บทที่ 293 เทพพิทักษ์
บทที่ 293 เทพพิทักษ์
ในคืนเดียวกันนั้น
ลั่วอู๋ฝึกฝนในมิติไห
เขาพยายามป้อนยาหลินฉองให้กับแมลงกินวิญญาณ โดยตัวยานั้นมีกลิ่นของหญ้าอ่อน ๆ โชยออกมา
ทันทีที่นำเม็ดยาออกมาแมลงกินวิญญาณก็เข้ามารุมกินโต๊ะในทันที ราวกับว่ามันถูกกระตุ้นด้วยอะไรบางอย่างที่ร้ายแรง พวกมันแยกเม็ดยาออกมากินเป็นของใครของมัน
การกินยาหลินฉองแมลงที่กินเข้าไปนอนอยู่บนพื้นอย่างอิ่มอกอิ่มใจไม่เคลื่อนไหวราวกับกำลังย่อยพลังวิญญาณในร่างกายอย่างมีความสุข
ส่วนแมลงกินวิญญาณบางตัวที่ไม่ได้ผงยาไปกิน ก็ดูเหมือนจะกระวนกระวายและกระสับกระส่ายถึงขั้นที่แม้แต่คำสั่งของแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาก็ไม่สามารถยับยั้งพวกมันได้
“เกิดอะไรขึ้น?”
ลั่วอู๋ตะลึง
หากมีกลุ่มที่ฝ่าฝืนคำสั่งเกิดขึ้นละก็ ผลกระทบนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของพวกมันลดลงอย่างมาก
ลั่วอู๋รีบไปที่คฤหาสน์หวู่หยู่ โชคดีที่สินค้าของคฤหาสน์ หวู่หยู่นั้นยังอยู่ครบ ตราบใดที่มีคะแนนจ่ายมากพอ ที่นี่ก็จะหาสินค้าที่ต้องการมาให้
ยาหลินฉองนั้นมีราคาอยู่ที่ 500 คะแนน โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายในการหาซึ่งค่อนข้างแพง
ลั่วอู๋จึงจ่ายไป 50000 คะแนน เพื่อซื้อยาหลินฉองหนึ่งร้อยเม็ด แล้วรีบกลับไปยังที่พักอย่างเร่งรีบและป้อนยาหลินฉองให้กับแมลงกินวิญญาณตัวอื่น ๆ ที่ไม่ได้มันในคราวก่อน
แมลงกินวิญญาณหลายร้อยตัวกรูกันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งและส่วนใหญ่กินมันเข้าไปในทันที
อย่างไรก็ตาม ในเวลาไม่นานนักพวกมันทุกตัวก็อิ่ม จากนั้นพวกมันก็นอนหลับลงอย่างสงบ โดยเปลือกสีทองที่ตัวของพวกมันต่างก็สว่างขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนกับหิ่งห้อย
ลั่วอู๋ให้ยาหลินฉองที่เหลือให้กับแมลงกินวิญญาณระดับนางพญา
แมลงกินวิญญาณระดับนางพญากลืนยาหลินฉองที่เหลือ น่าแปลกใจที่แม้ว่ามันจะมีร่างเล็กกว่าตัวอื่น ๆ แต่มันก็สามารถกลืนยาเข้าไปได้มากมาย
ลมปราณของแมลงกินวิญญาณระดับนางพญานั้นดีขึ้นมามาก แต่ความต้องการโหยหายาหลินฉองของแมลงกินวิญญาณระดับนางพญานั้นดูเหมือนจะไม่มากเหมือนกับตัวอื่น ๆ มันไม่ได้ขอยาหลินฉองจากลั่วอู๋เลยสักครั้ง
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง แมลงกินวิญญาณทุกตัวก็ตื่นขึ้น ขนาดร่างกายของพวกมันใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งมิติวิญญาณเองก็ได้รับการปรับปรุงและเปลือกของมันก็แข็งขึ้น
