บทที่ 264 เลื่อนขั้นสู่การเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง
บทที่ 264 เลื่อนขั้นสู่การเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง
ในมิติไห
หลังจากฝึกฝนมาระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่ลั่วอู๋ได้รับนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ทักษะในการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมั่นใจในการควบคุมสถานการณ์ของตัวเขาเองอีกด้วย
เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมและพลังวิญญาณของเขาก็กำลังอยู่ในจุดที่ดีที่สุด
พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านอยู่ในเส้นวงจรพลังวิญญาณ ดูเหมือนจะเริ่มส่งผลกระทบต่อระบบและขนาดของเส้นวงจรวิญญาณ พวกมันต้องการพื้นที่ในการไหลเวียนมากขึ้น
ดวงตาของลั่วอู๋เต็มไปด้วยความเข้าใจในแก่นแท้ เขาไม่ลังเลที่จะกลืนยาระดับ 6 ที่ได้เตรียมเอาไว้ – เทียนหยวนหนิงลิน
“ตูม”
พลังวิญญาณในร่างกายดูเหมือนจะถูกระเบิดออกโดยบางสิ่งบางอย่าง กลายเป็นภูเขาไฟปะทุขึ้นไปอย่างกะทันหัน แม้แต่เลือดของเขาเริ่มเดือดพล่าน
ลั่วอู๋ไม่ได้เศร้าหรือมีความสุข เขารู้สึกเพียงแค่ว่าสภาพของร่างกายของเขากำลังมีสภาพเป็นอย่างไร ด้วยความสงบนิ่ง
เขามองเห็นดวงดาวทั้งเจ็ดดวงในทะเลแห่งพลังวิญญาณ ดวงดาวสว่างสองดวงที่ลอยอยู่เหนือทะเลกำลังส่องแสงและดวงที่สามก็กำลังลอยขึ้นอย่างช้า ๆ
สะพานแห่งพันธสัญญาอันลึกลับค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ และรวมเป็นดาวดวงที่สาม
ทันใดนั้นความคิดมากมายก็หลั่งไหลเข้ามา
ลั่วอู๋คว้าไปหยิบดวงดาวอันแวววาวมา
ร่างกายของเขาเริ่มอาบด้วยแสงสีทองเช่นเดียวกับพระอรหันต์ที่กำลังทำสมาธิ
ในขณะนี้หัวใจของเขาค่อย ๆ สงบลง
ความคิดอื่น ๆ ถูกกระจายหายออกไป เหลือเพียงแค่ความคิดเกี่ยวกับพลังวิญญาณระหว่างสวรรค์และโลก ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นรูปร่างที่เขาคุ้นเคยนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้เขาได้เริ่มมีความเข้าใจอย่างลึกลับและไม่สามารถอธิบายได้
“ตูม”
กลิ่นอายของมิติไหดูร้อนรน
ออร่าพลังวิญญาณต่าง ๆ ถูกดึงดูดโดยบางสิ่ง พวกมันเริ่มพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นกระแสพลังวิญญาณขนาดใหญ่ พลังวิญญาณต่างมารวมตัวกัน
ต้าหวงและผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะต่างก็รู้สึกได้ถึงสภาพของลั่วอู๋ พวกมันจึงแสดงท่าทีเป็นห่วง
พลังวิญญาณนั้นหลั่งไหลเข้ามาที่ลั่วอู๋
“แกรก”
เส้นวงจรพลังวิญญาณเริ่มปริแตก
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกายของลั่วอู๋ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะในวันนี้เขารู้สึกเจ็บปวดมากเกินจนผิดปกติ
ในที่สุดเส้นวงจรพลังวิญญาณก็แตกสลาย แต่ด้วยการเพิ่มขึ้นของพลังวิญญาณ พวกมันเริ่มสร้างเส้นวงจรพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมขึ้นมาใหม่
เสาไฟสีขาวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นลั่วอู๋ก็ลืมตาขึ้น พลังวิญญาณในร่างกายของเขาปั่นป่วน ออร่าพลังวิญญาณถูกแผ่ออกมากว้างใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในทะเลแห่งพลังวิญญาณของเขามีแสงส่องสว่างขึ้นมา เขาต้องใช้เวลานานกว่าจะสัมผัสได้ถึงแสงแห่งพลังวิญญาณ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดของการเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง
นี่หมายความว่าเขาจะสามารถสื่อสารกับสวรรค์และผืนปฐพีได้ ทำให้สามารถยอมรับพลังแห่งพันธสัญญาในร่างกายของตัวเขาเองได้อย่างเต็มที่
“ฟู่ … ”
ลั่วอู๋ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
การพัฒนายกระดับมิติวิญญาณได้สิ้นสุดลงแล้ว
นี่คือความรู้สึกของการก้าวขึ้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทอง อันที่จริงในแง่ของคุณภาพและปริมาณของพลังวิญญาณ เขายังเทียบไม่ได้กับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงซะทีเดียว
ต้าหวงและผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ สัมผัสได้ถึงความก้าวหน้าทางมิติวิญญาณของลั่วอู๋ พวกมันวิ่งไปรอบ ๆ ลั่วอู๋ อย่างตื่นเต้นและแสดงอารมณ์ที่มีความสุข
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้มิติวิญญาณของพวกเราเท่าเทียมกันแล้ว” ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลั่วอู๋รู้สึกได้ว่าพลังของต้าหวงและผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาได้ ทักษะความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างมนุษย์และสัตว์วิญญาณสามารถถูกใช้เพียงแค่ใจนึก
อย่างไรก็ตามสภาวะดังกล่าวต้องใช้พลังวิญญาณอย่างมากในการรักษาสถานะอันแข็งแกร่งนั้นไว้ ลั่วอู๋ประเมินไว้คร่าว ๆ ว่าเขาสามารถรักษาสถานะนั้นไว้ได้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง และถ้าหากเขาใช้ทักษะที่มีค่าใช้จ่ายพลังวิญญาณมากระยะเวลาก็จะสั้นลงไปอีก
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงจะไม่ใช้ทักษะการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณอย่างพร่ำเพรื่อ
ลั่วอู๋กำลังปรับความรู้สึกของตัวเองให้เข้ากับสภาพของเขาในปัจจุบัน ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกบ้านดังขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นของหลี่หยิน
“เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วอู๋ออกจากมิติไหและเปิดประตู
หลี่หยินสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลั่วอู๋และประหลาดใจ “นายน้อย ท่านสามารถก้าวข้ามมิติวิญญาณได้แล้วงั้นเหรอเจ้าคะ?
“ใช่แล้ว” ลั่วอู๋ตอบด้วยรอยยิ้ม “เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าถึงรีบเคาะประตูกัน”
หลี่หยินหยินคิดได้ถึงเรื่องสำคัญที่จะมาแจ้งแล้วพูดอย่างรีบร้อน “นายน้อย ข้าได้ยินข่าวมาว่า ฉูจงฉวนกำลังท้าทายสองพี่น้องตระกูลเอ๋าเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
เหตุใดฉูจงฉวนถึงได้ไปท้าทายสองพี่น้องตระกูลเอ๋า
แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็เข้าใจ
ลั่วอู๋เหลือเวลาเพียงสามวันเท่านั้น ก่อนที่เขาจะต้องต่อสู้กับสองพี่น้องตระกูลเอ๋า
ชั่วขณะหนึ่งลั่วอู๋ไม่รู้ว่าเขาควรจะขยับตัวหรือรอดี
“รอข้าด้วยสิ” ลั่วอู๋กลับไปที่มิติไหอย่างรวดเร็ว เพื่อเข้าไปหาอสูรแห่งความวุ่นวาย เขาเริ่มทำพันธสัญญากับมันในทันที
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองสามารถทำพันธสัญญากับ สัตว์วิญญาณที่มีศักยภาพสูงสุดถึงระดับเพชรได้
แต่อสูรแห่งความวุ่นวายนั้นไม่มีระดับศักยภาพปรากฏอยู่ มันจะประสบความสำเร็จไหม เขาก็ไม่อาจรู้
แต่เขาก็หวังว่ามันจะสำเร็จ
ทันใดนั้นแสงแห่งพันธสัญญา ได้ห่อหุ้มลั่วอู๋และอสูรแห่งความวุ่นวาย สะพานพันธสัญญาระหว่างพวกเขาถูกสร้างขึ้นมาอย่างราบรื่นมาก
นั่นก็เพราะลั่วอู๋เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับอสูรแห่งความวุ่นวายมากที่สุด มันจึงไม่มีการปฏิเสธหรือต่อต้านพันธสัญญา ใด ๆ
การทำพันธสัญญาสำเร็จได้ด้วยดี
ลั่วอู๋ได้รับสัตว์วิญญาณคู่พันธสัญญาตัวที่สามของเขาแล้ว
“สองพี่น้องตระกูลเอ๋า ถ้าพวกแกทำร้ายฉูจงฉวนละก็ … ” ดวงตาของลั่วอู๋แสดงให้เห็นถึงจิตสังหารอันดุร้าย เขาและหลี่หยินรีบตรงไปที่เวทีการประลอง
……
……
เวทีการประลองตั้งอยู่กลางสนามในสำนักเฉียนหลง
หากสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้บนลานประลองได้ ก็จะได้รับคะแนนไป แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือในรายชื่ออันดับของสำนักเฉียนหลงฝ่ายตรงข้ามผู้ท้าชิงจะต้องมีอันดับสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เหล่านักเรียนใหม่ยังไม่มีเวลาได้เข้าร่วมการทดสอบต่าง ๆ และรับคะแนนการประเมิน พวกเขาส่วนมากจึงอยู่ด้านล่างสุดของรายชื่อ
ดังนั้นเวทีการประลองจึงค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงไม่กี่คนที่จะเข้ามาประลองกันที่นี่ผู้ชมเองก็เลยลดลงไปเช่นกัน
ทว่าในวันนี้มีกลับผู้คนจำนวนมากยืนอยู่ดูรอบ ๆ เวทีการประลอง เพราะในวันนี้มันถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก
บนเวทีฉูจงฉวนจากมณฑลหมิงหนานได้ท้าทายเอ๋าเฉาสองพี่น้องตระกูลเอ๋า
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีปัญหาอะไรกัน
ลือกันว่าฉูจงฉวนเป็นฝ่ายริเริ่มท้าทายพวกเขาก่อน โดยสองพี่น้องตระกูลเอ๋านั้นต่างก็เป็นผู้ที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูง พวกเขาจึงยอมรับคำท้าทาย
[สวรรค์ล่มวิญญาณ]
บนเวทีการประลองมือขวาของฉูจงฉวน ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังไฟวิญญาณสีเขียวเข้ม ลูกไฟนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ราวกับว่าเป็นอุกกาบาตนับไม่ถ้วน
การโจมตีนั้นทรงพลังมากจนพื้นระเบิด
เอ๋าเฉาไม่มีท่าทางรีบร้อนอะไรเลย เขาเปิดใช้ทักษะการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ สัตว์วิญญาณทั้งสามเข้าสู่ร่างกายของเขากลายเป็นเงาเสมือนสามเงา
เสือสีชาด ยักษ์ภูเขา เนตรทรราชชั่วร้าย
ในฐานะคนของตระกูลเอ๋า เขามีวิธีที่จะยกระดับสัตว์วิญญาณตัวแรกของเขา เสือสีชาดที่มีศักยภาพระดับเงินให้เป็นศักยภาพระดับทอง ทำให้สัตว์วิญญาณทั้งสามของเขาต่างก็เป็นระดับทอง
และเมื่อพวกมันได้รวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว ลมปราณของเอ๋าเฉาก็พุ่งสูงขึ้น เขาคำรามออกมาในความว่างเปล่า อากาศที่ปั่นปวนรอบตัวเขา ทำให้ลูกไฟวิญญาณที่ตกลงมา ถูกปัดกระจัดกระจายออกไป
ทักษะระดับ B [กระแสปั่นป่วน]
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ทักษะระดับ B แต่ด้วยพลังวิญญาณมหาศาลที่เขามี พลังของมันจึงมีผลป้องกันดีจนน่าทึ่ง
คงไม่มีใครคาดคิดว่าทักษะนี้สามารถใช้เป็นโล่ได้มาก่อนแน่ ๆ
“นั่นคือทักษะทั้งหมดที่เจ้ามีแล้วรึไง ? ข้ายังไม่ได้ใช้พลังแม้แต่หนึ่งในสิบของข้าเลยนะ” เอ๋าเฉาพูดอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ดวงตาของเหล่านักเรียนคนอื่น ๆ ที่มองดูอยู่ต่างกะพริบตาด้วยความแปลกใจ
ปากของฉูจงฉวนแสยะขึ้น
นี่มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น
เขาใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ จากนั้นร่างของหญิงสาวสองคนก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังฉูจงฉวน คนหนึ่งดูสง่างาม ส่วนอีกคนดูน่ารักน่าเอ็นดูแตกต่างกันมาก
ฉากนี้ทำให้ทั่วสนามประลองเกิดความปั่นป่วน
“สัตว์วิญญาณของชายคนนี้เป็นรูปร่างมนุษย์ทั้งหมดงั้นเหรอ ?”
“พวกมันไม่เพียงแต่อยู่ในร่างมนุษย์เท่านั้น แต่พวกมันยังอยู่ในรูปแบบของมนุษย์ผู้หญิงอีกด้วย”
“ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน เจ้าโรคจิตคนนี้”
ฉูจงฉวนเริ่มใช้ทักษะระดับ A [ร่างแยกเพลิง] โดยไม่สนใจมุมมองของคนภายนอก
ร่างของเขาหายไปโดยทิ้งเพียงเงาเปลวไฟเอาไว้
“เจ้าคิดว่าทักษะนี้จะทำให้เจ้าได้เปรียบงั้นเหรอ?” เอ๋าเฉายังคงไม่รีบร้อน เขาหันศีรษะและหันมือของเขาไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่และทุ่มมันลงบนพื้น
เขาคาดการณ์ตำแหน่งของฉูจงฉวนไว้ล่วงหน้า
พื้นแตกออก ส่งผลให้เศษหินกระเด็นไปทั่ว
เอ๋าเฉาจ้องไปที่เป้าหมายของเขา แต่เขากลับเห็นว่าสิ่งที่ถูกโจมตีนั้นเป็นเพียงแค่ร่างแยกเพลิง
“อะไรกัน! ร่างแยกเพลิงสองชั้นงั้นเหรอ ?” ความตกใจเล็กน้อยปรากฏขึ้นในดวงตาของเอ๋าเฉา
นี่มันคือการควบคุมทักษะแบบไหนกัน?
ฉูจงฉวนได้ใช้ทักษะนี้ เพื่อรบกวนการโจมตีและหาโอกาสโต้กลับ
“มันไม่ดีที่จะว่อกแว่กนะ”
เสียงขี้เล่นของฉูจงฉวนดังขึ้นอย่างสบาย ๆ
ฉูจงฉวนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศด้านบนศีรษะของเอ๋าเฉา มือของเขามีลูกไฟสีเขียวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวอย่างอธิบายไม่ถูก
ทักษะระดับ S [ไฟแห่งความว่างเปล่า]
เปลวไฟที่สามารถเผาผลาญแก่นวิญญาณได้ถูกยิงออกไป