บทที่ 282 ข้าจะชิงเอาคะแนนของพวกเจ้าทุกคน
บทที่ 282 ข้าจะชิงเอาคะแนนของพวกเจ้าทุกคน
ที่ไหนสักแห่งในสำนักเฉียนหลง
รองประธานหลี่หวู่หยวนมองไปที่จดหมายลับตรงหน้าเขาอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นก็พูดด้วยความพึงพอใจ “เด็กน้อยพวกนี้มีความคืบหน้าเร็วมาก”
ด้านหน้าของเขามีทูตเฉียนหลงยืนอยู่สี่คน
ทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากสีทองถาม “ท่านรองเจ้าสำนักต้องการให้คนจากสำนักหม่าเฉินต่อสู้กับเด็ก ๆ ในสำนักเฉียนหลงของเราอย่างนั้นเหรอขอรับ มันจะไม่เกิด … ”
“ไม่ต้องห่วง” หลี่หวู่หยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความกดดันเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขามีแรงจูงใจได้ การต่อสู้กันเองจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของพวกเขาซึ่งกันและกัน”
คำพูดของท่านรองประธานสำนัก ทำให้พวกเขาพยักหน้าไปตาม ๆ กัน
“เพราะเดี๋ยวก็จะมีการทดสอบการต่อสู้จริงแล้วด้วย” หลี่หวู่หยวนกล่าวเบา ๆ
ทูตเฉียนหลงทั้งสี่คนสะดุ้ง “นั่นมันจะไม่เร็วเกินไปเหรอขอรับท่านรองประธาน พวกเขาเพิ่งเริ่มการทดสอบต่าง ๆ ไปได้ไม่นานเอง การทดสอบนั้นมันสำหรับวันสุดท้ายไม่ใช่เหรอขอรับ”
ในการทดสอบการต่อสู้จริง นักเรียนทุกคนจะได้เข้าร่วมการต่อสู้จริง
แต่เนื่องจากมันไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบการต่อสู้จริง มักจะนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ดังนั้นการทดสอบการต่อสู้จริง จึงมักจะเกิดขึ้นในวันสุดท้ายเท่านั้น
มันเป็นเพียงการทดสอบความสามารถในการต่อสู้จริงอย่างง่าย ๆ
หากเริ่มเร็วเกินไปอาจจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ง่าย ๆ
จุดสำคัญที่สุดก็คือ ในการทดสอบการต่อสู้จริง คะแนนนั้นสามารถปล้นจากนักเรียนด้วยกันได้ ตราบใดที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ผู้ชนะจะได้รับ 100 คะแนนจากอีกฝ่ายมา
ดังนั้นเหล่านักเรียนจึงอยากมีส่วนร่วมในการทดสอบการต่อสู้จริง และบ่อยครั้งก็ส่งผลให้มีนักเรียนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
หลี่หวู่หยวนส่ายหัวและกล่าวอย่างแน่วแน่ “เราไม่มีเวลามากพอที่จะเปิดการทดสอบการต่อสู้จริงอย่างเป็นทางการหรอกนะ”
……
……
ด้านเวทีประลองศิลปะการต่อสู้.
ลั่วอู๋ยังคงทำคะแนนได้อย่างมีความสุข
เขารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และมิติวิญญาณของเขาก็ค่อย ๆ พัฒนาและเสถียรขึ้น การทดสอบของสำนัก เฉียนหลงคงเป็นวิธีการบางอย่างในการพัฒนาศักยภาพของนักเรียน
ถึงอย่างนั้นมันก็ยังยากมากที่จะชิงอันดับรายชื่อ
เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถขึ้นไปสู่อันดับสูง ๆ ได้อีก
แต่เนื่องจากการแบ่งปันข้อมูลความสัมพันธ์ของคนส่วนใหญ่จึงกลมกลืนกัน และริเริ่มที่จะแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ กับผู้อื่น
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาลั่วอู๋ได้รู้จักผู้คนใหม่ ๆ มากมาย
ในวันนี้ก็มีประกาศพิเศษออกมาจากทางสำนักเฉียนหลง
หลังจากการทดสอบการต่อสู้จริง ผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกจะมีโอกาสเข้าร่วมการฝึกอบรมในมิติของสำนักเฉียนหลง
ผู้คนจำนวนมากต่างถูมือของพวกเขา รางวัลของเหล่าผู้ที่ได้สิบอันดับแรกถูกเพิ่ม มันจึงจุดไฟความกระตือรือร้นของทุกคนไปพร้อม ๆ กัน
ฉูจงฉวนรู้สึกตื่นเต้นมากจนแทบจะไม่ออก “สิบอันดับแรกในรายชื่อเฉียนหลง สามารถเข้าร่วมการฝึกอบรมในมิติได้งั้นเหรอ?!”