ในขณะที่ลั่วอู๋กำลังจะทดสอบการเปลี่ยนแปลงของฝูงแมลง ชายคนหนึ่งก็เข้ามาที่บ้านของลั่วอู๋
ผู้มาเยือนนั้นก็คือ จินฉันผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของรายชื่อเฉียนหลง
ตอนนี้เนื่องจากการเสียชีวิตของอากูดะและหวู่เก๋า จำนวนของนักเรียนในรายชื่อเฉียนหลงสิบอันดับแรกฝ่ายของสำนักเฉียนหลงจึงมีมากกว่าฝ่ายสำนักหม่าเฉินแล้ว
จินฉันเป็นผู้ชายที่ดูธรรมดามาก แต่ลมปราณของเขากลับเข้มข้นมากราวกับภูเขาและดวงตาของเขาก็เหมือนแอ่งน้ำในทะเลสาบลึก ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้
“ข้ามาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้กับอากูดะและหวู่เก๋า” ทันทีที่จินฉันเปิดประตูเขาก็พูดประโยคนี้ออกมา
……
……
วันต่อมา
ข่าวแพร่กระจายไปทั่วทุกที่
จินฉันต้องการที่จะท้าทายลั่วอู๋ ในการต่อสู้ที่มีชีวิตและความตายเป็นเดิมพัน
เพราะจินฉันคิดว่าลั่วอู๋เป็นคนที่ฆ่าอากูดะและหวู่เก๋า เขาจึงท้าสู้โดยมีชีวิตและความตายเป็นเดิมพันอย่างเด็ดเดี่ยว การต่อสู้ขั้นแตกหักนี้จะเริ่มขึ้นในสนามสอบภูเขาแห้งแล้ง
“เนื่องจากเจ้าได้ฆ่าพวกเขาในภูเขาแห้งแล้งแห่งนี้ ข้าเองก็จะฆ่าเจ้าในภูเขาแห้งแล้งเช่นกัน ข้าจะไม่ร้องไห้หรือโอดครวญยอมรับความพ่ายแพ้ เพื่อให้ศึกนี้เป็นศึกที่ตัดสินระหว่างชีวิตและความตาย”
คำพูดของจินฉัน ดึงดูดและชักชวนสายตาของผู้คนจำนวนมากเข้ามา
เนื่องจากมันไม่มีหลักฐานว่าลั่วอู๋เป็นคนฆ่าสังหารพวกเขาทั้งสอง
อย่างไรก็ตามจินฉันไม่ได้สนใจมัน
“คิดว่าข้าจะกลัวเจ้ารึไง!” ลั่วอู๋ตอบสนองด้วยท่าทีที่ก้าวร้าวมาก
สงครามครั้งใหญ่ใกล้เข้ามา
การต่อสู้ที่มีชีวิตและความตายเป็นเดิมพันได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตามลั่วอู๋และจินฉัน ทั้งคู่ได้หายตัวไปในภูเขาแห้งแล้งพร้อม ๆ กัน
ไม่มีใครหาพวกเขาพบ จึงไม่น่าจะมีใครโชคดีพอที่จะได้เห็นสงครามนี้
บนยอดเขาสูงชันแห่งหนึ่งในภูเขาแห้งแล้ง
ลั่วอู๋และจินฉันได้เลือกมาตัดสินกันที่นี่
“ลงนรกไปซะ” จินฉันเป็นฝ่ายที่เปิดฉากก่อน
ทันใดนั้นแสงสีทองก็สาดส่องลงมาจากท้องฟ้า และด้านหลังของเขาปรากฏรูปปั้นของเทพพิทักษ์ ดวงตาอันโกรธเกรี้ยวของเทพพิทักษ์ดูดุร้ายอันตราย มันถือคทากายสิทธิ์สำหรับกำจัดปีศาจร้ายไว้ในมือ
ลั่วอู๋ได้แต่ตื่นเต้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน
เทพพิทักษ์!
