บทที่ 249
จางฉีฮง
มู่ฉิงกำลังรออย่างใจจดใจจ่ออยู่นอกห้องลับ
นางทำงานหนักมากเพื่อภูตสงครามตัวนี้ ถึงขั้นที่ภูตสงครามสามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นระดับเพชรได้ภายใต้เงื่อนไขของพลังวิญญาณในเลือดที่จำกัด
นางได้ทำพันธสัญญาและผูกพันกับภูตสงครามตัวนี้มาก
แม้ว่านางจะสามารถยกเลิกพันธสัญญากับภูตสงครามได้ แต่นางก็จะสูญเสียสัตว์วิญญาณตัวนี้ไปตลอดกาล
ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความรู้สึก นางก็ต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของนางให้กับภูตสงครามเพื่อช่วยให้มันได้พัฒนา
แต่นางรู้สึกเหนื่อยกับมันจริง ๆ
แม้ว่ามันจะพัฒนามาได้ถึงระดับนี้แต่ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของมัน ก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดในบรรดาสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งในระดับมิติวิญญาณเดียวกัน
“อืม ดีมากจริง ๆ”
ประตูด้านนอกคฤหาสน์ถูกเคาะ
มู่ฉิงเดินไปเปิดประตู
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกประตูคือผู้ชายที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยสามสิบ ทั้งสง่างามและมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน เขาถือช่อดอกไม้ไว้ในมือ
“มู่ฉิง … ” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ประจบสอพลอเล็กน้อย
มู่ฉิงตอบกลับด้วยความเย็นชา “จางฉีฮง ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าเราขาดกันแล้ว โปรดอย่ามาหาข้าอีก”
จากนั้นนางก็ปิดประตูดัง ปัง
จางฉีฮงรีบเอาตัวไปขัดประตูไว้ “มู่ฉิง เป็นความผิดของข้าเอง ข้าจะไม่ทำให้เจ้าโกรธอีก ได้โปรดให้ข้าเข้าไปเถอะ”
“ผิดงั้นเหรอ เจ้าทำผิดอะไร?” มู่ฉิงเย้ยหยัน
จางฉีฮงหน้าซีดเซียวลง
ทันใดนั้นมีเหงื่อเย็นไหลลงที่หน้าผากของเขา
มู่ฉิงทำหน้าบึ้งตึง “ เจ้ามันก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ เห็นการปรับแต่งสำคัญกว่าข้าเสมอ เจ้าเก็บตัวศึกษามาตั้งหลายเดือนโดยไม่สนใจข้าสักนิด เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าถูกสายฟ้าแผดเผาจนบาดเจ็บสาหัสไปหลายเดือน เพื่อช่วยภูตสงครามตามหาขนนกแห่งแสงในการยกระดับมิติวิญญาณของมัน”
จางฉีฮงตกตะลึง “เจ้าพบขนนกแห่งแสงแล้วงั้นเหรอ ? เจ้าช่วยให้ภูตสงครามยกระดับมิติวิญญาณสำเร็จรึเปล่า?”
“ออกไปจากที่นี่ซะ!” มือของมู่ฉิงสั่น
ทั้งที่นางเกือบจะเสียชีวิต แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ
เขากลับสนใจเกี่ยวกับขนนกแห่งแสง
“เดี๋ยว ฟังข้าก่อน ไม่ใช่ว่าข้าไม่สนใจเจ้านะ” จางฉีฮงยืนพิงประตูอย่างน่าสมเพชและพยายามไม่ให้ตัวเองถูกกีดกันออกไปด้านนอก เขาร้องออกมา “ข้าขอโทษ! ข้าเพิ่งค้นพบวิธีที่จะช่วยยกระดับมิติวิญญาณให้ภูตสงคราม ดังนั้นข้าจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อข้าได้ยินว่าภูตสงครามได้รับการยกระดับมิติวิญญาณ”
มู่ฉิงหยุดมือของนางแล้วถามอย่างสงสัย “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าบอกว่าการจะทำให้ภูตสงครามยกระดับวิญญาณได้มีเพียงแค่อาศัยขนนกแห่งแสงเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?”
“นั้นมันก็จริงอยู่” จางฉีฮงกล่าวอย่างรีบร้อน “แต่ข้าได้ใช้เวลาศึกษามาร่วมหลายเดือน เพื่อคิดอีกวิธีขึ้นมา ทำให้เจ้าประหลาดใจ”
มู่ฉิงตกตะลึง “เจ้ากำลังหาทางช่วยภูตสงครามยกระดับวิญญาณให้ข้าและไปศึกษาค้นคว้าหาวิธียกระดับมา แต่ด้วยที่อยากให้ข้าประหลาดใจ เจ้าจึงปิดปากเงียบมานานขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?”
“แน่นอนสิ” จางฉีฮงรีบเข้ามาจากช่องที่เปิดอยู่ของประตู “เพราะภูตสงครามนั้นเป็นดั่งพยานในความรักของสองเรา”
ภูตสงครามเป็นของขวัญจากจางฉีฮงถึงมู่ฉิง
เพราะเขารู้ว่ามู่ฉิงชอบภูตสงคราม จางฉีฮงจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามหาภูตสงครามและใช้มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก
ใบหน้าของมู่ฉิงแดงและถ่มน้ำลายด้วยความโกรธ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่ทำพันธสัญญากับมัน มันเปล่งแสงสีม่วงและดูไม่ดีเอาซะเลย”
“สีม่วงนั่นมันออกจะสวย มันเป็นเอกลักษณ์จะตายไป” จางฉีฮงพึมพำ
เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นข้อเสีย
ทันทีที่เขาพูดแบบนั้นออกมา มู่ฉิงก็โกรธมาก
มู่ฉิงใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าอกของจางฉีฮงอย่างรุนแรง “เจ้าโง่ เจ้ารู้ไหมว่าข้าทุกข์ยากเพียงใดเพราะการกลายพันธุ์นี้ คะแนนเกือบทั้งหมดของข้าล้วนใช้ไปกับการปรับแต่งและยกระดับภูตสงคราม”
จางฉีฮงยิ้มอย่างขมขื่นและเอามือปิดที่หน้าอกของเขา
แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้ดี
“มู่ฉิงเชื่อข้าเถอะ ว่าสักวันข้าจะหาทางปลดปล่อยพลังวิญญาณในเลือดของมันออกมาให้ได้” จางฉีฮงจับมือของมู่ฉิงและพูดด้วยความรัก
มู่ฉิงสบถ “อย่ามาทำเป็นโอ้อวด ให้ข้าไขว้เขว ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้ายังโกรธอยู่ มันยังไม่จบง่าย ๆ หรอกนะ”
“ข้ารู้ ข้ารู้” จางฉีฮงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าพลังวิญญาณของ มู่ฉิงหายไปมากจากความเหนื่อยล้า
“ว่าแต่ภูตสงครามอยู่ที่ไหน ? ข้าจะเป็นคนตรวจสอบมันให้เอง” จางฉีฮงกล่าว
มู่ฉิงตอบเขาไปว่า “หลังจากที่ภูตสงครามได้รับการยกระดับมิติวิญญาณเป็นระดับเพชร มันก็ยังมีทักษะที่ขาดหายไปหลายอย่าง ข้าจึงไปขอให้ผู้ปรับแต่งช่วยข้า”
“ทำไมเจ้าไม่มาหาข้าล่ะ ?”
“สำหรับเจ้า ข้ากลัวว่าจะเผลอพลั้งมือฆ่าเจ้า เลยไม่ได้ไปหาน่ะ”
จางฉีฮงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
“แล้วผู้ปรับแต่งคนนั้นเป็นใครกันล่ะ ? คนของสำนักย่อยการปรับแต่งงั้นเหรอ ? ข้าจะไปคุยกับเขาและขอส่วนลดให้กับเจ้า” จางฉีฮงกล่าว
มู่ฉิงส่ายหัว “เขาไม่ใช่คนของสำนักย่อยการปรับแต่ง ข้าไม่สามารถไปจ้างปรมาจารย์เหล่านั้น ข้าติดต่อเขามาจากประกาศของห้องโถงหวันฝา ดูเหมือนกับหนึ่งในนักเรียนของรุ่นปัจจุบัน”
“นักเรียนงั้นเหรอ!” สีหน้าของจางฉีฮงเปลี่ยนไป “สถานการณ์ของภูตสงครามตอนนี้นั้นเป็นเรื่องพิเศษ มีเพียงผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับสูงเท่านั้นที่จะสามารถปรับแต่งมันได้ ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เกิดอะไรผิดปกติขึ้นแน่!”
“ทำไมไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้ล่ะ” มู่ฉิงอุทาน
จางฉีฮงหัวเราะเบา ๆ “ข้าคิดว่าในอนาคตข้าจะต้องเป็นคนปรับแต่งมันอย่างแน่นอน อีกทั้งเจ้ายังรู้จักผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับสูงดี ๆ อยู่มาก ดังนั้นข้าจึงไม่ได้พูดไป”
ไม่ดีแล้ว
ความคิดนี้แวบผ่านเข้ามาในความคิดของพวกเขาพร้อม ๆ กัน
มู่ฉิงรีบวิ่งไปยังห้องลับโดยมีจางฉีฮงตามมา
ทันใดนั้นประตูของห้องลับก็เปิดออก
ลั่วอู๋เดินออกมาอย่างสบาย ๆ ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ “เฮ้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าปรับแต่งมันเสร็จแล้วน่ะ?”
“ ไม่นะ เจ้าปรับแต่งมันลงไปแล้วเหรอ…” จู่ๆ จางฉีฮงก็ล้มลงทรุดลง “เจ้าทำอะไรกับมันไปแล้วบ้าง?”
“แน่นอนว่าข้าช่วยให้มันได้เรียนรู้ทักษะเพิ่มเติม แต่มันมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นนิดหน่อย พวกเจ้าต้องทำใจให้พร้อมนะ”
มู่ฉิงรู้สึกวิงเวียนศีรษะ
นี่มันต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่
มีบางอย่างเกิดขึ้นกับภูตสงคราม!
“เจ้าหนุ่มถ้าภูตสงครามมีปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ละก็ ข้าคงต้องร้องขอให้รองเจ้าสำนักไล่เจ้าออก!” จางฉีฮงคำราม
ลั่วอู๋งงงวยอยู่พักหนึ่ง “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าเป็นคนรักของมู่ฉิง! จางฉีฮงปรมาจารย์จากตระกูลจาง และยังเป็นอาจารย์พิเศษระดับสูงของสำนักเฉียนหลงและผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับสูงอีกด้วย!” จางฉีฮงตะโกน
ใบหน้าของลั่วอู๋เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา
เขาทำอะไรไม่ดีลงไปรึเปล่า?
ชายคนนี้ดูกังวลและโกรธเกรี้ยวมาก
มู่ฉิงพูดอย่างประหม่า “ภ…ภูตสงคราม”
“รอสักครู่” ลั่วอู๋ปล่อยภูตสงครามออกมาจากไหปีศาจ
ทันใดนั้นแสงสีขาวพราวก็ปกคลุมไปทั่วทั้งคฤหาสน์
ตอนนี้ภูตสงครามนั้นอยู่ในโหมดต่อสู้
ปีกของภูตสงครามนั้นกลายเป็นหกปีกและกระบี่แสงในมือของมันก็เต็มไปด้วยประกายแห่งการทำลายล้าง มันมีชุดเกราะสีทองงดงามอันเคร่งขรึมภายใต้เงาของแสงศักดิ์สิทธิ์
ราวกับความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายทุกอย่าง
พลังวิญญาณที่ถูกจำกัดอยู่ในเลือด ในที่สุดก็กลับมาเดือดพล่านตามปกติ
ลมปราณอันน่ากลัวของภูตสงครามแผ่ออกมาอย่างห้าวหาญราวกับจะล้างบางความมืดทั้งหมดออกไป
“นี่คือภูตสงครามของข้าอย่างนั้นเหรอ ?” ดวงตาของมู่ฉิงแสดงถึงความตกใจ
ลั่วอู๋พยักหน้า “ใช่ ข้าต้องขออภัยด้วย มันมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่สัตว์วิญญาณกลายพันธุ์อีกต่อไปแล้ว”
การกลายพันธุ์ถูกกำจัดออก
มันได้กลายเป็นภูตสงครามธรรมดา
ภูตสงครามที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าในการต่อสู้ และพลังวิญญาณในเลือดมีการไหลเวียนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลาและจะไม่มีวันลดลง เรียกได้ว่าเป็นภูตสงครามที่เกิดมาเพื่อการต่อสู้โดยแท้จริง
มู่ฉิงเช็ดมุมตาแล้วหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตัน
นี่คือภูตสงครามของนางจริง ๆ