลื้อยคลาน
พวกเขาเพียงแค่พูดในสิ่งที่พวกเขาคิดจริงๆ เพราะในใจของพวกเขาลั่วอู๋คือตัวตนที่พวกเขาสามารถเอาชนะเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ “ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมคนในตระกูลลั่วถึงได้ตอบรับคำท้าทาย แม้จะรู้ตัวดีว่าพวกเขาสู้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังยอมขึ้นไปบนสังเวียนเพราะท่าทีแบบนี้นี่เอง”
มันทำให้ขุ่นเคืองจริงๆ
การฝึกฝนอย่างหนักมาโดยตลอด ก็เพื่อมาพ่ายแพ้ให้กับพวกเขางั้นเหรอ?
“ลั่วอู๋ใจเย็น ๆ ” ฉูจงฉวนสังเกตเห็นว่าท่าทางของลั่วอู๋ดูไม่ดีเท่าไหร่
แต่ลั่วอู๋ก็ไม่ได้สนใจ เขามองไปที่สองพี่น้องตระกูลเอ๋าอย่างเย็นชา “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าต้องรอนานแน่”
“ภายในหนึ่งเดือน ข้าจะขึ้นไปเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงและกลับมาท้าทายพวกเจ้า”
“และในตอนที่พวกเจ้าถูกข้าเหยียบย่ำ มันจะเป็นที่ชัดเจนว่ามีคนมากกว่าหนึ่งคนที่พวกเจ้าต้องก้มหัวให้แล้ว”
ทันทีที่เขากล่าวสุนทรพจน์นี้ผู้คนที่ฟังอยู่ต่างก็ลุกฮือ
คนของตระกูลลั่วกลายเป็นฝ่ายที่จะริเริ่มท้าทายตระกูลเอ๋าก่อนโดยไม่มีใครคาดคิด!
นี่เป็นข่าวที่น่าสนใจมาก
การต่อสู้ระหว่างสองตระกูลนั้น ไม่เคยมีทายาทตระกูลลั่วคนใดได้รับชัยชนะมาก่อน ในการต่อสู้อันยุติธรรม
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ลั่วอู๋พูดออกมา
มีคนมากกว่าหนึ่งคนที่พวกเจ้าต้องก้มหัวให้
อย่างที่ทราบกันดีว่ามีเพียงคนเดียวที่สองพี่น้องตระกูลเอ๋า จะชื่นชมและก้มหัวให้จริงๆนั่นคือ เอ๋าเฉียนจุนอัจฉริยะของตระกูลเอ๋า
ลั่วอู๋กล้าเปรียบตัวเองกับเอ๋าเฉียนจุน
ช่างหยิ่งยโสโอหัง
การพูดแบบนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการดูถูกตระกูลเอ๋า
“ได้ พวกข้าจะรอเจ้า”
“หลังจากนั้นหนึ่งเดือนจะไม่มีตระกูลลั่วในสำนักเฉียนหลงอีกต่อไป”
สองพี่น้องตระกูลเอ๋าทิ้งคำพูดเอาไว้ จากนั้นก็เดินจากไป
……
……
หนึ่งเดือนต่อจากนี้สองพี่น้องตระกูลเอ๋า จะดวลกับลูกหลานของตระกูลลั่ว
ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วสำนักชั้นใน
ทุกคนคิดว่าลั่วอู๋นั้นบ้าไปแล้วที่กล้าไปท้าทายริเริ่มการต่อสู้ ทั้งที่เขาอยู่ในตำแหน่งที่ยังด้อยกว่าอีกฝ่ายมาก
แม้ในบางครั้งตระกูลลั่วอาจจะมีคะแนนแซงหน้าตระกูลเอ๋าในสำนักเฉียนหลง แต่พวกเขาก็ไม่เคยชนะในการดวลกันซึ่ง ๆ หน้า ได้แต่พ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตระกูลเอ๋านั้นแข็งแกร่งในด้านการต่อสู้จริง ๆ
“ข้าคิดว่าเจ้าบ้าไปแล้ว เจ้าคงไม่คิดจะไปดวลกับพวกมันจริง ๆ ใช่ไหม?” ฉูจงฉวนโกรธมาก “ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่อนุญาตให้ฆ่าผู้คนบนสังเวียนการแข่งขัน แต่มันก็ยังมีวิธีอีกนับไม่ถ้วนที่จะกำจัดศัตรูนะ”
“ข้าก็แค่ ไม่แพ้ก็พอนี่” ลั่วอู๋พูด
“ไม่ว่าจะเป็นมิติวิญญาณ หรือทักษะในการต่อสู้ หรือแม้แต่จำนวนสัตว์วิญญาณ เจ้าก็เสียเปรียบพวกเขา เจ้าจะเอาอะไรไปชนะได้กัน?” ฉูจงฉวนพูดอย่างหงุดหงิด
ชื่อของสองพี่น้องตระกูลเอ๋า นั้นไม่ได้โด่งดังถึงขนาดที่รู้กับทั่วทั้งทวีป แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงอยู่มาก
ลั่วอู๋หัวเราะ “ข้ายังมีไพ่ตายซ่อนอยู่”
“ไอ้ไพ่ตายที่เจ้าว่า มันคืออะไร ถึงทำให้เจ้ามีความมั่นใจได้ขนาดนี้” ฉูจงฉวนกลอกตาสีขาว “ลืมมันไปเถอะ ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว”
“ถ้าข้าจะเอาเวลาไปกังวลเกี่ยวกับเจ้า สู้เอาเวลาไปทำความคุ้นเคยกับสำนักชั้นในน่าจะดีกว่า น่าเสียดายตอนนี้ยังไม่มีที่ให้ข้าพักผ่อนในสำนักเฉียนหลงชั้นในด้วยซ้ำ” ฉูจงฉวนเสียใจมาก
แน่นอนว่าลั่วอู๋รู้ว่าเขาควรพักที่ไหน