ว่ากันว่ามันเป็นสัตว์วิญญาณผู้พิทักษ์ประตูแห่งอาณาจักรโบราณหมื่นอมตะ มันทรงพลังและมีอำนาจอันไร้ขอบเขต เพียงแค่ฟาดคทาเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายภูเขาได้สบาย ๆ
อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา อาณาจักรโบราณหมื่นอมตะถูกปกครองโดยสิ่งมีชีวิตลึกลับ ทำให้เทพพิทักษ์ได้อพยพและออกจากอาณาจักรโบราณหมื่นอมตะ จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นมันอีกเลย
ความแข็งแกร่งของเทพพิทักษ์ นั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าภูตสงคราม
เขาไม่คาดคิดเลยว่า จินฉันจะมีเทพพิทักษ์ในครอบครอง
“เข้ามา!” ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ และข้างหลังเขาปรากฏเงาศักดิ์สิทธิ์ของภูตสงครามที่ถือดาบแห่งวันพิพากษาเพื่อขับไล่ความมืด
แสงสีทองอันดุร้ายและแสงสีขาวอันศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าปะทะ
คลื่นพลังงานอันน่ากลัวแผ่กระจายออกไป
ยอดเขาสูงชันสั่นไหวไปมา เหมือนจะถล่มลงมาทุกเมื่อ
แสงพราวส่องสว่างไปทั่ว ทำให้การเคลื่อนไหวทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง จนภายนอกไม่อาจสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้
สงครามดำเนินต่อไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
จู่ ๆ จินฉันก็ไอเป็นเลือดและล้มลงบนหน้าผา แม้แต่แสงสีทองบนร่างของเขาก็จางหายลงไปมาก “ความแข็งแกร่งภูตสงคราม ช่างน่ากลัวจริง ๆ”
ลั่วอู๋เองก็ตกอยู่ในสภาพที่แย่มากเช่นกัน
ท้องของเขามีบาดแผลและเลือดไหลออกมา ลมปราณของเขาไม่สม่ำเสมอราวกับว่าเขาได้ถูกลำแสงสีทองแทงทะลุร่างไป
“เทพพิทักษ์เองก็แข็งแกร่งสมคำร่ำลือจริง ๆ” ลั่วอู๋กล่าวอย่างขยันขันแข็ง
เป็นที่ชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังจะแพ้ในสงครามครั้งนี้
ทั้งสองไม่มีแรงที่จะต่อสู้ต่อไปได้อีกแล้ว
ในเวลานี้จู่ ๆ ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขา ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว จนไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตา หรือรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงได้
“เจ้าเป็นใครกัน?” ลั่วอู๋และจินฉันตกใจ
ชายลึกลับนั้นปกปิดตัวตน ถึงขั้นที่แม้แต่เสียงของเขาก็ยังไม่สามารถจดจำแยกออกได้อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ยินเสียงจริง ๆ ของอีกฝ่าย “อันดับที่หนึ่งในรายชื่อ เฉียนหลง จินฉัน ข้าขอรับชีวิตของเจ้าไปล่ะ”
จู่ ๆ ที่มือของชายลึกลับก็ปรากฏดวงไฟอันน่ากลัว
“เป็นเจ้าเองสินะ” ใบหน้าของจินฉันเปลี่ยนเป็นสีหน้าอันหนักหน่วง
ชายลึกลับไม่ตอบ แต่รีบวิ่งพุ่งตรงไปปล่อยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์เข้าใส่จินฉัน
ดวงตาของจินฉันกะพริบปริบ ๆ ลมปราณพุ่งทะยานไปพร้อมกับคทากายสิทธิ์ในมือเข้าใส่ชายลึกลับ
“อะไรกัน! เจ้าไม่ได้กำลังบาดเจ็บอยู่หรอกเหรอ ?” ชายลึกลับประหลาดใจ
ชายลึกลับถูกไม้ฟาดกระเด็นออกไป แต่เขาก็ยังดูไม่ได้เจ็บเท่าไหร่
“ไม่ใช่แค่เขาหรอก” ลั่วอู๋ใช้ทักษะทะลวงมิติ มาตลบหลังชายลึกลับในทันทีพร้อมกับเม้มปาก
ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าซะที
ดูสิจะมีใครกล้าตำหนิข้าอีกไหม
ใช้งานทักษะ [มิติเวทมนตร์]
พลังวิญญาณอันทรงพลังของมิติเวทมนตร์ได้โอบล้อมชายลึกลับ ร่างกายของเขาหยุดนิ่งโดยไม่ได้ตั้งตัว ตกอยู่ในสภาพแน่นิ่ง
นี่คือแผนของลั่วอู๋และจินฉัน
จินฉันไม่เคยคิดว่าลั่วอู๋เป็นฆาตกรเลย เขาจึงไปที่บ้านพักของลั่วอู๋ เมื่อวานนี้เพื่อพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องแผนการต่อสู้ตัดสินในวันนี้
จุดประสงค์ของแผนนี้ก็คือการดึงฆาตกรตัวจริงออกมา
ดังนั้นสถานที่จึงถูกเลือกเป็นในบริเวณทดสอบภูเขาแห้งแล้ง ที่ไม่มีผู้สังเกตการณ์ เพื่อให้ฆาตกรสามารถปรากฏตัวได้อย่างสบายใจ
เขาเป็นคนฆ่าอันดับ 2 และ 3 ในรายชื่อเฉียนหลงที่เพิ่งสู้จนหมดแรงไปอย่างสกปรก ฆาตกรคนนี้จะต้องถูกไล่ออกอย่างแน่นอน
ทั้งลมปราณที่อ่อนแรงและบาดแผลสาหัสต่างก็เป็นเพียงของปลอม
แม้แต่การต่อสู้เองก็ยังเป็นการแสดงปลอม ๆ พวกเขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาอย่างต่อเนื่องสร้างความผันผวนทางพลังวิญญาณอันรุนแรง เพื่อแสร้งทำเป็นว่ากำลังต่อสู้กัน
แน่นอนว่าหลังจากที่ลั่วอู๋และจินฉัน หมดสภาพทั้งคู่ ฆาตกรก็จะต้องปรากฏตัวขึ้น
“ให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้าเป็นใคร!” ลั่วอู๋พยายามปัดเป่าแสงสีขาวออกจากชายลึกลับด้วยคลื่นพลังวิญญาณที่นิ้วของเขา
แต่ทันใดนั้นร่างของชายลึกลับก็เต็มไปด้วยแสงสีขาวปกคลุมหนาขึ้นอีก
เขาผละตัวเองออกจากภาพลวงตา จากนั้นร่างของเขาก็กะพริบออกจากที่เดิมในชั่วพริบตา ทำให้ลั่วอู๋ก็ไม่ได้แตะต้องใบหน้าที่แท้จริงของเขาแม้แต่ปลายเล็บ
หัวใจของลั่วอู๋จมลงด้วยความตกใจ
เขาเร็วแค่ไหนกัน ? ถึงสามารถแยกตัวออกจากมิติเวทมนตร์ได้ นอกจากนี้ความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจของเขาเองก็ต้องอยู่ในระดับที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้แน่ ๆ
“ฮะ ฮ่า” ทันใดนั้นชายลึกลับก็พูดด้วยรอยยิ้ม “แสดงได้ดีจริง ๆ เจ้าเกือบจะจับข้าได้แล้วไหมล่ะ”
จินฉันจ้องไปที่บุคคลลึกลับแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าหากพวกเราสองคนร่วมมือกัน เจ้ายังจะสามารถหลบหนีไปได้อีกงั้นเหรอ?”
“ได้สิ พวกเจ้าเองก็เถอะ คิดว่ามีพลังวิญญาณเพียงพอที่จะจับข้ารึไง?” ชายลึกลับกล่าว