“เจ้ารู้เหรอว่ามันคืออะไร?” ลั่วอู๋สงสัย
“จริง ๆ ข้าก็ยังไม่รู้หรอก”
“แล้วเจ้าจะทำท่าทางมีความสุขไปเพื่ออะไร?”
ฉูจงฉวนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “ฟังนะ การอบรมในมิติมันไม่ใช่ที่สำนักเฉียนหลงแน่ ๆ ข้าเคยบอกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหมว่า สำนักเฉียนหลงน่ามีหนทางไปสู่อาณาจักรเซียนโบราณได้ บางที่มิติที่ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในทางผ่านก็ได้ ข้าเดาว่าเป็นอย่างนั้น”
“ที่เจ้าพูดก็มีประเด็นอยู่แฮะ” ลั่วอู๋พยักหน้า
ดวงตาของฉูจงฉวนแทบจะเปล่งแสงราวกับดาวดวง เล็ก ๆ “ความฝันของข้ากำลังจะเป็นจริงแล้ว นี่มันวิเศษมาก”
แค่ไปให้ถึงสิบอันดับแรกก็พอ
หากต้องไปให้ถึงอันดับหนึ่งมันคงจะยากเกินไปสำหรับเขา แต่ถ้าหากแค่ไปให้ถึงสิบอันดับแรกฉูจงฉวนค่อนข้างมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองว่าเขาทำได้
“เฮ้ ตื่นได้แล้วน่า มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกน่า อีกอย่างภูตในตำนานที่เจ้าต้องการก็เป็นสัตว์วิญญาณในตำนานระดับเซียน ที่สามารถทำให้เจ้าหายไปได้ด้วยเพียงแค่ปล่อยลมหายใจ” ลั่วอู๋กล่าว
ฉูจงฉวนมองไปที่ลั่วอู๋อย่างดูถูกด้วยใบหน้า “เจ้าคนไร้ซึ่งจินตนาการในแง่ดี ”
จังหวะนั้นเองก็มีข่าวมาจากทางสำนักเฉียนหลงอีกฉบับ
การทดสอบการต่อสู้จริงนั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมื่อเขาคิดได้ว่าการทดสอบการต่อสู้จริงนั้นหมายถึงอะไร ลั่วอู๋ก็ได้แต่ตกตะลึง
การต่อสู้จริงโดยไม่มีการควบคุมที่สามารถปล้นคะแนนการทดสอบของผู้อื่นได้ ? สำนักนี้มันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ พวกเขาสนับสนุนให้นักเรียนวิวาทกันเองโดยไม่มีการดูแลรักษาความปลอดภัยใด ๆ โดยสิ้นเชิง
ใบหน้าของฉูจงฉวนยังคงดูสง่างาม
การทดสอบการต่อสู้จริงนี้ฟังดูเหมือนจะมีกลิ่นอายเลือดอันรุนแรง
เมื่อได้รู้ข่าวทุกคนในสำนักเฉียนหลง ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงสงครามอันรุนแรงที่กำลังจะมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า การทดสอบการต่อสู้จริงงั้นเหรอ นี่มันถูกใจข้ามากเลยจริง ๆ”
เสียงของผู้คนจากภูเขาแห้งแล้งดังมาจากในระยะทางไกล
พวกเขากำลังเข้ามาเพื่อท้าทายอีกครั้ง
ผู้พูดคือชายผิวคล้ำที่สวมจี้เงินมากกว่าสิบชิ้นและมีวิญญาณเป็นรอยอักขระติดตัวเขา
ข้าง ๆ เขามีผู้คนมากมายจากภูเขาแห้งแล้งที่เปี่ยมไปด้วยลมปราณอันรุนแรง นอกจากจินฉันผู้เป็นอันดับ 1 แล้วยังมีชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงติดอันดับอีกหลายคน
“ตอนแรกข้าก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยนะ ว่าทำไมจู่ ๆ คนของสำนักเฉียนหลงถึงได้คะแนนสูงขึ้นมา ที่แท้พวกเขาก็ใช้วิธีการของเราอย่างลับ ๆ” ไห่เซอหัวเราะเบา ๆ และส่ายหัว “น่าเสียดายที่พวกเจ้าคงไม่สามารถลอกเลียนแบบวิธีการการต่อสู้จริงได้อย่างลับ ๆ เหมือนกับวิธีการรับการทดสอบ พวกเราทุกคนจะขอรับสิบอันดับแรกของรายชื่อเฉียนหลงไปละนะ”