ลั่วอู๋กล่าว “เจ้ายังไม่สามารถหาคู่หูที่ไว้ใจได้ใช่ไหมล่ะ ถึงพวกเราจะสนับสนุนซึ่งกันและกันได้แต่ มันคงไม่ดีนักสำหรับพวกเราที่จะฝึกฝนด้วยกันเท่าไหร่”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอกน่า เจ้าไม่มีวันเข้าใจ” ฉูจงฉวนมองไปที่ลั่วอู๋ อย่างน่าสงสาร จากนั้นก็หันไปทางอื่น ด้วยท่าทีที่อธิบายได้ยาก
เรื่องนี้ลั่วอู๋ทำได้เพียงแค่กลอกตา
ที่พักของฉูจงฉวน อยู่ใกล้ ๆ กันกับเขา ส่วนหลี่หยินนั้นอาศัยอยู่ร่วมกันในที่พักของลั่วอู๋
ดูเหมือนว่าทางหลี่หยินจะไม่กังวลเท่าไหร่ นั่นก็เพราะถ้านายน้อยของนางบอกว่าเขาจะชนะ เขาก็จะชนะ นางจึงไม่จำเป็นต้องกังวล
ในคืนนั้น เฉินหมิงหยู่ได้เข้ามาเยี่ยมลั่วอู๋
“ท่านอาจารย์ นัดท้าดวลกับสองพี่น้องตระกูลเอ๋าอย่างนั้นเหรอ?” เฉินหมิงหยู่เข้าประเด็นในทันที
ลั่วอู๋พยักหน้า “ใช่แล้ว”
มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เฉินหมิงหยู่ไม่ได้มองพฤติกรรมของลั่วอู๋ในแง่ดีอยู่แล้ว
“ท่านอาจารย์ ท่านบ้าไปแล้วด้วยระดับการปรับแต่งของท่าน มันเป็นแน่นอนอยู่แล้วว่าคะแนนของท่านจะสามารถชนะตระกูลเอ๋าได้ในตารางคะแนนของสำนักเฉียนหลง จากนั้นตระกูลของท่านก็จะชนะพนัน แล้วทำไมท่านต้องลำบากไปสู้ในการดวลที่ไม่มีทางชนะด้วยล่ะ?” เฉินหมิงหยู่โกรธเล็กน้อย
ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูก
ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง ก็คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะชนะ
ตอนนี้สู้เปลี่ยนเรื่องคุยก่อนยังจะดีกว่า
“การพนัน ? เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? เจ้าพูดเหมือนกับพี่น้องตระกูลเอ๋าเลยนะ” ลั่วอู๋ถาม
เฉินหมิงหยู่ไม่เข้าใจ “ท่านไม่รู้เหรอว่าทั้งสองตระกูลมีการวางพนันกันไว้เกี่ยวกับอันดับคะแนนในสำนักเฉียนหลง เพื่อกำหนดความเป็นเจ้าของวิชาคลื่นพลังวิญญาณน่ะ”
แววตาของลั่วอู๋เต็มไปด้วยความแค้น
ลั่วไป่เหาไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่มันมากเกินไปแล้ว
เฉินหมิงหยู่ดูเหมือนจะต้องการช่วยลั่วอู๋ แต่มันเป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูล นางจึงไม่สามารถช่วยเขาได้
“ให้ข้ายืมวิหคกระจกเงาอมตะของเจ้าสักสองสามวันได้ไหม?”
ลั่วอู๋ขอยืมวิหคกระจกเงาอมตะอีกครั้ง ซึ่งทันทีที่มันรู้ว่าถูกยืมตัวมาอีกรอบ มันก็ดูกระสับกระส่ายและสลดใจ มันรู้ดีว่ามันจะถูกสูบเลือดออกมาอีกครั้ง
ข้างในมิติไห
ลั่วอู๋มอบเลือดของวิหคกระจกเงาอมตะให้กับผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ
ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะนั้นตื่นเต้นมาก แต่แทนที่มันจะดื่มเลือดของวิหคกระจกเงาอมตะ มันกลับจะกระเซ็นเลือดชโลมไปที่ปีก ซึ่งเป็นส่วนที่ปล่อยเปลวไฟอันร้อนแรง
ทันใดนั้นปีกของมันก็ลุกเป็นไฟ
ลมปราณของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระเบียบ มันไม่มีสถานะอันไม่มั่นคงอีกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าศักยภาพของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะได้รับการปรับปรุงขึ้นมาแล้ว
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
เลือดของวิหคกระจกเงาอมตะนั้นมีประโยชน์จริง ๆ
มิติวิญญาณของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะได้รับการเลื่อนระดับเงิน มิติ 10
อย่างไรก็ตามหลังจากดูดซับไปเพียงครั้งเดียวผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ ก็บอกว่ามันไม่ต้องการเลือดของวิหคกระจกเงาอมตะอีกต่อไป เพราะพลังของนกอมตะที่มีอยู่ในนั้นมันน้อยเกินไปที่จะปรับปรุงศักยภาพของมันแล้ว
ถึงจะน่าเสียดาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก