บทที่ 268 มาสู้กัน
บทที่ 268 มาสู้กัน
เวลาสามวันผ่านไปในพริบตา
ในที่สุดวันแห่งสัญญาก็มาถึง
เวทีการประลองมีชีวิตชีวามากในวันนี้ เหล่านักเรียนจำนวนมากที่ได้ไปฝึกฝนมาอย่างหนักต่างก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
หนานกงหยิงเอ๋อ, ทัวป๋าเจียฉี, เฉินหมิงหยู, ลูกหลานหลายคนของตระกูลจี๋อี๋, เหวินเสี่ยว และเหล่าลูกหลานผู้ใช้พลังวิญญาณจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ ฯลฯ
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่เอ๋าเฉียนจุน ผู้มีพรสวรรค์ตัวจริงของตระกูลเอ๋า ยังคงไม่ปรากฏตัวออกมา เขายังคงเก็บตัวฝึกฝนอยู่บนยอดเขาสูงสุดที่เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ
อาจารย์หลายคนเองก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นอดีตนักเรียนของสำนักเฉียนหลง และพวกเขาก็ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับนักเรียนใหม่
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็ตกตะลึง ชายชราผมสีขาวผู้มีรอยยิ้มดูใจดีได้เดินออกมา ด้านหลังของเขามีทูตเฉียนหลงสี่คนคอยติดตาม
“ท่านรองเจ้าสำนักสำนักเฉียนหลง!”
ผู้อาวุโสที่ดูแลเวทีการประลองรีบเดินไปต้อนรับข้างหน้า
รองเจ้าสำนักหลี่หวู่หยวนยิ้มอย่างกรุณา “ไม่ต้องสุภาพมากนัก ข้ามาเพื่อดูการประลองอันตื่นเต้น”
ผู้คนต่างประหลาดใจ
การประลองเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก แล้วทำไมระดับท่านรองเจ้าสำนักสำนักถึงได้มาที่นี่กัน
หลายคนเริ่มคิดว่าอาจจะมีผลกระทบบางอย่างเบื้องหลังเหตุการณ์นี้
คนอย่างท่านรองเจ้าสำนักาสำนัก มักจะมีความหมายลึกซึ้งในการทำสิ่งต่าง ๆ
ในที่สุดผู้ประลองก็ปรากฏตัว
เอ๋าหยู่เดินเข้ามาในเวทีประลองอย่างช้า ๆ เขาคือผู้ถูกเลือกที่เกิดมาพร้อมกับตาสองสีแตกต่างกันและบุคลิกของจักรพรรดิ ลมปราณของเขาทรงพลังและน่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อสามวันก่อน
ในอดีตเขาได้ประสบความสำเร็จในการยกระดับเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองในช่วงเวลาสั้น ๆ ต่างจากหลาย ๆ คนที่ใช้เวลานานหลายปี
ใบหน้าของเอ๋าหยู่ดูไม่แยแสสิ่งใด รูม่านตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง มันมีสัมผัสอันลึกล้ำราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“สมควรแล้วที่เขาเป็นหนึ่งในสองพี่น้องตระกูลเอ๋า เขามีกลิ่นอายของจักรพรรดิผู้แข็งแกร่ง สายเลือดของตระกูลเอ๋านั้นช่างน่าอิจฉาจริง ๆ” รองเจ้าสำนักหัวเราะพลางสรรเสริญ
และในอีกด้านหนึ่งลั่วอู๋ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
ท่าทางของเขานั้นดูสงบกว่ามาก เขาถือดาบเปื้อนเลือดที่มีรูปร่างแปลก ๆ อยู่ในมือ ใบดาบนั้นเป็นสีแดงเข้มและมีพลังวิญญาณอันดุร้าย
“โอ้ดาบเล่มนั้นมัน … ” มีแววประหลาดใจในดวงตาของรองเจ้าสำนักสำนัก
มันเป็นดาบที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก “ดาบเลือดเดือด”
“ทุกท่าน นายน้อยมาแล้วเจ้าค่ะ” หนิงหลิงหลิงร้องเรียก
เฉินหมิงหยูที่อยู่ในเขตของผู้ชมยิ้มให้กับเขา นางนำกลุ่มพี่สาวน้องสาวมาให้กำลังใจลั่วอู๋ แต่ต่อหน้าผู้คนมากมาย นางคงจะไม่กล้าเรียกเขาว่าท่านอาจารย์แน่ ๆ
การรวมตัวของกลุ่มหญิงสาวผู้แข็งแกร่งนั้นเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม
สิ่งนี้ทำให้หลายคนประหลาดใจ
หลายคนรู้ดีว่าเหล่า “ปีศาจน้อย” กลุ่มนี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลั่วอู๋ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเฉินหมิงหยูแห่งตระกูลเฉินเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลั่วอู๋ด้วยเช่นกัน
ดวงตาของลั่วอู๋กวาดไปทั่วทั้งลานประลอง เขาเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยมากมาย แม้แต่หนิงปิงหลัน และมู่ฉิงก็มาดูการประลองครั้งนี้ด้วย
อีกด้านหนึ่งจางฉีฮง ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนของสำนักย่อยการปรับแต่งเองก็มาที่นี่ด้วย เนื่องจากลั่วอู๋นั้นเป็นคนของสำนักย่อยการปรับแต่ง และสำนักย่อยการปรับแต่งก็ต้องการแสดงเจตจำนงที่จะสนับสนุนลั่วอู๋ของพวกเขาด้วย
“ข้าเดาไม่ออกเลยว่าใครจะชนะในศึกนี้” บางคนพูดด้วยความสงสัยอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย ยังไงก็ต้องเป็นเอ๋าหยู่แน่ ๆ ลั่วอู๋นั้นเป็นเพียงผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ แต่เอ๋าหยู่นั้นเป็นอัจฉริยะจากเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงในการต่อสู้”
“พวกเขาอาจอาจจะสูสีกันก็ได้นะ”
“ล้อกันเล่นน่า เอ๋าหยู่ นั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองมานานแล้วนะ ต่างจากลั่วอู๋ที่เพิ่งไปถึงระดับทองได้ไม่นาน ช่องว่างของพลังนั้นใหญ่มาก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง เจ้าคิดว่าเขาจะหาสัตว์วิญญาณที่มีความสามารถเทียบเคียงกับเนตรทรราชชั่วร้ายได้รึยังไง ในเวลาอันสั้นแบบนี้เนี่ยนะ?”
“มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลนะ แบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากลั่วอู๋ถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายแพ้เลยไม่ใช่เหรอ?”
“แน่นอน เขาจะต้องแพ้” ชายคนนั้นกล่าว “ นอกจากนี้เอ๋าหยู่ยังมีทักษะที่สามารถทำให้เขาคืนชีพขึ้นมาจากความตายอีกด้วย ลั่วอู๋จะเอาอะไรไปชนะเขาที่มีสองชีวิตได้กัน ?”
แม้แต่คนที่สนับสนุนเขาเองก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะเอ๋าหยู่ได้
ในความคิดของคนส่วนใหญ่ พวกเขาแค่หวังว่าลั่วอู๋จะสามารถรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้
ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว
คนของตระกูลลั่ว ไม่มีวันเอาชนะคนจากตระกูลเอ๋าในการต่อสู้ตัวต่อตัวได้
“ถึงการมีสองชีวิตจะมหัศจรรย์มาก แต่ข้าก็คิดว่าลั่วอู๋จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน
ทุกคนต่างหันไปมองที่ต้นเสียง
ปรากฏว่าฉูจงฉวนผู้ที่มีชื่อเสียงเมื่อไม่นานมานี้นั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลั่วอู๋
เขาคือชายผู้สังหารเอ๋าเฉาได้สำเร็จครั้งหนึ่ง
ชายคนนี้มีพลังในการต่อสู้อันยอดเยี่ยม คงไม่มีใครคิดที่จะไปยั่วโมโหเขาแน่
อย่างไรก็ตามผู้คนก็ยังคงคิดว่าลั่วอู๋ไม่มีทางชนะได้อยู่ดี เพราะแม้แต่ฉูจงฉวนผู้แข็งแกร่งก็ยังแพ้ให้กับเอ๋าเฉาที่มีสองชีวิต
นอกจากฉูจงฉวนและหลี่หยิน ไม่น่าจะมีใครคิดว่าลั่วอู๋สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
กลับมาที่ข้างบนเวทีประลอง
“เป็นโชคดีของเจ้านะที่ท่านรองเจ้าสำนักอยู่ที่นี่ด้วย ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับข้าที่จะหาโอกาสลงมือหนัก ๆ กับเจ้าแล้ว ” เอ๋าหยู่จ้องด้วยสายตาอันเย่อหยิ่ง
ลั่วอู๋ไม่มีท่าทีว่าจะกลัวแต่อย่างใด “ใช่แล้ว หลังจากฆ่าเจ้าได้หนึ่งครั้งแล้ว ข้าคงจะไม่มีโอกาสได้ฆ่าเจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง ช่างน่าเสียดาย”
ไม่ทันที่การประลองจะได้เริ่ม พวกเขาก็ต่อสู้กันด้วยวาจาอย่างดุเดือด กลิ่นอายของการต่อสู้ฟุ้งเต็มไปหมดจากคำพูดเหล่านั้น
ผู้ชมต่างก็ตื่นเต้นไปตาม ๆ กัน พวกเขาคิดว่าการต่อสู้ระหว่างราชสีห์และหมาป่า จะเป็นไปตามที่พวกเขาคาดคิดไว้
ในที่สุดการต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เอ๋าหยู่เป็นฝ่ายจู่โจมก่อน เขาคำรามขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นเงาของสัตว์วิญญาณสามตัวก็ปรากฏขึ้นมาจากแหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสัตว์วิญญาณสามตัว
มันคือ แมวป่าเพลิง นกยักษ์เพนกวิน และเนตรทรราชชั่วร้าย
แมวป่าเพลิง นั้นมีความยืดหยุ่นที่แข็งแกร่งมาก แขนและขาของมันลุกโชนด้วยเปลวไฟสีแดง การโจมตีของมันสามารถทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แม้ว่าจะเป็นเพียงสัตว์วิญญาณระดับเงิน แต่มันก็ได้ถูกยกระดับเป็นระดับทองด้วยการปรับแต่ง
อีกด้านหนึ่งคือนกยักษ์ นกยักษ์นั้นเป็นสัตว์วิญญาณระดับทอง ร่างกายของมันแข็งแกร่งมากราวกับเพชรและมีความเร็วในการบินที่รวดเร็ว
ส่วนเนตรทรราชชั่วร้ายนั้นดูแปลกไปจากปกติเล็กน้อย ดวงตาขนาดใหญ่ของมันปิดลงและลมปราณก็ดูไม่ค่อยเสถียร บางครั้งก็สูงบางครั้งก็ต่ำ
“การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ”
พลังวิญญาณของสัตว์วิญญาณทั้งสามรวมเข้ากับร่างกายของเอ๋าหยู่ในทันที มีเงาเสมือนสามเงาปรากฏอยู่ข้างหลังเขา ลมปราณเองก็พุ่งสูงขึ้นแรงยิ่งกว่าของเอ๋าเฉาเสียอีก
ผู้คนต่างประหลาดใจ
นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ความแข็งแกร่งของเอ๋าเฉาและเอ๋าหยู่ ทั้งสองควรจะเท่ากัน แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้เอ๋าหยู่จะมีพลังมากกว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ลั่วอู๋มองไปที่เอ๋าหยู่อย่างสงสัย เขาเห็นว่าเอ๋าหยู่มีเนตรทรราชชั่วร้ายเพียงแค่ตัวเดียว
เพราะหลังจากที่หนิงปิงหลันได้เตือนเขา เขาจึงให้จับจ้องไปที่สถานะของเนตรทรราชชั่วร้ายเป็นพิเศษ
นี่มันแปลกมาก
มันแปลกเกินไป
มันเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ภายในร่างกายของมัน
น่าเสียดายที่เอ๋าหยู่นั้นได้ใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณไปแล้ว ลั่วอู๋จึงไม่มีโอกาสได้สังเกตถึงรายละเอียดของมันต่อ
ลั่วอู๋นั้นไม่ได้เรียกสัตว์วิญญาณของเขาให้ปรากฏตัว แต่ใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณในทันที
พลังวิญญาณของสัตว์วิญญาณทั้งสามไหลเข้าสู่ร่างกายของลั่วอู๋ ลมปราณของเขาเองก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน
ผู้ชมโดยรอบต่างผิดหวังไปตาม ๆ กัน เห็นได้ชัดว่าลั่วอู๋นั้นได้รับสัตว์วิญญาณคู่พันธะตัวที่สามแล้ว แต่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของสัตว์วิญญาณตัวที่สามได้
เงาสามเงาปรากฏขึ้นด้านหลังของลั่วอู๋
สุนัข ผีเสื้อ และมนุษย์
เขาแสดงให้เห็นเพียงแค่ว่าสัตว์วิญญาณตัวที่สามของเขาอยู่ในร่างมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งอื่น
“หึ พยายามปกปิดเสียจริงนะ กลัวมากนักรึไง ” เอ๋าหยู่พูดดูถูก
ทันใดนั้นเงาของแมวป่าเพลิง และนกยักษ์ก็สว่างขึ้น เอ๋าหยู่กางปีกสีเงินของเขาออกมาจากแผ่นหลัง จากนั้นก็ปกคลุมทั่วทั้งร่างด้วยไฟสีแดง
“ตายซะ!” ความเร็วของเอ๋าหยู่นั้นเร็วมาก เขาเข้าประชิดตัวของลั่วอู๋ในทันทีที่
มือและเท้าของเขากลายเป็นกรงเล็บอันแหลมคม กรงเล็บจำนวนนับไม่ถ้วนบินทะลวงอากาศไป เข้าโจมตีจุดตายของลั่วอู๋ โดยไม่จำเป็นต้องเล็งด้วยซ้ำ
ลั่วอู๋ยกปากขึ้น
เงาของร่างสัตว์วิญญาณด้านหลังเขาสว่างขึ้นในทันที
ลั่วอู๋กำดาบระบำแห่งความตายไว้ในมือและปล่อยคลื่นลมปราณดาบออกไป เขาทำให้เอ๋าหยู่ต้องถอยหลังไปสามก้าวด้วยความตกใจ
ดวงตาของลั่วอู๋เปลี่ยนเป็นสีทองและมีปีกสีขาวงอกออกมาจากข้างหลังของเขา พลังวิญญาณในเลือดเริ่มเดือด เจตจำนงอันเข้มแข็งของเขาดูเหมือนจะถล่มท้องฟ้าทั้งหมดลงได้
แสงศักดิ์สิทธิ์เข้าปกคลุมร่างกายของลั่วอู๋ แสดงให้เห็นถึงความสูงส่งอันศักดิ์สิทธิ์
แม้แต่ดาบระบำแห่งความตายเองก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว แสงสีขาวนั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งการพิพากษาและทำลายล้างราวกับว่าจะสลายความมืดที่สกปรกทั้งมวลบนโลก
“นั่นมันพลังของภูตสงคราม!”
ฝูงชนอุทาน
พระเจ้าช่วย
ใครจะไปคาดคิดว่าสัตว์วิญญาณตัวที่สามของลั่วอู๋ จะเป็นสัตว์วิญญาณหายากที่มีทักษะในการต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด ซึ่งเรียกกันว่า “ภูตสงคราม”
ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ ภูตสงครามนั้นจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของสัตว์วิญญาณระดับทองชั้นสูง
ลั่วอู๋โบกมือแล้วใช้ทักษะ [ดาบแห่งการลงทัณฑ์] ชี้ไปที่เอ๋าหยู่ จากนั้นรอยยิ้มของเขาก็ผ่อนคลายลงและกวักมือเรียกอีกฝ่าย “มาสู้กัน!”