ผู้คนจากสำนักเฉียนหลงต่างก็โกรธกันมาก
แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก
อันที่จริงแล้วในแง่ของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงนั้น ทางสำนักเฉียนหลงไม่ได้มีมากเท่ากับทาง สำนักหม่าเฉิน
ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านี้ในสำนักหม่าเฉิน ต่างก็มีประสบการณ์การต่อสู้จริงมามากมายและรู้วิธีรับมือการต่อสู้จริง ซึ่งมีชีวิตและความตายเป็นเดิมพัน การทดสอบการต่อสู้จริงนั้นถือเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามาก
“ข้าเกรงว่าตอนนี้พวกเจ้าจะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับเราในการระบายอารมณ์” เขากล่าวด้วยความสงสาร
นักเรียนจำนวนมากในสำนักเฉียนหลงนั้นเห็นได้ชัดว่า อ่อนแอกว่าผู้คนจากภูเขาแห้งแล้ง พวกเขาจะต้องสู้กันเองเพื่อได้รับคะแนน เพราะมันง่ายกว่ามาก ต่อจากนี้ผู้คนของสำนักเฉียนหลงจะต้องต่อสู้กันเอง
ใบหน้าของเหว่ยเฉิงโฉวมืดมน เห็นได้ชัดว่าเขามีความไม่พอใจกับคำพูดของไห่เซอ “เจ้าคิดว่าเจ้ามีพลังมากขนาดที่จะทำอะไรก็ได้งั้นสิ ต่อให้พวกเจ้าจะมีกันสักกี่คน ก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันของข้าได้หรอก พวกเจ้าจะทำอะไรได้!”
“เจ้ามันก็แค่เต่ามีกระดองแข็ง อีกอย่างคงมีเพียงไม่กี่คนในสำนักเฉียนหลงที่สามารถต่อสู้ได้ใช่ไหมล่ะ? เจ้าคิดว่าตัวคนเดียวจะทำอะไรได้?” ไห่เซอยิ้มเยาะ
บรรยากาศเริ่มปะทุ
เหว่ยเฉิงโฉวมีพลังวิญญาณในการป้องกันสูงพอที่จะต่อสู้กับคน 800 คนได้สบาย ๆ
อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายก็พอจะรู้จุดอ่อนของเขา แม้ว่าพลังป้องกันของเขาจะมาก แต่ความแข็งแกร่งในการโจมตีของเขายังไม่เพียงพอ ในกรณีนี้เหว่ยเฉิงโฉวซึ่งเป็นฝ่ายถูกโจมตีไปเรื่อยก็คงจะไม่มีโอกาสได้โต้กลับและพ่ายแพ้
“อย่าโอหังให้มากนักเจ้าพวกคนจากภูเขาแห้งแล้ง” ผู้คนมากกว่าสิบคนเดินออกมาจากฝูงชน
พวกเขาคือคนจากตระกูลจี๋อี๋อีกสามคน เทียนเจียว เอ๋าหยู่ และผู้สืบทอดห้าคนจากตระกูลที่มีอำนาจในจักรวรรดิ
แน่นอนว่าลั่วอู๋และฉูจงฉวนเองก็เดินขึ้นมาข้างหน้าด้วย
พวกเขาทั้งหมดไม่ได้มีลมปราณที่อ่อนแอ และพวกเขาไม่กลัวอีกฝ่ายเลยสักนิด
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายนั้นมีถึงสามสิบคนที่อยู่ในระดับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง
กำลังของฝ่ายสำนักเฉียนหลงมีเพียงราว ๆ สิบคนเท่านั้น จำนวนของพวกเขานั้นเสียเปรียบอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
“บ้าที่สุดถ้าเฉินหมิงหยูกับเอ๋าเฉียนจุนไม่หายตัวไปอย่างปริศนา และเอ๋าเฉาไม่ถูกขับออกจากสำนักชั้นในละก็ พวกมันไม่มีทางได้ทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้แน่” บางคนรู้สึกหงุดหงิดกับสภาพที่เป็นอยู่ของฝ่ายสำนักเฉียนหลง
เฉินหมิงหยูและเอ๋าเฉียนจุน ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะระดับปีศาจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นแข็งแกร่งมากโดยเฉพาะเอ๋าเฉียนจุน
อีกทั้งแม้ว่าชื่อเสียงของเฉินหมิงหยูจะอยู่ในด้านการปรับแต่งพลังวิญญาณ แต่ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของนางนั้นไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน
เอ๋าเฉาและเอ๋าหยู่เอง ถ้าพวกเขาได้ต่อสู้ร่วมกันพลังของพวกเขาจะต้องยิ่งใหญ่กว่าการต่อสู้เพียงคนเดียวแน่ ๆ
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว
เอ๋าเฉียนจุนผู้เป็นอันดับหนึ่งในตอนแรกนั้นไม่เคยโผล่ออกมาในสำนักเฉียนหลงเลย แม้กระทั่งในเวลานี้ มีอะไรเกิดขึ้นกับเขารึเปล่า?
“คนอ่อนแอย่อมหาข้อแก้ตัว” “ พวกเราจะอยู่ในสิบอันดับแรกของรายชื่ออันดับเฉียนหลง มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะมาหรือไม่” ไห่เซอกล่าวอย่างเย็นชา
ผู้คนในสำนักเฉียนหลงรู้สึกหงุดหงิด
ทันใดนั้นลั่วอู๋ก็ออกมาเยาะเย้ย “ข้าไม่กลัวพวกเจ้าหรอก พวกเจ้าคิดว่าตัวจะอยู่ยงคงกระพันเหมือนตอนที่อยู่ในอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งของตัวเองรึไง?”
ดวงตาของไห่เซอกวาดตามองลั่วอู๋ด้วยความสงสัยเล็กน้อย
อากูดะพูดเยาะเย้ย “เจ้ามันเป็นแค่หมอผีไม่ใช่รึไง ? กล้าคิดที่จะมาต่อสู้กับพวกเรางั้นเหรอ? การต่อสู้ที่มีชีวิตและความตายเป็นเดิมพันจริง ๆ น่ะ ข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ สบาย ๆ เลย เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งมาจากไหนกัน ในเมื่อเจ้านั้นอยู่เพียงแค่อันดับห้า ในรายชื่ออันดับเฉียนหลง? ”
เขาจำได้ในทันทีที่เห็นอีกฝ่าย
เขารู้ว่าชายคนนี้คือลั่วอู๋ที่เอาชนะหยู่เสี่ยวฉาง
อีกฝ่ายนั้นเป็นแค่หมอผี ประสิทธิภาพการต่อสู้จริงนั้นไม่มีอะไรที่เขาจะต้องกลัว
ทว่าการทดสอบเฉียนหลงนั้นเป็นเพียงการจัดอันดับที่ครอบคลุมความสามารถโดยรวมเฉย ๆ มันไม่ได้แสดงถึงพลังการต่อสู้ที่แท้จริง
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ มีบรรยากาศอันเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “เอาละนะ ฟังข้าให้ดี ข้าจะจัดการพวกเจ้าทุกคนทีละคน ในตอนที่การทดสอบการต่อสู้จริงเริ่มต้นขึ้น”
“รู้สึกว่าข้าจะสามารถปล้นคะแนนการทดสอบ โดยการเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ใช่ไหมล่ะ”
“ข้าชิงเอาคะแนนของพวกเจ้าทั้ง 30 คน ไปคนละ 100 คะแนน”
“จำคำพูดของข้าไว้ให้ดี ข้าจะเอาคะแนนจากพวกเจ้าทุกคน”
ทุกคนต่างเงียบลงไปในตอนแรก จากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น
ลั่วอู๋นั้นบ้าไปแล้ว
เขาเตรียมพร้อมที่จะท้าทาย 30 คนด้วยตัวของเขาเอง และเขาบอกว่าเขาจะเอาชนะทุก ๆ คนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง